เคยดูไหม "SIX DEGREES COULD CHANGE THE WORLD"


การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ นั้น นับเป็นลางบอกเหตุสภาวะอันตรายที่โลกจะต้องเผชิญ จากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแต่ละองศา

             ได้ดูสารดคีเรื่องนี้มานานแล้วล่ะ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 ทางเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก แชนแนล ได้ออกอากาศการเปลี่ยนแปลงของสภาวะโลกร้อนและวิธีการช่วยแก้ไขวิกฤติของโลก ในสารคดีชุด "SIX DEGREES COULD CHANGE THE WORLD"  หรือ "6 องศาเซลเซียสเปลี่ยนโลกได้"  โดยขอบขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากไทยโพสต์ คอลัมน์สิ่งแวดล้อม วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551   โดยสารคดีชุดนี้จะนำพาเราไปสู่จินตนาการในวันที่โลกร้อนสุดขีด 6 องศาเซลเซียสว่า

-           วันนั้นจะไม่มีผืนป่าอะเมซอน

-           น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกในขั้วโลกเหนือละลายหายไป 

-           ถ้าโลกเราไม่มีพายุเฮอริเคนความแรงระดับ 6

สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเหมือนยังห่างไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกเราอยู่ห่างจากการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เพียง 6 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มนุษยชาติไม่เคยประสบมาก่อน

            การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ นั้น นับเป็นลางบอกเหตุสภาวะอันตรายที่โลกจะต้องเผชิญ จากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแต่ละองศา ดังนี้

1.     การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส

-           ทำให้บ้านจำนวนหลายหลังคาเรือนในเขตอ่าวเบงกอลต้องจมอยู่ใต้น้ำ

-           เกิดพายุเฮอริเคนโจมตีมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้

2.     การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 2 องศาเซลเซียส

-           ทำให้ธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์ค่อยๆ ละลายหายไป

-           ทำให้เผ่าพันธุ์หมีขั้วโลกเหนือตกอยู่ในภาวะอันตราย

-           แนวปะการัง "เกรต แบริเออร์ รีฟ" ของออสเตรเลียจะตายหมด

 

 

3.     การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ  3 องศาเซลเซียส

-           สามารถทำให้น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกละลายหายไปหมดในช่วงหน้าร้อน

-           ทำให้หิมะที่ปกคลุมเทือกเขาแอลป์ละลายหมดไป

-           ธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดใหญ่ที่สุดในโลก จะละลายหายไปในที่สุด ประชาชนและชุมชนหลายพันล้านคนที่อาศัยแหล่งน้ำจากแม่น้ำคงคา แม่น้ำโขงหรือคนในแถบประเทศอินเดียและจีนนับพันล้านคนจะได้รับความเดือดร้อนขาดน้ำกินน้ำใช้

-           ในผืนป่าอะเมซอนซึ่งเป็นแหล่งผลิตโอโซน 20% ของโลก คาดว่าพื้นที่ป่าจะหายไปไม่ต่ำกว่า 50%  ป่าจะกลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา แม่น้ำสายใหญ่ที่สุดจะแห้งแล้ง คนอดอยาก

-           เกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ ทำให้เกิดความแห้งแล้งในที่ที่เคยมีฝนตกและเกิดฝนตกหนักในที่ที่ไม่เคยตกมาก่อน

4.     การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ  4 องศาเซลเซียส

-           น้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกละลายหมด โลกจะเปลี่ยนไป

-           เมืองใหญ่จะหายไปจมอยู่ใต้น้ำที่สูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 7 เมตร ทั้งบังกลาเทศ อียิปต์ นิวยอร์ก แมนฮัตตัน โลกจมหายอยู่ใต้น้ำ

-           เกิดพายุขนาดใหญ่ระดับ  3 

-           ธารน้ำแข็งไม่หลงเหลือ พื้นที่ทางตอนเหนือของแคนาดาที่เคยหนาวเย็นจะกลายเป็นพื้นที่เกษตรแหล่งใหญ่ของโลก

-           พื้นที่ติดทะเลแถบสแกนดิเนเวีย กลายเป็นชายหาดฤดูร้อน

 

 

5.     การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ  5 องศาเซลเซียส

-           พื้นที่ที่มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้  2 แห่งจะกลายเป็นบริเวณเขตอบอุ่นระหว่างขั้วโลกที่มนุษย์สามารถอาศัยได้ระหว่างตอนเหนือและใต้ของโลก

-           เมืองใหญ่ๆ ของโลก เช่น ลอสแองเจลีส, กรุงไคโร, ลิมาและบอมเบย์ ที่เคยปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งในบางช่วงเวลา จะกลายเป็นเมื่อที่ไม่มีหิมะตกอีกต่อไป 

-           ผู้คนจะอพยพลี้ภัยจำนวนหลายสิบล้านคน จะเกิดความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่ขาดแคลนเพิ่มสูงขึ้น

 

 

6.     การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 6 องศาเซลเซียส เป็นจุดขีดสุดเมื่อโลก วันนั้นก็คงเป็น "วันสิ้นโลก"

-           โลกจะมีสภาพคล้ายคลึงกับยุคครีเตเชียส เมื่อประมาณ 65-144 ล้านปีก่อน

-           น้ำทะเลมีสีฟ้าใสเพราะไม่มีสารอาหารในทะเลหลงเหลือ

-           ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นทั่วไปจนเป็นเรื่องปกติ  เมืองใหญ่หลายเมืองทั่วโลกอาจจะเกิดภาวะอุทกภัยจนทำให้คนทิ้งถิ่นฐานได้

-           ทำให้มหาสมุทรต่างๆ เป็นเพียงพื้นที่น้ำที่ว่างเปล่าและพื้นที่ทะเลทรายจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

การกระตุ้นเตือนให้พวกเราร่วมมือเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเราสามารถมีส่วนช่วยหยุดภาวะโลกร้อนได้โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลายอย่าง เช่น ถ้าบ้านทุกหลังปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในโหมดสแตนบาย ซึ่งมันถูกเรียกว่า "แวมไพร์ โหลด" เพราะการเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนั้นจะค่อยๆ กินพลังงาน เช่น ถ้าถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์จะสามารถช่วยลดความต้องการไฟฟ้าจากโรงงานถึง 18 แห่ง และถ้าหากเราลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากบ้านและรถยนต์ ก็สามารถช่วยลดวิกฤติภาวะโลกร้อนให้อุณหภูมิต่ำกว่า 2 องศา ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซสภาวะเรือนกระจกถึง 7 พันล้านตันต่อปี  

ยังไงก็ช่วย ๆ กันหน่อยนะคะ..ขอร้อง

 

หมายเลขบันทึก: 189888เขียนเมื่อ 23 มิถุนายน 2008 21:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สวัสดีจ๊ะ

มันจะเกิดขึ้นจริงหรือ แย่แน่ ๆ เลย

แล้วจะอยู่กันอย่างไรนี่ โอ้แม่เจ้า

  • ขอบคุณค่ะ ผอ.ประจักษ์
  • ก็ไม่รู้ว่าโลกเราจะนึกเวลานั้นเมื่อไหร่
  • แต่ที่แน่ ๆ เราต้องช่วยกันป้องกันอย่าให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกันนะ

สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไปเยี่ยมชม ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับธีมของบล๊อกนิดหนึ่งว่า animation ของพื้นหลัง ทำให้รู้สึกว่า ไม่สบายตา อย่างมากครับ เพราะขณะที่เรากำลังสนใจเนื้อหาตรงกลาง แต่การเคลื่อนไหวของพื้นหลังจะดึงความสนใจได้มากเลยทีเดียว อุทัย อาวรณ์ http://gotoknow.org/planet/uthai-arwon

  • ขอบคุณค่ะ คุณอุทัย อาวรณ์
  • จะปรับปรุงใหม่นะคะ เห็นว่าสวยดี ไม่ทราบว่าไม่สบายตา
  • ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

ดีมีข้อมูลน่าสนใจมากดีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก5+++++++++++

ขอบคุนน ผู้โพสมากน่ะค่ะ ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์มากเรยค่ะ

ขอแชร์ข้อมูลของผมนะครับ ประโยคที่ว่า "โลกจะมีสภาพคล้ายคลึงกับยุคครีเตเชียส เมื่อประมาณ 65-144 ล้านปีก่อน" ทำเอาผมขนลุกมา เพราะผมเองก็ศึกษาเรื่อง สภาพอากาศสมัยโบราณมาเหมือนกัน พอคร่าวๆ ด้วยความสนใจและความชอบ ผมเคนบอกกับคนสนิทของผม เล่าให้พวกเขาฟังว่า ยุค ครีเตเชียส เป็นยังไง ผมขอถามนะครับ พวกคุณคงได้ยิน ไดโนเสาร์ สายพันธ์ หนึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า T-rex ครีเตเชียส ประสบสภาวะเรื่อนกระจกนะครับ สภาพอากาศร้อน(โคตรๆ) ต้องบอกว่าร้อน (ชิบ?) มนุษย์ ดำรงชีพอยูอย่างยากลำบาก เพราะสภาพอากาศ ร้อนเช่นนั้นทำให้ ไดโนเสาร์ในยุคนั้นมีขนาดใหญ่ หลักฐานจาก สัตว์กินเนื้อ ชื่อว่า Velociraptor มีชีวิตอยู่ช่วงยุค ครีแตเชียส ตอนต้น!! แต่เมื่อ 65 ล้านปีก่อน (ไม่นานมานี้!) ต้องบอกว่า อากาศร้อนขี้นมากกว่าเดิม จนทำให้เกิดสายพันธ์ใหม่ เรียก ค้นพบในเขต มอนทาน่า นั้นคือสายพันธ์ Raptor แต่ตัวใหญ่กว่า เร็วกว่า ทุกครั้งที่โลกเปลี้ยนแปลงไป จะมีสัตว์วิวัฒนาการขึ้นมา หรือ สูญพันธ์ไป ตามธรรมชาติ มาเข้าเรื่องกันต่อเลยนะครับ สายพันธ์ Raptor มีชื่อเต็มว่า Utharaptor และ มีสายพันธ์กินพืช กำเนิดขึ้นมาใหม่ Blacio Sorus สัตว์กินพืชคอยาว ปรากฏตัวขึ้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท