D-I-A-L-O-G-U-E
ไดอะล็อค : สุนทรียสนทนา
โดย
สุกานดา เมฆทรงกลด โรงพยาบาลพิจิตร
กระบวนการสื่อความหมาย และเรียนรู้
การสนทนาภายในกลุ่มเพื่อสร้างความรู้
การเชื่อมโยงความคิดที่กระจายอยู่ให้เกิดพลัง
การสนทนาอย่างลึกซึ้งและลุ่มลึกกว่าการพูดคุยกันแบบธรรมดา
การสนทนาที่เน้นการพูดจาจากใจถึงใจ ที่สะท้อนความเข้าใจกัน
- Attentive Listening ฟังแบบรับไว้ก่อน
- Deep Listening ฟังแบบเข้าใจอารมณ์/ความรู้สึก
มีหลักการฟัง
1. Respecting เคารพในตัวตนของผู้พูด
2. Deep listening ฟังถึงอารมณ์/ความรู้สึก
3. Voicing ฟังแบบอุเบกขา ปราศจากอคติ
4. Suspending ติดตามต่อเนื่อง/แขวานไว้ก่อน
แก่นแท้ของสุนทรียสนทนา
1. ฟังอย่างไร จึงจะลึกซึ้ง
- ฟังอย่างเมตตา ทุกคนต้องการความสุข
- ฟังอย่างไม่ตัดสิน ฟังเหตุผลเขาก่อน
- ฟังอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดว่าถ้าเราเป็นเขา
2. ฟังอะไร
- ฟังผู้อื่น
ความคิด/ความรู้สึก/เหตุผล ให้เวลาผู้อื่นได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจ ให้เวลาตัวเองได้ฟังคนอื่นอย่างเข้าใจ
- ฟังตัวเอง
ความคิด/ความรู้สึก/เหตุผล
- ฟังความเงียบ
สะท้อนความคิดด้วยสมาธิ / สติ
3. ฟังเพื่อ
- หาความหมายด้วยกัน
- การมีส่วนร่วม
- เกิดการยึดเหนี่ยว/เข้าใจ
...............การเรียนรู้
...............การเกิดเป้าหมายร่วม
...............สันติสุขร่วมกัน
หาก...............เกิดอารมณ์/ความรู้สึก เป็นลบ
อาจ...............แสดงอารมณ์/ความรู้สึกได้
แต่ ...............ต้องมีสติในการแสดงความเห็นต่าง
โดย...............ไม่ก้าวร้าว ต่อ กาย – วาจา – ใจ
จากงานมหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 4 โดย
สมปอง อ้นเดช
บัญจธร เตชวณิชย์พงศ์
ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาฯ
1. ปิดมือถือ
2. วางหัวโขน ตำแหน่งงาน ให้ถือว่าสมาชิกทุกคนมีความเท่าเทียมกัน
3. ทำสมาธิก่อนทำ Dialogue ประมาณ 3-5 นาที
4. สร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและเป็นอิสระ
5. ให้ยกมือแสดงความประสงค์เมื่อต้องการพูด
6. พูดทีละคน สมาชิกที่เหลือฟังอย่างตั้งใจ โดยแขวน/วางกรอบความคิดและสมมุติฐานของตนเองไว้
7. ไม่ครอบครองการพูด ต้องเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้พูด/บอกเล่าประสบการณ์
8. ขณะพูดให้พูดกับกลุ่ม ไม่พูดกับคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะ
9. ไม่มุ่งที่จะพูดในสิ่งที่ตนคิดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นเหตุให้ปิดกั้นการรับฟังความคิด/ประสบการณ์ของคนอื่น
10. ผู้ที่เป็นสมาชิกกลุ่มไม่ต้องจดบันทึกขณะทำ Dialogue
11. ไม่พยายามโน้มน้าวให้คนอื่นคล้อยตามความคิดเรา
12. ไม่มุ่งหาข้อสรุป ตัดสิน หรือตกลงในประเด็นใดประเด็นหนึ่งว่า “ผิด/ถูก” “ดี/ไม่ดี” “ใช่/ไม่ใช่”
13. พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์
14. ไม่วิพากษ์คำพูดหรือความคิดของใคร ไม่ใช้คำพูด
“ใช่.......แต่ว่า......." หรือ "เห็นด้วย.........แต่ว่า...........”
15. กรณีที่เห็นด้วย หรือต้องการเสริมความคิดเห็นของผู้อื่น ควรใช้คำว่า “ใช่ และ......” “เห็นด้วยและ......”
จะเอาไปใช้ครับ
ขอบคุณบันทึกดีดี
คุณเกษตรอยู่จังหวัดครับ
หวัดดี คุณออต
หวัดดีครับ ท่านสิงห์ป่าสัก
สวัสดีครับ
ขอบคุณค่ะ ที่นำมาให้อ่าน
เมื่อตอนผมเดะๆมีผู้ใหญ่มักพูดว่าเด็กบ้านนอกไม่ค่อยกล้าแสดงออก เช่นการพูดคุย การตอบคำถาม ไม่เหมือนกับเด็กในเมือง..ผมก็เห็นพ้องด้วยต่อมาเมื่อผมโตเป็นหนุ่มก็พอมีเห็นบ้างว่า การศึกษาช่วยให้คนพูดเก่งขึ้น..แต่เดี๋ยวนี้ผมเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว...พบว่า ไม่ว่าจะไปวงการไหนๆก็เจอแต่นักพูด พูดกันสะบั้นหั่นแหลก พูดแทรก พูดโดยไม่แกรงใจกัน ไม่เกรงใจประธาน ไม่เกรงใจผู้ดำเนินรายการ ไม่เกรงใจคนฟัง ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน..ผมก็มาวิเคราะห์เท่าที่ระดับสติปัญญาน้อยนิดของผมว่า...เมื่อคนเราศึกษากันในระดับการศึกษาสูงๆ ทำงานกันจนมีประสบการณ์มากๆ หรือว่าวัยอาวุโส ก็อยากจะพูดอยากจะแสดงออกให้คนอื่นรับรู้...อาจจะเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น กลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าตนเองมีความรู้ (อาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าที่ตนเองรู้นั้นคือความไม่รู้)จึงเกิดการแย่งกันพูด ไม่มีใครฟังใคร ไม่เคารพกัน...ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมจะเห็นได้ทางหน้าจอทีวี. ต้องขอบคุณอาจารย์สำราญ ที่ไปค้นคว้ามาแบ่งปัน ขอบุญกุศล จงบังเกิดแก่ท่านและสาธุชน(เบิร์ด)