ตะลุยพิภพมหัศจรรย์ ตลาดน้ำ ณ ราชบุรี
ขณะที่ท่านกำลังอ่านเรื่องราวอยู่นี้….ข้าพเจ้าและผองเพื่อนได้กลับถึงบ้านเกิดเมืองนอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และวันนี้บรรยากาศเป็นใจก็เลยมานั่งเทียนเขียนรายงานการเดินทางไปเที่ยว จ.ราชบุรี มาให้พรรคพวกเพื่อนฝูงได้อ่านกัน นะขอรับ...
เพื่อร่วมเดินทาง : ยุธ โก้ หมิง พี่แอนและครอบครัว
01.30: ได้เวลาล้อหมุน นั่งรถทัวร์ กทม.-โคราช กว่ารถจะออกก็ตี 2 เข้าไปแล้ว ผมเริ่มเคลิ้มได้ที่
จะสงสารก็แต่สองศรีพี่น้อง โก้-หมิง ดันแด.. ก กาแฟเข้าไปทำให้ต้องนอนตาเหลือกมา ตลอดทาง
05.00 : หนึ่งชายกับสองหญิง เดินฝ่าความมืดมิดในช่วงรุ่งอรุณของวันใหม่ หากใครยังนึกภาพไม่
ออก ขอแนะนำให้ไปชมหนังเรื่องรัก/สาม/เศร้า นะครับ เรื่องนี้ผมเป็นพระเอก ส่วนอีก สองสาวเรื่องนี้ยกให้เขาเป็นตัวโกงก็แล้วกัน 555
05.20 : มาต่อรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ
โก้ : พี่ยุธ เขาไปขึ้นรถตรงไหนกัน
ยุธ : ไม่รู้เว้ย! คงแถวๆ นี้แหล่ะ เดี๋ยวลองถามคนแถวนี้ดู
ยุธ : โทษครับพี่ รถตู้ไปราชบุรี ขึ้นตรงไหนครับ
ชายแปลกหน้า : อ๋อ...ถัดไปอีก 3 คันน้องเอ้ย
ว่าแล้วกลุ่มฮอพบิทน้อยก็เดินทางไปถึงจุดขายตั๋วรถตู้
โดยสวัสดิภาพ
คนขายตั๋ว : 3 คน คนละร้อยยี่สิบ รวม
สามร้อยหกสิบบาทคับ
ยุธ : แล้วรถออกกี่โมงล่ะพี่
คนขายตั๋ว : ถ้าเขาเห็นคนเต็มก็ออกแล้วล่ะ
ยุธ : พี่คงไม่รู้หรอกว่าพวกเราสามคนน่ะ
ไม่ค่อยเต็ม (ฮิๆๆ)
พวกเราเดินทางถึงราชบุรีประมาณ เจ็ดโมงกว่าๆ ไม่นานพี่แอน (ไกด์แก่ แม่ปลาช่อน) ก็มารับพวกฮอพบิทน้อยถึงท่ารถ พี่แอนบอกว่า เดี๋ยวไปหาแม่เค้าที่ตลาดก่อน จะได้แวะซื้อกับข้าวไปกินกัน (พี่แอนและครอบครัวพูดสำเนียงหน่อ แบบคนสุพรรณ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมพูดเหน่อกับเขาด้วย ปกติก็ชอบอยู่แล้ว) แม่พี่แอนเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ในตลาด แม่พี่แอนใจดี แต่ตีไม่เจ็บ เพราะพวกเราไม่ให้ตี อิๆ พี่แอนพาเดินชมตลาดราชบุรี และซื้อกับข้าวโดยมีผมเป็นหัวเรือใหญ่รับอาสาเป็นกุ๊กในครั้งนี้ โดยมีเมนูเด็ดคือ ผัดหมี่โคราช ปลาสารทหิน ดินด่านเกวียน น้ำพริกปลาทู ต้มผัก และปลาทูทอด
หลังจากซื้อของเสร็จ เป็นหน้าที่ของพ่อพี่แอนที่จะนำพวกเรากลับบ้าน พ่อพี่แอนอายุ 63 ปีแล้ว แต่ยังดูหนุ่มและแข็งแรงมาก ถ้าบอกว่าเป็นทหารหรือตำรวจก็ต้องเชื่อ (ถ้าไม่เชื่อพวกเราคงไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่ๆ 555) พ่อดูหนุ่มและแข็งแรงจริงๆ คับ พ่อพี่แอนใจดีอีกแล้ว พาพวกเรากลับเข้าบ้าน เตรียมทำกับข้าวกินกัน และนี่คือที่มาของอาหารมื้อเช้าที่สุดแสนจะคลาสสิค
บทที่ 1 : ผัดหมี่อร่อยที่สุดในโลก
...จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป... พี่โก้แม่งทำกับข้าวไม่เป็น แต่ขอโทษคับ งานนี้ลงทุนเป็นลูกมือเองเลย หั่นหมู ล้างผัก หั่นผัก อะไรที่พอหยิบจับได้ ก็หยิบฉวยเอามา ทำเป็นยุ่งเข้าไว้ หนอยๆ นึกว่าตูไม่รู้ (พี่โก้แม่งโดนอีกแล้ว) ส่วนพี่แอนน่ะเหรอ ไม่ต้องพูดถึงคับ มานั่งชันเข่าหัวกระเซิง บ่นบ้าอะไรก็ไม่รู้ เอ๊ะ หรือว่ากำลังจะเข้าสู่วัยทอง ...เผลอแป๊ปเดียว ผัดหมี่โคราชก็เสร็จหอมได้ที่ โรยต้นหอมกับถั่วงอกหน่อยให้พองาม ...โอ้แม่เจ้า
ผมได้กลิ่นหอมของเส้นหมี่ตะคุซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดหมี่เข้าให้แล้ว เส้นก็เหนียวนุ่ม รสชาติกลมกล่อมแบบชนิดที่ว่าไม่ต้องเติมเครื่องปรุงเพิ่ม หรือหากคุณชอบผักเยอะๆ ทางเราก็มีถั่วงอกดิบไว้บริการทุกท่าน ทุกระดับประทับใจ ...อาหารมื้อนี้จึงได้ชื่อว่า “ผัดหมี่อร่อยที่สุดในโลก” เกือบลืมไปครับ นอกจากผัดหมี่แล้ว ผมยังตำน้ำพริกกะปิแท้จากแม่กลอง ไว้จิ้มกับผักต้ม และปลาทูทอด เอามาเพิ่มความหลากหลายให้กับอาหารเช้าในวันนี้ ทำเอาแขกผู้มีเกิบ น้ำตาไหลไปตามๆ กัน (เพราะแม่งเผ็ดฉิบ...) ไม่ได้โม้ๆๆๆ
บทที่ 2 : อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม
ภายหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จได้สักพัก พวกเราก็เตรียมตัวออกเที่ยวต่อทันที ซึ่งตามกำหนดการแล้วก็คือ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม โดยมีพ่อพี่แอนรับบทเป็นลูกผู้ชายตัวจริง กระทิงแดงขับรถพาพวกเราเที่ยวแบบไม่กลัวว่าน้ำมันจะหมดประเทศ !
แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะพุ่งทะยานสู่ระดับ 110 เหรียญดอลล่าห์ต่อบาเรลล์ แต่พ่อพี่แอนก็หาได้เกรงกลัวกับราคาที่นับวันมีแต่จะสูงขึ้น.....ใช่คับ ผมกำลังสงสัยว่าพ่อพี่แอนน่าจะมีญาติพี่น้องทำงานอยู่ในกลุ่มโอเปคเป็นแน่แท้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งสิ้น เพราะคำตอบคือ พ่อใช้แก๊สคับ แก๊ส LPG ที่กำลังฟีเวอร์อยู่ทุกวันนี้ และไม่รู้จะฟีเวอร์ไปอีกได้นานเท่าไร เมื่อรัฐบาลท่านจะลอยตัวแก๊สที่ว่าภายในไม่นานนี้แหล่ะ นอกเรื่องไปเยอะแล้วเราก็มาถึง “อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม” ตั้งอยู่ ณ ตำบลวังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี เริ่มก่อตั้งโครงการในปี 50 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมนำเสนอแง่มุมด้านศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่งดงามของสังคมไทย
เท่าที่ผมพอจะจำได้ก็มี หุ่นขี้ผึ้งของท่าน อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ สืบ นาคะเสถียร ประธานาธิบดีโฮจิมินห์ เติ้งเสี่ยวผิง หลวงปู่แหวน หลวงปู่มั่น หลวงปู่ทวด สมเด็จโต และอีกหลายๆ ท่าน
ภายในอุทยานดูสงบร่มรื่นเป็นอย่างมาก ...ผมเหลือบไปเห็นสองศรีพี่น้องชาวอุบล โก้-หมิง เดินโซซัดโซเซมาแต่ไกล สภาพมอมแมมดูไม่ได้ เนื่องจากเธอทั้งสองคน อดหลับอดนอนมาเป็นเวลานาน บวกกับสภาพสังขารที่ร่วงโรยแล้วก็นึกใจหายคับ เกิ๊กๆๆ
ยุธ : พี่แอน โก้ หมิง มา ถ่ายรูปกับชูชกทางนี้เร็ว
พี่แอน/โก้ /หมิง : ไม่เอาง่ะ กลัว.. เดี๋ยวเขาตามไปอยู่บ้าน (กลัวผีชูชกว่างั้นเถอะ)
ยุธ : ในใจผมยังคิดว่าขนาดตูยังไม่กล้าไปเลย แล้วสำมะหาอะไรกับหุ่นพวกนี้มันจะ
กล้าไปเรอะ เหอะๆ
บทที่ 3 : ตลาดน้ำอัมพวา
บ่ายสี่โมงกว่า ๆ เราก็มาถึงที่ตลาดอัมพวา ..
คนแน่นมากหาที่จอดรถก็แทบไม่มี คนแน่นเบียดเสียดกันเดิน ช่วงขึ้นสะพานข้ามฝั่ง ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจริงๆ ครับ "ว่ากันว่าหญิงชายใดไร้คู่ หากได้มีโอกาสมาบนบานศาลกล่าวและเบียดเสียดกันบนสะพานแห่งนี้ เขาว่ามีสิทธิ์จะได้คู่ครองนะครับ" (ว่าไปนั่น) เท่าที่ดูแล้วตลาดนี้จะเน้นหนักไปทางของกินเป็นส่วนใหญ่ ของฝากของใช้ชุมชนเห็นได้น้อยมาก
สิ่งที่ผมประทับใจตลาดแห่งนี้ก็คือ วิถีชีวิตความเป็นไทย ความงดงามของชุมชน มีพ่อค้าแม่ค้า
พายเรือขายของตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว ขนมไส่ไส้ ขนมเบื้อง ขนมตาล ไอติม ผลไม้ มีให้เลือกหลากหลายดูน่ากิน ระหว่างนั้นก็มีเรือมาเล่นดนตรีขับกล่อมผู้คนที่เดินจับจ่ายในตลาดให้เป็นที่สนุกสนานยิ่งนัก นอกจากนี้ผมได้เห็นตากับยายแก่ๆ สองคน อายุเกือบ 70 ปีแล้ว ลูกหลานไม่รู้อยู่ไหน ไม่มาดูแลช่วยเหลือเลย แต่แกก็ไม่บ่น ร้องเรียกผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ดูแล้วก็อดคิดถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่บ้าน ทำเอาผมน้ำตาแทบไหล
ช่วงเย็น ญาติพี่น้องของพี่แอนมาเยี่ยมที่บ้าน คนยิ่งเยอะบรรยากาศก็ยิ่งคึกคัก เรียกว่าเป็นงานราตรีคืนสู่เหย้าชาวราชบุรีเลยก็ว่าได้ ใจดีและน่ารักกันทุกๆ คนเลย (ขอชมหน่อยนะคับ...เดี๋ยวคราวหน้าเขาไม่ให้ไปอีก) นั่งล้อมวงกินข้าวแซ่บหลาย มื้อเย็นมีแม่พี่แอนเป็นคนทำกับข้าวเรียกว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งของบ้าน ส่วนผมขออนุญาตเป็นลูกมือของแม่ ศึกษาเคล็ดวิชาทำอาหารของชาวภาคกลางไปในตัว....
บทที่ 4 : ตลาดน้ำดำเนินสะดวก
วันอาทิตย์สิบโมงกว่าๆ เดินทางมาถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวะที่เรากำลังเดินเข้าไปในตลาด ผมได้เจอกับอีพี่เทิด (มันคือน้องที่ทำงานห้องเดียวกันกับผมเอง) จำได้ว่าก่อนมา ชวนแล้วชวนอีก พี่เทิดก็บอกติดธุระ มีเรียน งานยุ่ง ฝึกจิต ทำสมาธิ สารพัดเหตุผลที่มันจะอ้าง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองคับ หรือว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นเพียงมโนภาพ เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นเองกระนั้นรึ...เผี๊ยะ...โก้ตบหน้าผมหนึ่งฉาด เรียกสติกลับคืนแล้วบอกว่ามันนี่แหล่ะ อีเทิด...แม่งแอบมากะพี่สาว และเพื่อนๆ นี่ถ้าผมไม่เห็นคาตา มันคงกลับมาอำผมที่โคราชแน่นอน เอาล่ะคับ อย่าไปสนใจ มาดูตลาดน้ำดีกว่า นับว่าที่นี้ยังคงมีมนต์เสน่ห์ทำให้หลายต่อหลายคนอยากมาเที่ยวที่นี่ เป็นต้นแบบของตลาดน้ำเลยก็ว่าได้ ทั้งชาวไทยชาวต่างชาติเยอะจริงๆ บ้างก็เดินจับจ่ายซื้อของ บ้างก็ล่องเรือชมวิถีชีวิต แต่เมื่อความเจริญทางวัตถุมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความเสื่อมของชุมชนเช่นกัน
พ่อพี่แอนเล่าให้ฟังว่าพ่อค้าแม่ค้าสองฝั่งของตลาดไม่ถูกกัน มีเรื่องกันอยู่บ่อย เพราะรายได้และผลประโยชน์ที่ไม่เข้าใครออกใครนี่แหล่ะครับ...ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวเป็นมายังไง ได้แต่คิดว่านี่ก็เมืองไทยคนไทยเหมือนกัน คนบ้านเดียวกัน ทำไมไม่ช่วยเหลือกันแบ่งปัน มีน้ำใจให้แก่กันบ้าง ชุมชนและสถานที่แห่งนี้ก็จะน่าอยู่ขึ้นอีกมากทีเดียวครับ เหนื่อยแล้ว...พวกเรามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำรองท้องกันก่อน ก่อนออกเดินทางต่อ
บทที่ 5 : วัดประดู่
เที่ยงกว่าแล้ว ทีแรกกะว่าจะเดินทางกลับบ้านเลย แต่พ่อพี่แอนบอกว่าไหนๆ มาแล้วต้องให้คุ้มค่าก็เลยพาพวกเรามาเที่ยวที่วัดประดู่ วัดแห่งนี้ ครั้งหนึ่ง รัชกาลที่ 5 เสด็จมาจอดพักเรือ มีเรื่องราวต่างๆ มากมายที่น่าสนใจไม่น้อย ศิลปะการประดับตกแต่ง ความงดงามของสถาปัตยกรรมที่แห่งนี้ไม่น้อยหน้าใคร นอกจากนี้ยังมีหุ่นจำลองของบุคคลสำคัญต่างๆ อาทิ ครูเอื้อ สุนทราภรณ์ หุ่นรูปปั้นแม่ย่านาง ผีบ้านผีเรือน เดินผ่านไปเห็นแม่นาค พระโขนง ก็เกิดความประทับใจในคำบรรยายและสื่อความหมายบอกอนุชนรุ่นหลังว่า หุ่นรูปปั้นของแม่นาค พระโขนง นั้นเป็นการแสดงให้พวกเราได้ระลึกนึกถึงความรักที่ซื่อสัตย์ งดงามของหญิงอันพึงมีต่อสามี เป็นความรักที่มั่นคงไม่เสื่อมคลาย ตราบจนสิ้นลมหายใจ...ไม่เหมือนสมัยนี้ที่อยู่กินด้วยกันไม่นานก็ต้องเลิกรากันไป รูปปั้นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ บ่งบอกถึงผู้ที่คอยปกปักรักษาดูแลสมบัติ ทรัพย์สินของชาติมิให้ถูกพวกใจบาปมาฉกฉวยขโมยไปเป็นสมบัติส่วนตัว ดังคำที่ติดไว้ว่า “สิ่งใดที่ไม่ใช่ของของเรา ก็มิควรมีความอยากได้” และที่จะลืมไม่ได้ก็คือไกด์ตัวเล็ก ๆ น่ารักๆ แต่ความสามารถและมุขฮาล้นเหลือมาคอยให้ข้อมูลความรู้และรอยยิ้มให้กับนักท่องเที่ยวและแขกผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี
บทส่งท้าย
ที่สุดของที่สุดแล้ว พวกเราเดินทางกลับมาเอาสัมภาระที่บ้านของพี่แอน ก่อนจากพวกเราก็ไม่ลืมขอบคุณในความมีน้ำใจไมตรี และมิตรภาพระหว่างครอบครัวและผองเพื่อนที่มีให้แก่กัน ผมขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก และเชิญชวนทุกคนให้มาเที่ยวเมืองย่าโม และหวังว่าคงได้มีโอกาสดูแลและตอบแทนทุกๆ คน เฉกเช่นเดียวกับที่ผมและเพื่อน ๆ ได้รับในครั้งนี้.....ขอบคุณครับ
อ่านแล้วสนุกมาก เขียนแล้วทำให้เหมือนได้ไปในสถานที่นั้น สงสัยคนอ่านต้องไปเที่ยวบ้างชะแล้ว คราวหน้าไปเที่ยวที่ไหนอีกเขียนเล่าอีกนะ
เขียนดีเนาะ ว่างๆๆก็เขียนชีวิตให้นางหน่อย
เสียดายเด้อที่มิได้ร่วมทริปด้วย น่าหนุกนะเนี่ย แต่คิดไปคิดมาไม่ได้ไปก็ดีเหมือนกันไม่งั้นโดนกัดในบันทึกการเดินทางแหง๋มๆ ฮี่ๆ
ปล.โม้เก่งเหมือนกันนะเราอ่ะ
พี่ยุธ มุขเยอะกว่าที่คิดนะ
อ่านแล้วเห็นภาพ อยากไปจัง
จะไปมะไหร่บอกน้องด้วยละ
จะตามไปเป็นลูกสมุน
ฮาดีค่ะ ไปเที่ยวแบบสนุกดี เอามาเล่ายิ่งสนุกใหญ่เลย ทำให้อยากไปมั่ง อิอิ
เล่าซะเห็นภาพเลยอ่ะ(อ่ะหรือว่าเราไปมาแล้วก็ไม่รู้อ่ะนะ) แต่ชอบ มุขเยอะดี เก่งจริงๆๆนะจ๊ะเฉิ่มจ๋า อิอิ
ไปเที่ยวหาแต่คนโน้นคนนี้