เป็นที่รู้กันว่าราชภัฏเราประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่าเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อท้องถิ่น ถึงวันนี้ราชภัฏเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยเกือบครบ 4 ปีบริบูรณ์แล้ว ยังไม่เห็นราชภัฏแห่งไหนแสดงวี่แววของสถาบันอุดมศึกษาเพื่อท้องถิ่นเลย
ตั้งแต่เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัย กิจกรรมที่ราชภัฏตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็คือการเปิดสอน ปริญญาโท ปริญญาเอก การเปิดสอนในระดับนี้ ถ้าตั้งใจทำเพื่อจะให้เป็นประโยชน์แก่ท้องถิ่นก็ต้องถือว่านี๋คือโอกาส แต่น่าเสียใจและน่าเสียตายที่การครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อท้องถิ่นเลย เป็นโอกาสในการแสวงหารายได้ของคนในสถาบันเสียมากกว่า ดังจะเห็นได้จากหลักสูตรและการเรียนการสอนไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของท้องถิ่น เผลอ ๆเป็นพิษเป็นภัยแก่ท้องถิ่นด้วย การดำเนินการอย่างอื่นเพื่อท้องถิ่นก็ไม่มี หรือมีก็ไม่ได้เพิ่มปริมาณและคุณภาพขึ้นกว่าก่อนเป็นมหาวิทยาลัย ดูว่าแนวโน้มจะแย่กว่าเสียด้วยซ้ำ ความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆที่จะออกแบบนวัตกรรมที่จะช่วยให้สถาบันทำหน้าที่ตอบสนองต่อท้องถิ่นในเชิงสร้างสรรค์ก็ไม่มี อีกทั้งบุคลากรมีแต่ออก ๆไป ที่รับหรือจะรับมาใหม่ก็ขาดแผนในการพัฒนาที่ดี โอย...อะไรมันถึงวิกฤติถึงขนาดนั้น
ราชภัฏทุกแห่งเลือกเปิดปริญญาโท ปริญญาเอกภาคพิเศษ นัยว่าเพื่อตอบสนองท้องถิ่น ผู้เรียนจะได้ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่ต้องลาเรียน การเรียนในภาคพิเศษทำให้ผู้เรียนไม่สามารถทุ่มเทในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของตนได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะจำกัดทั้งเวลา และพลัง ประกอบกับผู้เรียนมิได้ใฝ่รู้และใฝ่สัมฤทธิ์ สักเท่าไรอยู่แล้ว ก็ไปกันใหญ่ เนื่องจากมีข้อจำกัดดังกล่าว การเรียนในระดับนี้จึงเน้นที่การเข้าเรียนในชั้น เน้นการฟังบรรยาย ขาดการค้นคว้า ขาดการถก เถียง ถาม แถมในหมู่นักศึกษาด้วยกัน กับผู้สอน หรือกับผู้รู้อื่น ๆ รูปแบบการทำวิทยานิพนธ์ ประเด็นปัญหาที่เป็นโจทย์ของการวิจัย เหมือนกับที่นักศึกษาเมื่อ 20-30 ปี ก่อนโน้น แต่คุณภาพแย่กว่ามาก เพราะจะอ่อนทั้งในด้านสังกัป วิธีวิทยา และการกำกับ ติดตาม และตรวจสอบ เป็นต้น ปัญหาสำคัญอยู่ที่หลักสูตรไม่ได้เกิดจากการรู้จริง รู้แจ้งในปัญหาและความต้องการของท้องถิ่น เป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหา ไม่ใช่หลักสูตรที่เน้นการนำไปใช้หรือการแก้ปัญหา หรือในเชิงพัฒนา หลักสูตรพัฒนาขึ้นโดยความรู้และประสบการณ์ของผู้รู้ในสถาบันอุดมศึกษาไม่กี่คน กระบวนการพัฒนาหลายครั้ง หลายที่ ที่เห็นดำเนินไปเพียงเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งก็ไม่น่าจะผ่านการพิจารณาของคณะบุคคล หรือหน่วยงานที่เป็นฝ่ายควบคุณภาพของหลักสูตร นับว่าอาการอย่างนี้เป็นการบ่งชี้ถึงความย่อหย่อนของฝ่ายต่าง ๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาหลักสูตรประการหนึ่ง ราชภัฏน่าที่จะใช้การศึกษาในระดับบัณฑิต เป็นโอกาสของการรู้จักและเข้าใจ ตลอดจนสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับชุมชนที่ราชภัฏนั้น ๆตั้งอยู่ โดยที่ราชภัฏจะต้องพิถีพิถันกับการพัฒนาหลักสูตร ให้หลักสูตรเป็นประโยชน์แก่ท้องถิ่นได้จริง กระบวนการเรียนการสอนต้องเอาชุมชนเป็นฐาน สร้าง สอน เรียน ร่วม กับชุมชน วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และกระบวนการของการศึกษาของราชภัฏต้องแตกต่างอย่างชัดเจนกับมหาวิทยาลัยในส่วนกลาง ต้องแสดงให้เห็นวิธีคิด วิธีทำงาน ที่แตกต่าง และอธิบายได้อย่างที่นักวิชาการในมหาวิทยาลัยกระแสหลักมิอาจดูแคลนได้ แต่ที่เป็นอยู่ราชภัฏพยายามเดินตามรอยมหาวิทยาลัยเหล่านั้น ถึงแม้พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถย่ำรอยของเขาได้สนิท และก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำเช่นนั้น เพราะวิถีนี้ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับท้องถิ่น หรือแม้แต่เมืองก็ได้ประโยชน์จากผลผลิตของราชภัฏน้อยมาก ที่พูดนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงการศึกษาในระดับปริญญาตรีเลย แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเราคิดและทำเยี่ยงมหาวิยาลัยในส่วนกลางเช่นเดียวกัน
กลุ่มเป้าหมายที่มหาวิทยาลัยราชภัฏให้บริการจำกัดอยู่ที่ผู้เรียนที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วเท่านั้น กลุ่มเป้าหมายอื่น เช่น เด็ก และเยาวชนที่กำลังเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ หรือเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้กำลังเรียนอยู่ ผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษา ผู้ใหญ่ที่จบมัธยมศึกษาแล้วแต่ไม่ประสงค์จะเรียนต่อปริญญาตรี ผู้ที่จบปริญญาตรีและโท แต่ไม่ประสงค์ที่จะเรียนต่อปริญญาที่สูงขึ้น และผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่ไม่ได้ประโยชน์จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏ กลุ่มดังกล่าวนี้เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก ซึ่งราชภัฏควรที่จะให้บริการทางการศึกษาแก่เขา ในนามของอุดมศึกษาไม่ควรมีสังกัปที่คับแคบอยู่เพียงการศึกษาในระดับปริญญาเท่านั้น และไม่ควรมองว่าอุดมศึกษาคือการศึกษาหลังมัธยมศึกษา แต่การศึกษาอุดมศึกษาคือการศึกษาของคนที่เป็นผู้ใหญ่ หรือกำลังจะเป็นผู้ใหญ่ต่างหาก กลุ่มเหล่านี้ ถ้าราชภัฏสามารถให้บริการศึกษาแก่พวกเขาได้ก็จะช่วยให้ คน ครอบครัว และชุมชนเข้มแข็งขึ้นได้ ปัญหาสำคัญในประเด็นนี้ก็คือ ราชภัฏขณะนี้ไม่รู้จักคนเหล่านี้ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มีปัญหาและความต้องการอะไร ราชภัฏขาดองค์ความรู้และศิลปวิทยาในการให้การศึกษาแก่คนในท้องถิ่นเหล่านี้ และยังไม่เห็นราชภัฏแห่งไหน ขยับเขยื้อนออกจากจุดนี้เลย
นวัตกรรมและเทคโนโยทางการศึกษาที่ใช้เพื่อให้บริการทางการศึกษาของราชภัฏปัจจุบันนี้ค่อนข้างล้าสมัย ยังเน้นการสอนในชั้นเรียน เป็นการเรียนรู้ผ่านการบรรยายที่นักศึกษาแทบไม่มีบทบาทอะไรเลย สมัยที่เป็นโรงเรียนฝึกหัดครูเป็นอย่างไร ปัจจุบันวิธีการให้การศึกษาของราชภัฏก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ เราไม่ได้พัฒนาสื่อที่ผู้เรียนสามารถเรียนด้วยตนเอง เราขาดนวัตกรรมที่จะใช้ในการฝึกหัดขัดเกลาคนให้ เก่ง ดี และมีความชำนาญ การศึกษาทางไกลโดยใช้สื่ออิเล็คทรอนิคต่าง ๆก็ไม่ได้พัฒนาขึ้นใช้ สิ่งที่ราชภัฏทำอยู่ที่ดูเหมือนจะแตกต่างจากอดีตอยู่บ้างก็คือ การเคลื่อนย้ายผู้สอนไปเปิดการเรียนการสอนในถิ่นที่อยู่ของผู้เรียนเท่านั้น ศูนย์ให้การศึกษาต่าง ๆภายนอกสถาบัน ก็เน้นการให้ปริญญาในสาขาวิชาที่แทบจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงต่อชุมชนท้องถิ่น
ในทางการบริหาร ชุมชนไม่มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม ชุมชนไม่มีโอกาสรับรู้รับทราบทิศทางของความเป็นมาเป็นไปของสถาบัน ไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดความเปลี่ยนแปลงใด ๆในสถาบัน โดยเฉพาะคนระดับคนเล็กคนน้อยในชุมชนถูกสถาบันมองข้ามหน้าตาเฉย ผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นคนในชุมชนจะได้แก่ พ่อค้า นักการเมือง และข้าราชการระดับสูงที่มีสายโยงใยกับพวกพ่อค้าและนักการเมือง ซึ่งคนเหล่านี้ก็ไม่เคยสนใจใยดีคนเล็กคนน้อยที่เป็นคนส่วนใหญ่ของชุมชนท้องถิ่น
ที่ว่ามานี้ อาจจะไม่ถูกก็ได้นะ แต่มีที่ไหนเห็นว่าตนเองไม่ใช่อยั่งที่ว่านี้ ช่วยเล่ามาให้ฟังบ้าง ผมจะได้หายโง่
paaoobtong
บทความนี้ของท่านอาจารย์ ต้องได้คิด และ นำไปคิดครับ รอพระอาทิตย์ ที่จะส่องแสง ไปข่างหน้าครับ
แวะมาอ่าน เมื่อมีคนกรุณาตั้งข้อสังเกต ก็ต้องร่วมกันพิจารณา และรับฟัง
ขอบคุณอาจารย์ที่แวะไปเยี่ยม
อ่านคำกลอนและ
ฝากข้อคิดเห็นไว้ให้ด้วย
รับไว้พิจารณาค่ะ
และจะพยายามจะ
อยู่เหนือสุขและทุกข์นะคะ
คงยากเหมือนกันน้อ อิอิ
เรียน ท่านอาจารย์