พิธีไหว้ผีเมืองหลวงน้ำทา เป็นพิธีสำคัญของคนไทในเมืองหลวงน้ำทา พิธีนี้จัดขึ้นในวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๙ ประมาณเดือนมิถุนายน โดยชาวบ้านเวียงเหนือซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไทโยนอพยพมาจากเมืองเงินและเมืองหงสาในสมัยที่หลวงน้ำทาอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองน่าน ในพิธีนี้มีหมอเมืองเป็นผู้ประกอบพิธีพร้อมกับผู้ช่วยคนอื่นๆ บริเวณพิธีจะมีตาแหลวติดเอาไว้ไม่ให้คนนอกเข้ามาในบริเวณพิธี วัวตัวเมียที่มีลูกอ่อนถูกนำมาฆ่าสังเวยผีเมือง มีการปรุงอาหารประเภทต่างๆจากเนื้อวัวเพื่อสังเวยผี เพื่อร้องขอความอุดมสมบูรณ์และความสุขสงบแก่บ้านเมือง เป็นพิธีที่ต้องทำขึ้นก่อนฤดูทำนา
............................................................................................................
นบไหว้ผีเมืองหลวงน้ำทา[๑]
รัตนาพร เศรษฐกุล
ประเพณีการไหว้ผีเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ไทเป็นประเพณีสำคัญที่ปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่อดีต ประเพณีนี้มีความเกี่ยวข้องกับระบบการผลิตและการควบคุมกำลังคนเพราะเป็นประเพณีที่ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในการติดต่อกับผีอารักษ์ของเมืองซึ่งเป็นผีที่อำนวยความอุดมสมบูรณ์ให้กับการผลิต เพราะผีอารักษ์ของเมืองมักเป็นบรรพบุรุษของเจ้าเมืองหรือผู้ปกครองเมือง ดังคำกล่าวของชาวลื้อในสิบสองปันนาว่า “นายบ้านตายเป็นผีบ้าน เจ้าเมืองตายเป็นผีเมือง” นอกจากนี้ยังเป็นพิธีกรรมที่ทุกครัวเรือนจะมีส่วนในการประกอบพิธีกรรม เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกับปากท้องของชาวบ้านชาวเมือง ขั้นตอนในการประกอบพิธีกรรมต้องถูกต้องตามจารีตที่เคยปฏิบัติกันมา สัตว์ที่ฆ่าสังเวย อาหารที่ปรุงเพื่อเลี้ยงผี บทบาทหน้าที่ของผู้ประกอบพิธีกรรม สีเสื้อผ้าที่ผู้ประกอบพิธีกรรมสวมใส่ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆและข้อห้ามต่างๆในระหว่างการประกอบพิธีจะต้องถูกต้องและปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด
ประเพณีการไหว้ผีเมืองหลวงน้ำทาถูกงดเว้นไปในช่วงที่ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยม แต่คติความเชื่อถือผีอารักษ์ไม่สูญหายไป แม้พิธีกรรมจะปรับเปลี่ยนไปบ้างแต่ก็ยังแสดงถึงความเข้มแข็งของความเชื่อนี้ในหมู่คนยวนในเมืองหลวงน้ำทา จึงมีการรื้อฟื้นการประกอบพิธีเลี้ยงผีเมืองขึ้นมาอีกในหมู่บ้านเวียงเหนือซึ่งเป็นหมู่บ้านหลัก เป็นที่ตั้งของ “เฮือนหลวง” และเคยเป็นศูนย์กลางของอำนาจการปกครองดั้งเดิมในเมืองหลวงน้ำทา แต่ในปัจจุบันนี้พิธีกรรมเลี้ยงผีเมืองถูกเปลี่ยนแปลงไปให้มีกลิ่นอายของสังคมนิยมด้วยการเพิ่มเติมกิจกรรมของการชุมนุมสังสรรค์ของชาวบ้านหมู่บ้านยวนทั้งหมดในเมืองหลวงน้ำทาที่บ้านเวียงหลวง ชุมชนหมู่บ้านยวนได้จัดให้มีการละเล่นพื้นเมืองและระบำรำฟ้อนต่างๆเป็นการแสดงวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของคนยวน ส่วนการเลี้ยงผีดำเนินไปอย่างเงียบๆที่ดงไม้ห่างจาก”บ่อนม่วนซื่น”ไม่มากนัก เป็นพื้นที่ที่เคยประกอบพิธีมาแต่ดั้งเดิม
กระบวนการพิธีเลี้ยงผีเมืองหลวงน้ำทาในปัจจุบันยังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ต่างไปจากเดิมมากนัก ผู้ประกอบพิธีและผู้ร่วมพิธีทำหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ไม่มีเครื่องดนตรีประกอบใดๆ ไม่ได้มีการแสดงความครึกครื้นเฮฮาเหมือนพิธีเลี้ยงผีของเมืองอื่นๆที่กลายเป็นการละเล่นพื้นเมืองอวดนักท่องเที่ยว ในขณะที่การละเล่นต่างๆเพื่อความสามัคคีและแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนนั้นนั้นดำเนินไปในอีกภาคส่วนหนึ่งไม่ห่างจากดงกรรมนั้นมากนัก ผู้คนส่วนใหญ่จะไปชุมนุมกันในพื้นที่ม่วนซื่น ปล่อยให้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใต้การจัดการของผู้เชี่ยวชาญการประกอบพิธีและทายาทของผีเมืองทั้งหลาย มีการล้อมรั้วและปักตาแหลว คนภายนอกห้ามเข้าออกอย่างชัดเจน
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเมืองหลวงน้ำทา
เมืองหลวงน้ำทาปัจจุบันนี้เป็นเมืองศูนย์กลางของแขวงหลวงน้ำทาเป็นหนึ่งในสิบหกแขวงของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นแขวงที่อยู่เหนือสุดของประเทศ ภาคเหนือของลาวประกอบด้วยแขวงหลวงน้ำทา แขวงเชียงขวาง แขวงหัวพัน แขวงอุดมไชย แขวงหลวงน้ำทา แขวงพงสาลี แขวงบ่อแก้ว และแขวงไชยบุรี มีเมืองสิงเป็นเมืองชายแดนติดต่อกับจีนที่เมืองล่า เขตการปกครองตนเองสิบสองปันนาที่หลักเขตชายแดนจีนลาวหมายเลข ๕๖ ทางตะวันตกแขวงหลวงน้ำทาติดต่อกับพม่าโดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นเขตแดน ทางใต้และทางตะวันออกของแขวงหลวงน้ำทาติดต่อกับแขวงบ่อแก้วและแขวงอุดมไชย โดยแขวงบ่อแก้วนั้นมีเมืองห้วยทรายอยู่ตรงข้ามฝั่งน้ำโขงกับเมืองเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีด่านชายแดนที่ข้ามติดต่อกันได้ที่เชียงของและที่ห้วยโก๋น จังหวัดน่าน
แขวงหลวงน้ำทามีศูนย์กลางการบริหารอยู่ที่เมืองหลวงน้ำทา ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยราชการหลัก มีเมืองภายใต้การปกครองของแขวงหลวงน้ำทาห้าเมือง คือ เมืองหลวงน้ำทา เมืองสิง เมืองลอง เมืองเวียงภูคาและเมืองนาแล จากศูนย์กลางของแขวงหลวงน้ำทาไปยังเมืองอื่นๆเป็นระยะทางดังนี้
เมืองหลวงน้ำทา-เมืองสิง ๖๐ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำทา-นาเต้ย ๓๗ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำ-บ่อเตน (ชายแดนลาว-จีน) ๖๐ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำทา-เวียงภูคา ๖๕ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำทา-นาแล ๘๒ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำทา-หลวงพระบาง ๓๕๐ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำทา-เมืองบ่อแก้ว ๑๙๕ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำทา-เมืองล่า (จีน) ผ่านบ่อเตน ๑๒๕ กิโลเมตร
เมืองหลวงน้ำทา-เชียงกก ๑๓๕ กิโลเมตร
รูปลำน้ำทาที่เมืองหลวงน้ำทา
เมืองหลวงน้ำทาเป็นเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ไท เพราะที่ตั้งอยู่ระหว่างรัฐไทหลายรัฐ จึงมีความสัมพันธ์กับรัฐไทโบราณ เช่น ล้านนา ล้านช้าง เชียงตุงและสิบสองปันนาอย่างแน่นแฟ้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของเมืองหลวงน้ำทาเป็นที่ราบกว้างล้อมรอบด้วยภูเขา
เมืองหลวงน้ำทามีแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำทาไหลจากเหนือลงใต้ เป็นที่มาของชื่อเมืองนี้ พื้นที่นี้ยังมีแม่น้ำสาขาของน้ำทาที่หล่อเลี้ยงพื้นที่การเพาะปลูก ทางตะวันออกมีน้ำดีและน้ำทุง ทางตะวันตกมีน้ำแงนและน้ำฮอย ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้มีน้ำลือ ถนนสายหลักของเมืองหลวงน้ำทาตัดคู่ขนานกับลำน้ำทาไปสู่เมืองสิงที่ชายแดนเหนือสุดหรือลงไปใต้สุดถึงเมืองห้วยทรายหรือแยกไปแขวงอุดมไชย
การขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าและการตัดถนนเพื่อขนส่งสินค้าจากจีนลงมาสู่ตลาดลาวทำให้เศรษฐกิจของแขวงหลวงน้ำทาพัฒนาไปแม้จะไม่รวดเร็วมากนัก เดิมที่มีไฟฟ้าใช้จำกัดเพียงแค่หกโมงเย็นถึงสามทุ่มเปลี่ยนแปลงเป็นใช้ได้ตลอดวัน ถนนกว้างขวาง มีการใช้รถยนต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถปิ๊กอัพที่ขนได้ทั้งคนและสินค้า วันดีคืนร้ายจะมีขบวนแรลลี่รถนับร้อยคันวิ่งผ่าเข้ามากลางเมืองเพื่อจะข้ามชายแดนเข้าสู่สิบสองปันนาของจีน ตลาดเมืองหลวงน้ำทามีสินค้าราคาถูกของจีนเข้ามาล้นหลาม ตลาดเปลี่ยนรูปแบบใหม่เป็นตลาดแบบโรงไม้ถาวร แบ่งแยกประเภทของสินค้าให้สะดวกแก่คนซื้อ แต่อาจไม่ถูกอัธยาศัยของชาวต่างถิ่นที่อยากเห็นความเก่าของบ้านเมือง
ลักษณะเด่นของแขวงหลวงน้ำทา คือ มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่สุดในลาวและประวัติศาสตร์อันยาวนาน พิพิธภัณฑ์เมืองหลวงน้ำทาตั้งแสดงโบราณวัตถุเก่าแก่ เช่น ไหหินบรรจุกระดูก เครื่องโลหะสำริดแบบต่างๆ แผ่นหินตั้ง ศิลาจารึก กลองมโหระทึกของชาวขมุ เครื่องแต่งกายและเครื่องใช้ไม้สอยของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์เป็นเทือกเขาและที่สูงจึงทำให้มีกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง หรือ ลาวสูงอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เป็นจำนวนมาก ประชากรของแขวงหลวงน้ำทามีประมาณ ๑๑๔,๕๐๐ คน กลุ่มชาติพันธุ์ในแขวงหลวงน้ำทามีประมาณ ๓๙ กลุ่ม ทั้งกลุ่มไท-กะได กลุ่มมอญเขมร และม้ง-เย้า อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของตนเองกว่า ๓๐ แห่ง เช่น ม้ง อาข่า เมี่ยน สามท้าว ไทแดง ลื้อ ไทเหนือ ไทขาว ไทกะหล่อม ขมุ ละเม็ด ลาว ไต และจีนยูนนาน
แขวงหลวงน้ำทายังเป็นพื้นที่ห่างไกลจากการท่องเที่ยว ทำให้ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกหลายๆอย่าง แต่สิ่งที่น่าสนใจของหลวงน้ำทา คือ ประเพณีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ธรรมชาติที่สวยงาม ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของริมฝั่งน้ำโขง และงานฝีมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าทอของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังคงรูปแบบเดิม ใช้วัสดุจากธรรมชาติหรือที่ผลิตขึ้นเอง และการย้อมสีธรรมชาติที่สวยงาม มีทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้ายที่ผลิตในหมู่บ้านต่างๆ
ชาวบ้านเวียงเหนือเมืองหลวงน้ำทา
การแต่งกายของชาวบ้านเวียงเหนือเมืองหลวงน้ำซึ่งเรียกตัวเองว่าไตโยนหรือลาวโยน
พิธีไหว้ผีเมืองหลวงน้ำทา
ประเพณีการไหว้ผีเมืองหลวงน้ำทาเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวยวนบ้านเวียงเหนือเมืองหลวงน้ำทา สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษเพื่อร้องขอผีเมืองให้อำนวยความอุดมสมบูรณ์ให้แก่บ้านเมือง ปกปักรักษาผู้คนให้อยู่ดีมีความสงบสุขและให้สัตว์เลี้ยงออกลูกเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น[๒] ประเพณีนี้งดไปตั้งแต่ลาวเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประเทศสังคมนิยม เพิ่มจะมาเริ่มต้นทำใหม่เมื่อสองปีที่แล้ว ตามประวัติที่เล่าต่อกันมาเมืองหลวงน้ำทาแต่เดิมปกครองโดยเจ้าเมืองซึ่งเป็นชาวยวนมาจากเมืองหงสาและเมืองเงินซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองน่าน ชาวบ้านเวียงเหนือเล่าถึงประวัติความเป็นมาของตนว่า บรรพบุรุษของตนอพยพมาจากสิบสองปันนามาอยู่ที่เชียงตุงแล้วจึงอพยพมาอยู่ที่เมืองหลวงน้ำทา ต่อมาเจ้านายผู้ปกครองทะเลาะวิวาทกัน จึงมีส่วนหนึ่งที่ย้ายไปอยู่ที่เมืองเงินซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองน่าน พื้นที่เดิมของเมืองหลวงน้ำทานี้เป็นถิ่นที่อยู่ของพวกสีดา (เป็นมอญ-เขมรกลุ่มหนึ่ง) แต่คนเหล่านี้ไม่ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเมืองใหญ่ ต่อมามีคนไทยวนอพยพเข้าอยู่ที่บ้านเวียงใต้ในปัจจุบัน ที่ตั้งแห่งนี้ดีเพราะมีลำน้ำขนาบอยู่สองข้าง เหมาะแก่การเพาะปลูก นานเข้าผู้คนเพิ่มมากขึ้นจึงมีการขยายไปตั้งบ้านเวียงเหนือ บ้านขอน บ้านหลวง บ้านดอนคูณ บ้านเชียงงาม และบ้านบอน ประมาณทศวรรษ ๑๙๖๐ ผู้คนอพยพโยกย้ายไปอยู่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้วเพราะถูกทิ้งระเบิดในระหว่างสงครามเวียดนาม
รูปหมอเมือง
ในกลุ่มหมู่บ้านเหล่านี้บ้านเวียงเหนือเป็นบ้านหลัก เรียกว่า “บ้านก๊กบ้านเก๊า” เป็นศูนย์กลางการบริหารของเมืองหลวงน้ำทา มีเจ้าเมืองปกครองพร้อมทั้งท้าวขุนเป็นตำแหน่งเจ้าแสนเจ้าหมื่น จนกระทั่งฝรั่งเศสยึดลาวเป็นเมืองขึ้นจึงเข้ามาจัดการปกครองใหม่ เจ้าเมืองเหลือบทบาทในการรักษา”ฮีตกอง”ของบ้านเมือง บ้านเวียงเหนือซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองจึงเป็นบ้านที่ประกอบพิธีกรรมในการเลี้ยงเมืองที่ดงกรรม กำเนิดของพิธีเลี้ยงผีเมืองนี้เล่ากันมาว่า นานมาแล้วบ้านเมืองเกิดอดอยากขาดแคลน ไม่มีน้ำเพาะปลูก ผู้คนอดตาย ชาวบ้านออกไปสำรวจดูก็พบว่ามีเครือเขากาดกั้นลำน้ำเอาไว้ไม่ให้น้ำไหลมาสู่เมือง ไม่มีผู้ใดกล้าไปตัดเครือเขาให้น้ำไหลมาได้ มีหญิงพี่น้องสองคนอาสาพายเรือไปตัดเครือเขา โดยมีข้อแม้ว่าหากนางทั้งสองถึงแก่ชีวิตเนื่องจากการตัดเครือเขานั้น ชาวเมืองจะต้องทำพิธีเลี้ยงผีของนางทั้งสองในเดือนแปดของทุกปี โดยใช้วัวตัวเมียสีคล้ำที่มีลูกอ่อนมาฆ่าสังเวย ให้ลูกวัวร้องหาแม่วัวเหมือนที่ชาวเมืองร่ำร้องไห้หานางทั้งสอง ผีอารักษ์เมืองหลวงน้ำทานั้นนอกจากนางทั้งสองแล้วยังมีผีเจ้าช้างเผือก ผีแสนสุรินทร์ และผีปู่หนวก การเซ่นไหว้นั้นต้องฆ่าควายเลี้ยงเจ้าช้างเผือก แสนสุรินทร์นั้นเลี้ยงด้วยไก่และไข่ ผีปู่หนวกเลี้ยงด้วยหมู ในอดีตการเลี้ยงผีเมืองทำหลายครั้ง ปัจจุบันนี้ทำเพียงครั้งเดียวเลี้ยงผีทุกตน ที่มาของการเลี้ยงผีอารักษ์นี้นายเพ็ง สีพันกองเล่าว่า เกิดจากการที่มีคนเฒ่าคนแก่เดินทางไปเมืองเชียงใหม่ลำปาง เห็นมีการชุมนุมผู้คนกัน พอจะเข้าไปดูก็ถูกห้ามเข้าเพราะเป็นพิธีเลี้ยงผีขะกุนหรือผีปู่ย่า จนกระทั่งเสร็จพิธีจึงอนุญาตให้เข้าไปร่วมกินเลี้ยงด้วย เฒ่าแก่เหล่านั้นจึงนำเอาประเพณีนี้มาปฏิบัติสืบกันมา[๓]
รูปหอผีเมือง
ประเพณีการเลี้ยงผีเมืองหลวงน้ำทาที่บ้านเวียงเหนือเป็นภาระหน้าที่ของบ้านเวียงเหนือ โดยชาวบ้านทุกคนมีส่วนร่วมในการประกอบพิธี แต่ชาวบ้านที่มาร่วมในการประกอบพิธีกรรมจริงๆนั้นเป็นผู้ชายเท่านั้นและเป็นผู้ชายอาวุโสของหมู่บ้าน ดงกรรมหรือสถานที่ประกอบพิธีอยู่ใกล้ๆกับวัดและใจบ้าน เป็นดงไม้เขียวครึ้ม ในตอนเช้าประมาณ ๗ นาฬิกาผู้ประกอบพิธีได้แก่ หมอหลวง แสนใน หาบมาตร แบกดาบและอุ้มขัน นำเอาสิ่งของต่างๆและจูงวัวเดินเข้ามาสู่บริเวณพิธี
รูปวัวที่นำไปเซ่นผีเมือง
หอผีเมืองเป็นหอกว้างประมาณสามเมตร สูงสองเมตรครึ่ง มุงด้วยสังกะสี มีหิ้งไม้สูงประมาณสองเมตรจากพื้นดิน และมียกพื้นไม้ยาวสูงจากพื้นดินสำหรับให้หมอหลวงยืนประกอบพิธี บนหิ้งมีเครื่องเซ่นไหว้เตรียมไว้ จานชามใส่อาหารและเหล้า วัวที่จะใช้เซ่นไหว้ผีเมืองถูกผูกไว้กับต้นไม้ ข้างๆมีเพิงสำหรับปรุงอาหาร มีชายฉกรรจ์จำนวนประมาณ ๑๐ คนเตรียมพร้อมที่จะทำอาหารสำหรับเซ่นไหว้ผี หมอหลวงสวมชุดยาวสีแดงยืนอยู่ที่หอผีอย่างสงบ คอยตระเตรียมของเซ่นไหว้ผี มีร่มสีแดงปักไว้ด้านขวาของหอบริเวณที่หมอหลวงยืนทำพิธี นอกจากหมอหลวงแล้วมีผู้รับหน้าที่เป็นแบกดาบ หาบมาตร และอุ้ม มีผู้มีบทบาทในการกำกับพิธี คือ แสนใน เช่นเดียวกับการไหว้ผีเมืองล่าที่สีแดงถูกกำหนดให้เป็นสีของผู้ประกอบพิธี คนอื่นๆที่เข้ามาร่วมพิธีเซ่นไหว้ผีเมืองหลวงน้ำทาจะสวมเสื้อสีแดงหรือคล้ายคลึงสีแดงไม่ได้
เมื่อหมอหลวงกล่าวขออนุญาตเริ่มทำพิธีและขอฆ่าสัตว์เซ่นสังเวยต่อผีเมืองเสร็จแล้ว แสนในก็บอกให้เริ่มการฆ่าสัตว์สังเวย ผู้ทำหน้าที่เพชฌฆาตเป็นลูกชายของแบกดาบ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งทหารและทำหน้าที่นี้สืบทอดกันในตระกูลเหมือนกับคณะผู้ประกอบพิธีคนอื่นๆ การฆ่าวัวใช้วิธีทุบหัวอย่างเชี่ยวชาญ เพียงครั้งแรกวัวก็ล้มทั้งยืนโดยไม่มีเสียงร้องแล้วทุบอีกครั้งหนึ่ง หลังจากวัวตายแล้วชายหนุ่มสองสามคนก็มาช่วยกันแล่เอาหนังวัวออกและตัดแบ่งเนื้อออกเป็นส่วนๆ แบ่งให้ผู้ประกอบพิธีกรรม และนำไปปรุงอาหารที่เรือนหลวงของทายาทเจ้าเมืองหลวงน้ำทา อาหารที่ปรุงเซ่นไหว้ผี หรือ “แก้มผี” คือ ลาบดิบใส่เลือดและไม่ใส่เลือด แกง ข้าวเหนียวนึ่งและเหล้า ในระหว่างที่กำลังปรุงอาหารจะมีชาวบ้านชายนำเอาดอกไม้ ธูปเทียน และเงินมาส่งให้กับผู้ประกอบพิธีให้นำไปวางไว้บนหิ้งในหอผีนั้นเรื่อยๆ
รูปการฆ่าวัวเพื่อเซ่นผีเมือง
รูปอาหารที่เตรียมเลี้ยงผีเมือง
ชาวบ้านชายที่ประกอบพิธีนำเอาเนื้อ กระดูกและเครื่องในมาตัดสับแล้วใส่ลงในหม้อแกงที่กำลังเดือด ส่วนหนึ่งสับเนื้ออย่างเอาจริงเอาจัง มุ่งจากปรุงลาบที่รสชาติดีที่สุด “แก้ม” ผีเมืองเป็นการทำงานของคณะพ่อครัวที่น่าดูเพราะทุกคนต่างรู้หน้าที่ มีหัวหน้าพ่อครัวคอยบอกเป็นระยะๆ ประมาณสิบนาฬิกาอาหารทุกอย่างปรุงเสร็จแล้วนำใส่หม้อเอามาวางเรียงไว้หน้าหอผี ให้ชายฉกรรจ์สามคนมาตักอาหารแต่ละอย่าง คือ ลาบแดง ลาบขาว และแกงไปส่งใส่ไว้ในชามบนหอ หมอหลวงจะรินเหล้าเชิญผีเมืองลงมารับเครื่องเซ่นแล้วตักอาหารแต่ละอย่างทีละคำ เสร็จแล้วจะ “เก็บข้าว” คือ เสี่ยงทายเมล็ดข้าว หากได้จำนวนสี่คู่ หกคู่ หรือแปดคู่แสดงว่าผีเมืองได้รับเอาอาหารด้วยความพอใจอิ่มแล้ว ก็จะเริ่มเซ่นอาหารครั้งที่สองและสาม หากไม่ได้จำนวนเมล็ดตามนั้นจะต้องตักอาหารเช่นเดิมอีกและเสี่ยงเมล็ดข้าวสารอีกสามครั้ง ครบตามจำนวนนั้นถือว่าผีเมืองอิ่มแล้วเป็นอันเสร็จพิธี เนื้อส่วนติดซี่โครง ขา หาง และหูวัวถูกนำไปที่”เรือนหลวง”เพื่อปรุงเป็นอาหารที่จะจัดใส่ลงในพาข้าว จัดให้สวยงามเพื่อเซ่นไหว้ผีอีกครั้งหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นอาหารให้กับทายาทเจ้าเมืองและผู้อาวุโสที่รออยู่ที่เรือนหลวง เป็นอันเสร็จพิธีรื้อเอาตาแหลวออกและผู้ประกอบพิธีก็ร่วมรับประทานอาหารกันในบริเวณใกล้หอผีเมืองนั่นเอง
(ต่อ)