หนังสือ "ชีวิตมนุษย์เป็นหนังสือเล่มใหญ่" เป็นหนังสืออนุสรณ์อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายบรรจง ชูสกุลชาติ บันทึกนี้เป็นเหตุการณ์บทเรียนการบริหารในจังหวัดเชียงรายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๒ หรือเมื่อ ๓๙ ปีมาแล้ว เมื่อมาเทียบเคียงกับเวลานี้บางเรื่องบางราวก็ยังปรากฏอยู่แต่บางเรื่องก็เปลี่ยนไปแล้ว
"ครูในกระทรวงศึกษาธิการที่น่าสนใจ มีอยู่สองประเภท คือ ครูประถมศึกษาและครูมัธยมศึกษา เพราะระดับอุดมศึกษานั้นไม่น่าสนใจและใส่ใจอะไรมาก ไม่ว่าสมัยใด ๆ ครูประถมศึกษาจะมีปริมาณมากกว่าครูมัธยมศึกษาถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ครูมัธยมศึกษาจะมีเพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น หรืออย่างมากก็มีไม่เกิน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของครูทั้งจังหวัด ครูมัธยมส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในเมืองหรือในตัวอำเภอ ไม่เหมือนครูประถมศึกษาต้องประจำทำงานอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งที่ที่ไปมาสะดวกและไม่สะดวก ทั้งที่ใกล้เคียงและห่างไกลทุรกันดาร ทั้งที่ที่มีผู้ก่อการร้ายและมีโจรผู้ร้าย ทั้งที่ที่มีหมู่บ้านน้อยและหมู่บ้านมาก
ในด้านการสอนนั้น ครูมัธยมส่วนใหญ่จะสอนอย่างมากก็ยี่สิบชั่วโมง และสอนบางวิชา แต่ครูประถมศึกษาส่วนใหญ่จะสอนทุกชั่วโมงในสัปดาห์และสอนทุกวิชา บางคน บางเวลา บางแห่ง ต้องสอนสองชั้น สอนสามชั้น และสอนสี่ชั้น โรงเรียนทั้งโรงบางแห่งมีครูสอนอยู่คนเดียว ครูประถมศึกษาบางแห่งจึงเป็นทั้งครูใหญ่ ครูน้อย และภารโรง เป็นทุกอย่าง ครูประถมศึกษาจึงเป็นครูสารพัดนึกในระบบการศึกษาไทย โรงเรียนประถมศึกษานั้นเล่า ก็เป็นโรงเรียนที่มีแต่ความขาดแคลนไปเสียทุกเรื่อง ขาดแคลนทั้งอาคารเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอน ขาดแคลนทั้งพัสดุครุภัณฑ์และบรรดาเครื่องใช้ไม้สอยในการดำเนินงาน เรื่องความขาดแคลนดังกล่าวนี้โรงเรียนมัธยมศึกษาอยู่ในฐานะที่ขาดแคลนน้อยกว่า ครูประถมศึกษาส่วนใหญ่ทำงานยาก ทำงานในสถานที่ลำบาก ทำงานมากและหนัก แต่เงินเดือนของเขาน้อย ยศฐาบรรดาศักดิ์ก็กล่าวได้ว่าต่ำต้อยกว่า บรรยากาศในชีวิตและงาน ก็เป็นบรรยากาศที่ไม่สดชื่นแจ่มใสนัก ครูประถมศึกษาจึงเป็นครูที่น่าสนใจ น่าเห็นใจและน่าเอาใจใส่ให้มาก ครูประถมศึกษาเป็นครูที่น่าห่วงและต้องการความช่วยเหลือในทุกเรื่อง และเนื่องจากครูประถมศึกษาเป็นครูที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กที่มีอายุ ๖ - ๑๒ ปี ครูประถมศึกษาจึงต้องคลุกคลีอยู่กับเด็กเล็กที่มีอายุระหว่างนี้ ปีแล้วปีเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า และวันแล้ววันเล่า ดังนั้นครูประถมศึกษาจึงดูดซึมเอาลักษณะจิตใจและนิสัยเด็กเล็กมาโดยไม่รู้สึกตัว ลักษณะจิตใจและนิสัยครูประถมศึกษาส่วนรวมจึงคล้าย ๆ เด็กเล็ก เช่น อยากได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ทำดีแล้วอยากให้คนเห็น และเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในตนเอง เช่นเดียวกับเด็กเล็ก บางทีก็เป็นคนที่ขี้ฟ้อง ขี้ร้อง ขี้กลัว ขี้น้อยใจ และขี้เกียจแบบเด็ก ๆ
ดังนั้น กระบวนการบริหารครูประถมศึกษาต้องแตกต่างไปจากครูมัธยม คือ ผู้บริหารจะต้องหมั่นชม หมั่นให้กำลังใจ และหมั่นช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยน้ำใจอันเมตตากรุณา อย่างไม่มีเวลาหมดสิ้นและอย่างไม่เหนื่อยหน่าย ถ้าครูประถมศึกษามีขวัญดีมีกำลังใจดีแล้ว ครูประถมศึกษาจะมีความกล้าหาญที่เผชิญสถานการณ์และอุปสรรคต่าง ๆ ทางการศึกษาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าครูประถมศึกษา มีขวัญกำลังใจดีแล้ว ครูประถมศึกษาจะเสียสละ จะสู้ และจะเสี่ยงในการสอน ในการดำเนินงาน และในการปรับปรุงโรงเรียนทุก ๆ ด้าน ถ้าครูประถมศึกษามีขวัญและกำลังใจดีแล้ว ครูประถมศึกษาจะริเริ่มสิ่งใหม่ในวงการศึกษา ในอาณาจักรแห่งความทุกข์ยาก ความแร้นแค้น และความกันดาร
ดังนั้น หน้าที่ของผู้บริหารที่สำคัญที่สุดก็คือ การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับครูอย่ารู้จาง จากการที่ได้คลุกคลีกับครูประถมศึกษามาเป็นเวลานับสิบ ๆ ปี ผมมีความรู้สึกว่า ครูประถมศึกษาเป็นครูที่น่ารักที่สุดในโลก
ส่วนครูมัธยมศึกษานั้นเป็นครูที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ ๑๓ - ๑๙ ปี เป็นส่วนมาก เด็กเหล่านี้กำลังอยู่ในวัยที่กำลังแสวงหาความดี บางทีก็อวดดีเพราะมีดีอวด บางทีก็อวดดีเพราะไม่มีดีอวด แต่สิ่งที่เขาอวดได้เสมอคือพลังทางกาย เด็กวัยนี้กำลังเจริญวัย เจริญทั้งกายและใจ ดังนั้นครูมัธยมส่วนมากก็มักดูดซึมเอานิสัยและลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้จากเด็กที่ตนอยู่ใกล้ชิดและคลุกคลีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ครูมัธยมจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือมากนัก มักต้องการพึ่งตนเอง และเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบจู้จี้จุกจิก ไม่ชอบให้เอาใจใส่ให้เกินการ และไม่ชอบการสั่งงาน ชอบสิ่งแปลก สิ่งใหม่ ชอบสิ่งตื่นเต้น สิ่งที่น่าทึ่งมากกว่าสิ่งที่ธรรมดา ๆ
ผู้บริหารการศึกษาต้องแสดงบทบาทให้ต่างกันกับการแสดงกับครูประถมศึกษา ถ้าผู้บริหารระดับอำเภอหรือจังหวัดจะไปที่โรงเรียนมัธยม ผู้บริหารนั้นจะต้องมีดี มีสิ่งใหม่และมีสิ่งแปลกไปหาเขา ผู้บริหารที่พกเอาระเบียบ พกเอากฎหมาย และพกเอาความเข้มงวดกวดขันเข้าไปในโรงเรียนมัธยมศึกษาบ่อย ๆ และเสมอไปนั้น ไม่มีวันจะเข้ากันได้ เมื่อเข้าไปก็ต้องมีหลักการ มีเหตุผล และมีกระบวนการที่น่าสนใจและน่าทึ่ง ต้องให้เขามีความรู้สึกว่า น่าพึ่งพาอาศัย น่าไว้ใจและน่านับถือ ไม่เช่นนั้นช่องว่างระหว่างผู้บริหารการศึกษากับครูมัธยมศึกษาจะห่างไกลกันและนั่นย่อมเป็นอันตรายสำหรับการบริหารการศึกษาในอำเภอ จังหวัด กรม และกระทรวง"
ไม่มีความเห็น