ซำเหนือเมื่อหน้าหนาว(๗)


เวียงไซบ่อนปฏิวัติของลาว

น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้สัมภาษณ์ชาวบ้านอย่างเต็มที่  คุณบุญเจ้อช่วยหาข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์พ่อเฒ่าซึ่งอายุใกล้เคียงกับเรา  ได้ข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีของไตแดงหลายอย่าง เช่น การแต่งงานหรือกินดองหรือแต่งดอง  มีทั้งแต่งเอาเขยเข้าเฮือนและแต่งเอาใภ้ออกเฮือน  หากแต่งเอาเขยไปสู่บ้านสะใภ้  ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้จัดงานแต่งงานที่เฮือนของตนเอง  จะมีธรรมเนียมสู้ยันระหว่างบ่าวเขย คือ กลุ่มคนหนุ่มที่พาเจ้าบ่าวมาเป็นเขย  มีการแห่กันอย่างอย่างสนุกสนาน  อาจจะนำเอาอาหารประเภท ปลาส้ม ปลาม่ำ จูงหมู วัว หรือไก่ซึ่งจะนำเอาปรุงอาหารเลี้ยงแขกมาด้วย  เป็นขบวนที่พะรุงพะรังพอดู  ฝ่ายหญิงซึ่งจะเตรียมความเรียบร้อยของสถานที่จะแกล้งด้วยวิธีการนานัปการไม่ให้ฝ่ายชายได้รับความสะดวกสบาย เช่น แอบขโมยสิ่งของต่างๆที่ฝ่ายชายนำมา ทำให้หาไม่พบเมื่อจะต้องใช้  เอาหนามไปปักรอบๆเรือน  ไม่ให้ขึ้นเรือนได้สะดวก  ดับไฟในเตา หากอยากได้ของคืนหรืออยากให้เกิดความสะดวกสบายต้องจ่ายเงิน  คล้ายกับการกั้นประตูแล้วเรียกเงินค่าเปิดประตู  เพียงแต่ทุลักทุเลกว่า

              การแต่งงานต้องมีขันแต่ง  เงินแต่งนั้นไม่จำกัดตายตัวขึ้นอยู่กับฐานะของฝ่ายชาย  เอาเงินป๋ง (เป็นน้ำหนักโบราณของจีนเท่ากับ ๑๔ หมัน ๒ บิ) ประมาณ ๒.๖ ป๋งเท่ากับหนึ่งกิโลกรัม  ปกติแล้วจะให้ประมาณ๑๒ป๋งอย่างมาก  ภายหลังเปลี่ยนจากเงินป๋งเป็นเบี้ย  สิบเบี้ยเท่ากับหนึ่งป๋ง   มีค่าข้าวม่ำน้ำนมให้กับแม่ของฝ่ายหญิง เป็นเงินประมาณห้าหมันสองวิ่น ให้เฉพาะแม่ พ่อจะขอแบ่งไม่ได้  หลังจากแต่งดองต้องอยู่เรือนภรรยาแปดปี  หากไม่อยู่ต้องชดใช้เงินปีละห้าหมันหรือสองแสนห้าหมื่นกีบ  เงินจำนวนนี้คิดลดไปหากฝ่ายชายเป็นผู้จ่ายเงินค่าสินเลี้ยงในการแต่งดอง  ที่น่าสนใจคือมีเงินลุงตา  แล้วแต่จะให้  เงินจำนวนนี้จะแบ่งกันระหว่างพี่ชายน้องชายของแม่  เงินจำนวนนี้จะสร้างความผูกพันและภาระความรับผิดชอบ เป็นการจองความฮักความแพง  หากครอบครัวใหม่มีปัญหาไม่ว่าจะเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วย  ความขัดแย้งต่างๆ ปัญหาเงินทอง  ญาติผู้ใหญ่เหล่านั้นที่ได้รับเงินลุงตาไปแล้วต้องมาเยี่ยมมาสู่และช่วยแก้ไขปัญหาให้  เป็นธรรมเนียมที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของคนในตระกูลของฝ่ายหญิง  เช่นเดียวกับชาวจ้วงในมณฑลกวางสีสมัยก่อนพี่ชายน้องชายของแม่มีบทบาทมากในพิธีแต่งงาน  แสดงถึงความสำคัญของผู้หญิงที่มีให้เห็นมากในสังคมไต-ไท

              ประเพณีอื่นๆ เช่น การขึ้นเฮือนใหม่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องมงคล  ต้องมีหมอมื้อหาฤกษ์งามยามดีให้  เมื่อถึงฤกษ์หมอมื้อจะนำสิ่งของเครื่องใช้เสื้อผ้าอาวุธ  เอาขึ้นเฮือน  จุดไฟซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสว่างรุ่งเรือง ความอิ่มหมีพีมัน  ปูเสื่อที่นอนให้พ่อเฮือนแม่เฮือน  หลังจากนั้นเจ้าเฮือนกับญาติมิตรก็กินเลี้ยงกันสนุกสนาน

              ประเพณีการตายนั้นคล้ายกับไตดำ  แต่จะเก็บศพไว้นานวันเพียงใดขึ้นอยู่กับฐานะของครอบครัวนั้นๆ  มีธรรมเนียมส่งวิญญาณไปเมืองเลียนพานเหมือนไตดำ  การกล่าวส่งผีจะไม่ให้ไปทันที  จะต้องส่งล่องน้ำม่า  ให้ผีไปพักอยู่เมืองใกล้ๆ  ไปถึงชายฝั่งทะเลแล้วค่อยไปเมืองแถง เมืองตุมวาง เหมือนไตดำ  พิธีศพมีหมอส่งผีเป็นผู้ทำพิธี  ธรรมเนียมต่างๆมาเลิกในช่วงประมาณค.ศ.๑๙๖๘  หันไปรับเอาวัฒนธรรมเวียตนาม เช่น การเสนบ้านเสนเฮือนก็เปลี่ยนมาเป็นการฉลองตรุษสารทเหมือนญวน  พอถึงฤดูเพาะปลูกห้าหกครอบครัวจะรวมกันทำพิธี  ยังมีการกินข้าวใหม่เหมือนกันกับไตดำ  ก่อนเกี่ยวข้าวชาวบ้านจะฆ่าไก่  นำมาปรุงอาหารให้ผีพ่อผีแม่กิน  ถือว่าผลผลิตใหม่ต้องให้บรรพบุรุษได้กินก่อน  เหมือนกับธรรมเนียมของคนไทยวนที่ภายหลังนำเข้าไปในวัดแทน

              หลังจากเพลิดเพลินกับการฟังพ่อเฒ่าเว้าความฮีตไตแดงและชื่นชมกับความงามของลำน้ำม่าแล้ว  คุณบุญส่งซึ่งพยายามเหลือเกินที่จะให้ได้ข้อมูลมากๆ  ได้ตามไปถามถึงการทอผ้าให้จนได้ชื่อประธานสหพันธ์สตรีซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มทอผ้า  ตามหาจนพบเรือนของเธอ  เป็นเรือนไม้ผสมไม้ไผ่หลังเล็กๆ  มีโรงเลี้ยงหม่อนอยู่ใกล้ๆ  เธอบอกว่ากำลังจะปลูกเรือนใหม่  ได้เอาผ้าออกมาให้ดู  เป็นผ้าที่เคยเอาไปขายในงานที่เวียงจันทน์มาแล้ว  เป็นผ้าซิ่นไตแดงลวดลายสวยงาม มีลายหมี่ลายหมี่เครือ ลายเกาะ ลายดอกต่างๆ  ผ้าหน้าหมอน และผ้าทอสีพื้น  เป็นการใช้ไหมที่ปลูกเองผสมกับไหมจากโรงงาน  หรือผสมกับฝ้าย  มีทั้งย้อมสีธรรมชาติและสีเคมี  แต่ดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มในการใช้สีเคมีมากขึ้นเรื่อยๆ  ขอซื้อมาเบิ่งสี่ห้าผืนตามประสาคนเบี้ยน้อยหอยน้อย  และเกรงใจสหายจะเข้าใจว่าเราเป็นคนไทยประเภทซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า  อันที่จริงก็อยากจะเหมาทั้งกองอยู่หรอกนะ

 

เวียงไซ: บ่อนเกิดปฎิวัติลาว

              ออกจากสบฮ่าวก็ซิ่งต่อไปเวียงไซ  กะว่าจะไปดูถ้ำท่านผู้นำ  ไปถึงตลาดเล็กๆอีกนั้นล่ะ  มีอาหาร ขนม และผลไม้ขาย  ดูเหมือนจะเป็นท่ารถเมล์ด้วย  สหายสะกิดว่าใกล้ๆกันมีร้านขายสิ่งทอไท  ก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาว่าสวยงามเพียงใด  ดูเหมือนว่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เห็นร้านขายสิ่งทอซึ่งเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ซู้ด  เป็นร้านเล็กๆขนาด ๓x๓ เมตร  มีจักรเย็บผ้าตั้งอยู่ตรงกลาง  มีตู้ใส่ผ้าวางอยู่ด้านหน้า  มีผ้าแขวนตั้งแต่เพดานลงมาถึงพื้น  มีสาวๆนั่งอยู่ก่อนแล้วสามสี่คน  นัยว่าเอาผ้ามาส่งให้เจ้าของร้านซึ่งเป็นสาวงามที่พูดจาฉะฉานและมีทักษะในด้านการตลาดดีทีเดียว  มีผ้าทอสวยงามที่ใช้ประดับผนังห้อง  ผ้าสว้างแล่ง แปลว่า ผ้าสะไบค่ะ ผ้าซิ่นแบบของไตแดง และผ้าใช้ในโอกาสต่างๆ  เป็นศูนย์รวบรวมส่งไปขายยังบ่อนอื่น  คราวนี้ช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ขนาดซื้อไม่กี่ผืน เงิน(ของสหาย)ก็ยังไม่พอ สหายต้องออกไปหาที่แลกเงินเพราะป้าแกซื้อรวมเป็นเงินกว่าล้าน(กีบ) แล้วสาวงามเจ้าของร้านไม่รับเงินดอลลาร์  เอากะเธอซิ

              หลังจากซื้อผ้าจนเกือบจะหนำใจแล้ว  ก็ออกเดินทางจะไปเบิ่งถ้ำท่านผู้นำ  ระหว่างทางพบหน่วยกู้ระเบิด  ซึ่งสหายบอกว่าในเขตนี้มีอยู่มากมาย  เพราะอเมริกามาทิ้งแล้วไม่เก็บกลับบ้านไปด้วย  ทำให้เกิดการระเบิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการจนพี่น้องชาวลาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอยู่บ่อยๆ  ต้องมีหน่วยงานเก็บกู้ระเบิดซึ่งเก็บไปเต้อะ ไม่รู้จักหมดสักที เพราะท่านเล่นทิ้งแบบไม่บันยะบันยัง  มีเท่าไหร่ทิ้งให้หมด  ไม่ใช่บ้านใช่เมืองแม่กูนี่หว่า  ไปกินข้าวกลางวันกันประมาณสามโมงเย็น  บอกแล้วไง  ทริปนี้ไม่เคยกินข้าวเที่ยง  สาบานให้ก็ได้  ร้านนี้ก็เกือบจะหาอะไรมาให้กินไม่ได้เหมือนกัน  เอาเถอะเราไม่เดือดร้อนกับอาหารกายเท่าอาหารตาหรอก  มาคราวนี้ได้พบได้เห็นอะไรที่ถูกใจมากเหลือเกิน  แม้แต่ผ้าไตแดงเก่าๆลายปูที่ทางร้านเอามาติดผนังให้ดูก็ยังสวยเลย

              ภาคเหนือของลาวเป็นเขตที่ถูกทิ้งระเบิดมากที่สุด  คุณบุญเจ้อบอกว่าอเมริกามาทิ้งระเบิดประมาณสามล้านลูก  ประชากรภาคเหนือมีล้านห้า  ก็รับกันไปคนละสองลูกเน็ตๆ  คุณบุญส่งคงเห็นว่าหน้าตาเรามันก็ลาวคือกัน  เลยมั่วซื้อตั๋วคนลาวให้โพดเพราะมันถึกกว่าตั๋วชาวต่างประเทศ เธอสรุปเอาง่ายๆว่าอาจารย์ไม่ต้องบอกเขาว่าเป็นคนไทยก็แล้วกัน  เอาลาวก็ลาว  บ่เป๋นสัง  เพราะเราหน้าตาอินเตอร์อยู่แล้ว  ไปเมืองไหนก็มีคนเชื่อหัวปักหัวปำว่าเป็นคนชาตินั้น  ตอนไปจีนก็มีคนมาทักว่าเป็นซิ้มจีน  ไปเวียดนามเขาก็ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษด้วย  ไปพม่าก็บอกให้เราไปเอาผงประทินผิวเหลืองๆมาทาแก้มจะได้ผิวสวย

หมายเลขบันทึก: 201079เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2008 10:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีครับอาจารย์แม่ เพื่อนผมชื่อเล่นว่านายเจ สอนอยู่ที่ ม.อุบล ตอนนี้ลาศึกษาต่อ นายเจเคยแต่งกาพย์ เกี่ยวกับประเทศลาวไว้ ขอนำกาพย์ของเพื่อนผมมาคอมเมนท์ นะครับ

ฝรั่งเศสอภิวัฒน์

อีหล่า บ่ทันหลับ                เบิ่งห้องหับ บ่ทันเมี้ยน
หญ้าตัด บ่ทันเตียน             เพิ่นมาเฆี่ยน เพราะผิดใด
ฝรั่งสิมาบุก                       บ่ฟ่าวลุกบ่ฟ่าวไป
แจแม่นย่าน แจแม่นไข้         จั๊กแม่นไผ สิแม่นหยัง

เสียงแส้ เพิ่นฟาด                เสียงปืนกราด เพิ่นบ่ยั้ง
เข่นฆ่า เบิดเวียงวัง              พวกฝรั่ง สิครองเมือง
กิโยติน กระหายเลือด           เวียงจันทน์เดือด อยู่เนืองเนือง
เพิ่นว่า สิยึดเมือง                 ลาวกะเซื่อง เบิดลานซ้าง

ยึดลาวไปเบิดแล้ว               ยังฆ่าแกวเบิดทั้งห้าง
เป็นหยัง บ่มียาง                  ฮู้จักบ้างบ่บาปบุญ?
เจ็บใจข้อยเคียดแค้น            อยากสิแฮ่น พวกสถุล
เวียงจันทน์ ข้อยวอดวุ่น        เพราะพวกจุ้น เมส์ซิเยอร์

กึ้นหัวคนจนกุด                   ยังมาฉุดหญิงอีกเด้อ
ฉุดไปได้ปรนเปรอ               บำรุงกาม พวกหยาบช้า
เลอรัว เดอ แวร์ซายส์           ข้อยซ้ำใจ เป็นหนักหนา
แม่หญิง ข้อยฮักมา              ฮั่นหลงบ้า ฝรั่งไป

เสียเมืองกะซ่างเมือง            แม้นแค้นเคืองบ่ปานใด๋
แต่แค้นย้อนเจ็บใจ               แม่หญิงไซร้ไปนำมัน
ฮ้องไห้บ่คลายโศก               งึดนำโลกนำนงครัญ
ลามูร์ เพิ่นโจษจัน                แจแม่นฮ้าย พ่อนายเอ๋ยฯ

เชษฐภัทร วิสัยจร
13 มีนาคม 2546

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท