ภาวะสมองตาย


สมองตาย

ภาวะสมองตาย

สมองของมนุษย์

ภาวะสมองตาย (อังกฤษ: brain death) เป็นบทนิยามที่ทางนิติศาสตร์และทางแพทยศาสตร์ใช้หมายเอาการตายของบุคคล ซึ่งได้ริเริ่มขึ้นในช่วง พ.ศ. 2503 ทั้งนี้ โดยทั่วไปมักหมายเอาภาวะที่ไม่สามารถฟื้นฟูระบบการทำงานของสมองของบุคคลได้อีกแล้ว อันเป็นผลมาจากการตายหมดแล้วทุกส่วนของเซลล์ประสาทในสมอง (อังกฤษ: total necrosis of cerebral neurons) เพราะเหตุที่ได้ขาดเลือดและออกซิเจนหล่อเลี้ยง

ทั้งนี้ พึงไม่สับสนภาวะสมองตายกับสภาพร่างกายทำงานนอกบังคับจิตใจเป็นการเรื้อรัง หรือสภาพผักเรื้อรังของผู้ป่วย (อังกฤษ: persistent vegetative state)

รายงานนิยามความตาย : ประเด็นทางแพทยศาสตร์ นิติศาสตร์ และจริยศาสตร์ในการกำหนดนิยามของความตาย

แต่เดิมทั้งทางนิติศาสตร์และทางแพทยศาสตร์หมายเอาการตายของบุคคลว่าได้แก่การสิ้นสุดลงของการทำงานของอวัยวะสำคัญบางส่วน โดยเฉพาะการหายใจและการเต้นของหัวใจ ต่อเมื่อโลกทางแพทยศาสตร์พัฒนาตามลำดับ ความสามารถในการกู้ชีพ (resuscitation) บุคคลซึ่งหัวใจหยุดทำงานแล้ว ไม่หายใจแล้ว หรือไร้ซึ่งสัญญาณว่ามีชีวิตอยู่ก็พัฒนาไปด้วย จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงบทนิยามของการตายเสียใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งความจำเป็นเช่นว่านี้เกิดต้องกระทำรีบด่วนขึ้นเมื่ออุปกรณ์การพยุงชีวิต เช่น การปลูกถ่ายอวัยวะ (organ transplantation) ได้แพร่หลายยิ่งขึ้น อันเป็นผลให้อวัยวะของมนุษย์หลายชิ้นทำงานต่อไปได้อีก

ในสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2511 คณะกรรมการเฉพาะกิจ (ad hoc committee) ที่วิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด (Harvard Medical School) แต่งตั้งขึ้นได้จัดพิมพ์รายงานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับการให้นิยามของอาการโคม่าเหลือจะเยียวยา (irreversible coma) ซึ่งได้กลายมาเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะสมองตายของผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้

ใน พ.ศ. 2519 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งสหรัฐอเมริกาได้มีมติเห็นชอบด้วยที่จะกำหนดให้ภาวะสมองตายเป็นการส่อว่าบุคคลได้ถึงแก่ความตายแล้ว ต่อมาใน พ.ศ. 2524 คณะกรรมาธิการในประธานาธิบดีเพื่อการศึกษาปัญหาทางจริยธรรมในการวิจัยทางแพทยศาสตร์ และทางชีววิทยา และทางพฤติกรรมศาสตร์ (President's Commission for the Study of Ethnical Problem in Medicine and Biomedical and Behavioral Reseach) ได้จัดเผยแพร่รายงานสำคัญชื่อ "นิยามความตาย : ประเด็นทางแพทยศาสตร์ นิติศาสตร์ และจริยศาสตร์ในการกำหนดนิยามของความตาย" (Defin­ing Death: Medical, Legal, and Ethical Issues in the Determination of Death)[1] ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปฏิเสธว่า สมองส่วนบน (higher brain หรือ upper brain) ตาย สมองทั้งมวลก็ตายไปด้วย ซึ่งรายงานฉบับได้กลายเป็นมูลฐานในการกำหนดบทอธิบายศัพท์ว่า "ความตาย" ในรัฐบัญญัติจัดระเบียบการกำหนดนิยามของความตาย (Uniform Determination of Death Act) อันยังใช้บังคับอยู่ในมลรัฐกว่าห้าสิบมลรัฐ

ปัจจุบัน ทั้งทางนิติศาสตร์และทางแพทยศาสตร์กำหนดให้ภาวะสมองตายเป็นการตายในทางกฎหมายของบุคคล ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าระบบร่างกายทั้งปวงจะค่อย ๆ สิ้นสุดลงซึ่งการทำงานตามลำดับภายหลังจากที่สมองสิ้นสุดการทำงานลง

ด้วยเหตุนี้ แม้บุคคลที่สมองตายแล้วจะดำรงอยู่ได้ด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน เช่น การให้ออกซิเจน การใช้เครื่องเปลี่ยนถ่ายโลหิต แต่แพทย์ก็สามารถประกาศได้ว่าบุคคลนี้ถึงแก่ความตายแล้ว

ชาติแรกที่กำหนดให้ภาวะสมองตายเป็นการตายทางกฎหมายของบุคคลคือประเทศฟินแลนด์ ใน พ.ศ. 2514 ซึ่งต่อมาอีกไม่นาน มลรัฐแคนซัสแห่งสหรัฐอเมริกาก็ประกาศใช้กฎหมายในทำนองเดียวกัน[2] สำหรับประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดเช่นนี้

 ข้อเท็จจริงทางแพทยศาสตร์

หลังจากที่สมองของบุคคลตาย กล่าวคือ หยุดการทำงานลงโดยสิ้นเชิง ร่างกายของบุคคลจะไม่ตอบสนองต่อการกระทบกระทั่งภายนอกอีก โดยระบบการทำงานอื่น ๆ ในร่างกายและชีวิตของบุคคลนั้นจะค่อย ๆ สิ้นสุดลงตามกาลและตามลำดับ เว้นแต่จะมีการประทังชีวิตด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้นว่า เครื่องช่วยหายใจ เครื่องช่วยฟอกเลือด เครื่องช่วยสูบฉีดโลหิตแทนหัวใจ[3]

หลังจากที่หัวใจหยุดเต้น เซลล์ในสมองบางส่วนจะหยุดทำงานภายในสามถึงห้านาที แต่บางส่วนอาจทำงานได้อีกประมาณสิบห้านาที ไตจะอยู่ได้อีกหนึ่งชั่วโมง กล้ามเนื้อมีชีวิตอยู่ได้อีกสี่ถึงห้าชั่วโมง นอกจากนี้ ผมและเล็บก็ออกได้อีกหลายวัน[4]

การรู้ว่าสมองของบุคคลตายแล้วอาจกระทำได้โดยดูจากการตรวจวิเคราะห์ทางกายภาพ เช่น บุคคลที่สมองตายแล้วไม่มีอาการตอบสนองต่อความเจ็บปวด และไม่มีรีเฟล็กซ์ของประสาทที่โพรงกระโหลก (cranial nerve reflexes) ทั้งนี้ ยังสามารถตรวจได้โดยเครื่องฉายภาพคลื่นไฟฟ้าสมอง หรืออีอีจี (electroencephalogramme หรือ EEG) โดยหากกราฟในจอเครื่องปรากฏราบเรียบแสดงว่าสมองของผู้รับการฉายภาพสิ้นสุดการทำงานลงแล้ว[5]

พึงสังวรว่าควรแยกความต่างระหว่างภาวะสมองตายกับภาวะอื่นที่อาจดูคล้ายสมองตายให้ได้ ภาวะอื่นดังกล่าว เช่น ภาวะเป็นพิษเหตุยากดประสาท (barbiturate intoxication) ภาวะเป็นพิษเหตุสุรา (alcohol intoxication) การได้รับยาระงับประสาทเกินขนาด (sedative overdose) ภาวะตัวเย็นเกิน (hypothermia) ภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด (hypoglycaemia) และสภาพผักเรื้อรังของผู้ป่วย (chronic vegetative states)

มีกรณีที่ผู้ป่วยบางรายแม้อยู่ในขั้นตรีทูตก็อาจประทังความเจ็บไข้ถึงขั้นรักษาหายได้ และบางรายแม้บรรดาประสาทจะเสียการทำงานถึงขั้นตรีทูตแล้วก็อาจประทังความเจ็บไข้ได้เช่นกัน หากไม่ได้สูญเสียเปลือกสมอง (cortex cerebri) และระบบการทำงานของก้านสมอง (brainstem) ด้วยเหตุเช่นว่านี้ ถึงแม้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพไร้สมองใหญ่ (anencephaly) หากไม่ได้สูญเสียสิ่งทั้งสอง ก็ยังไม่ถือว่าประสบภาวะสมองตาย แต่ผู้มีสภาพไร้สมองใหญ่ก็อาจถูกกระทำแพทยานุเคราะหฆาตได้ตามเหมาะสม

คำสำคัญ (Tags): #สมองตาย
หมายเลขบันทึก: 206202เขียนเมื่อ 6 กันยายน 2008 00:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม 2012 07:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
นันทกานต์ บุญวิจิตร์

ตอนนี้พ่อของดิฉันตกอยู่ในอาการ ของสมองตายเป็นบางส่วน(คุณหมอว่าสมองส่วนการเคลือนไหว)ทำให้นั่ง เดินไม่ได้ด้วยตัวเองต้องมีคนช่วยเหลือ ขณะนี้ยารักษาก็ไม่มีคุณหมอว่าต้องผ่าดูก่อนว่าสาเหตุของสมองตายเกิดจากอะไรถึงจะทำการรักษาได้ (แล้วถ้าผ่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ค่ะ หมอบอกว่าอาจมี)มันเลยทำให้ดิฉันไม่กล้าตัดสินใจเพราะขณะนี้พ่อของดิฉันอายุ 68 ปีแล้วค่ะ ดิฉันกลัวว่าพ่อจะเป็นคนทดลองยา กลุ้มใจจังเลยไม่รู้ว่าจะทำยังงัยดีใครพอมีความรู้หรือประสพการณ์ตรงลองส่งมาคุยกันบางซิค่ะ

ตอนนี้คุณยายของฉันตกอยู่ในสถานะสมองตายบางส่วนไม่สามรถรักษาได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท