Sri Lanka 29 Aug - 3 Sep #1


Ayubowan = May all living beings on Earth have Longer Life

         

              ได้มีโอกาสพักร้อนไปศรีลังกาเป็นเวลา 4 วันเต็ม  นับว่าเป็นโอกาสอันดีเพราะตั้งใจว่าจะไป Backpack เองมานานแล้ว  แต่ผู้ร่วมก๊วนแบกเป้ที่ว่างอยากท่องเที่ยวมากกว่าเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม  ก็เลยต้องพับโปรแกรมไว้เป็นเวลานานพอสมควร  วันดีคืนดีพี่อี๊ดก็โทรมาถามว่า พี่พลจัดทัวร์ไปศรีลังกา 4 วัน 5 คืนจะไปหรือไม่  ใจน่ะไปตั้งนานแล้วแต่ต้องตรวจสอบตารางงานก่อนว่าจะกระทบงานหรือเปล่าเพราะหัวหน้าไม่อยู่ช่วงนั้นพอดี  ปรากฏว่าพอจะลาพักร้อนได้  ก็เลยตอบตกลง  เคลียร์งาน  เตรียมเงิน  เตรียมใจให้เปิดรับกับสิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์ดีๆ  เพื่อนใหม่  และเพื่อนเก่าในทริปใหม่    

         ก่อนวันเดินทางหนึ่งวัน  บรรยากาศทางการเมืองเต็มไปด้วยความตึงเครียด  พธม.เป่านกหวีด ปี๊ดดดดดดดด..............ยกพลบุกยึดทำเนียบ  สนามบินภูเก็ตถูกปิด  นึกในใจตูไปต่างประเทศทีไร   กลับมาต้องปฏิวัติทุกที  ปฏิวัติครั้งก่อนไปนำเสนองานที่ Italy วันสุดท้ายที่ Milan ขอแยกจากคณะไปอังกฤษคนเดียว  ขณะที่รอสายการบิน Low cost airline เข้าแถวเพื่อ Check in ผู้โดยสารคนอื่นๆในแถวสะดุดตาใบหน้าของกะเหรี่ยงอย่างเราซึ่งมีเนื้อที่ค่อนข้างจะเยอะเป็นพิเศษ  คงจะไปสะดุดต่อมสงสัยของเธอเข้า  เลยถามว่า  "คุณมาจากประเทศอะไร?"    "ประเทศไทยค่ะ "  "ไอ้หยา!!! คุณไม่รู้หรือว่าเขาปล่อยรถถังมาเดินเล่นในกรุงเทพน่ะ "  "ไอ้หยา!!! แล้วเหตุการณ์รุนแรงหรือเปล่า?" บลา  บลา  บลา........ จนถึงครั้งนี้พวกเราที่ไปทั้งหมด 8 คน (หญิง 6 ชาย 2) ระหว่างทางที่เดินทางมา Check in 4  คนแรก  บางคนเพิ่งรู้จักกันครั้งแรกก็ยังสงวนท่าทีที่จะไม่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองมากนักเพราะไม่รู้ว่าใครนิยม (ไม่ถึงกับฝักใฝ่)ฝ่ายใด  ยังคงถือหลักสากลคือไม่พูดเรื่องการเมือง  ศาสนา  และ sex ไว้ก่อน

        หลังจากมีการแบ่งข้าวเหนียวไก่ทอด  กล้วยย่างและบังเอิญได้ยินการสนทนา (หนูไม่ได้เสียมารยาทแอบฟังนะคะ)  ก็พอจะจับทางได้ว่าพวกเดียวกันนี่หว่า  ตอนนี้น้ำลายก็เริ่มแตกฟอง ไม่ได้คุยเรื่องการท่องเที่ยวกันซักเท่าไหร่  ห่วงแต่จะเกิดเรื่องร้ายแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก  กังวลพี่อีกคนในกลุ่มที่เป็นแฟนพันธ์แท้ของ PAD อาจจะยกเลิกการเดินทาง   เมื่อมาถึงสนามบินเวลาประมาณ 17 นาฬิกาเศษ  พบว่าเครื่อง Delay 1 ชั่วโมง แต่เปิดให้ Check in  ได้แล้ว ก็ทำการลดภาระกระเป๋าทั้ง 4 คนที่ SriLankan Airline, Counter S, Flight UL 889 น้ำหนักกระเป๋าน้อยสุด 6.3 กก  มากสุด 32 กก (มาทราบภายหลังว่าพี่กุ้งเตรียมจีวรจำนวน 12 ชุดไปถวายพระที่ศรีลังกา  อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ)   ระหว่างที่ทำการ Check in ก็มีความพยายามติดต่อให้พี่กุลไม่งดเดินทาง  โดยเปลี่ยนผู้โทรไปเรื่อยๆ  สุดท้ายพี่อี๊ดแจ้งว่า  ไปเถอะ  ไปทำบุญ  ส่งผลบุญ  อธิษฐานจิตจากศรีลังกากลับมาเพื่อให้พธม. ชนะ  พี่เขาก็ตอบตกลง (จริงๆพี่เขาห่วงคุณแม่มากกว่า) หลังจากนั้นเราทั้ง 4 ก็ผ่านตม. สังเกตว่าแถวของผู้เดินทางสั้น  ไม่ค่อยมีคนเท่าไร(ทั้งไทยและเทศ)  แผล่บเดียวก็ผ่านด่านเข้าไปข้างใน 

         นั่งรอผู้ร่วมทางที่ King Power Lounge มี Blueberry Cheese Cake และอื่นๆ  กินกันจนหมดต้องเรียกน้องเขาให้มาเติม  ระหว่างนั้นก็ Check สถานการณ์ทาง Manager online  พี่ๆอีก 3 คนก็มาสมทบ  บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้นมากขึ้น  กินไปคุยไป (ไม่ใช่ชิมไปบ่นไป) Check ข่าวจาก Internet ที่มี 3 เครื่อง  ฟังถ่ายทอดสด  จนได้เวลา 20.00 น. เมื่อครบคนก็ได้เดินทางไปที่ Gate D6 (คนละเส้นทางกับ Lounge เลยวุ้ย)  กินเยอะแล้วก็เดินย่อยหน่อยน่ะ  ไม่งั้นจะเป็นพวก "คนไทยเพาะพุง"  ใกล้เวลา 21.00 น. พวกเราก็ได้เคลื่อนพล  เป็นครั้งแรกของสายการบินนี้ (พี่พลบอกว่าราคาถูกกว่าสายการบินแห่งชาติ 4000 บาท)  ที่ประตูทางเข้าพบนางอัปสร 2 คนในชุดส่าหรีสีเขียว  สไบยาวลายนกยูงสีเหลือง  โชว์หน้าท้องด้านข้างและหลังเล็กน้อย  มีระบายเล็กรอบเอว   คิดในใจว่าถ้าเราใส่ชุดนี้  คงมีคนถามว่าจะไปว่ายน้ำหรือคะ? (ก็มีห่วงยางตั้ง 3 ห่วงอ่ะ) 

         อนงค์นางทั้งสองกล่าวคำทักทายว่า Ayubowan (อายุบวร)  ซึ่งมีความหมายให้อายุยืนยาว (May all living beings on Earth have Longer Life) ซึ่งมาจากภาษาสันสกฤต  ทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยและเข้าใจได้โดยไม่ต้องมีคนแปล   ผู้พูดจะยกมือไหว้เหมือนในรูปทั้งเวลาที่กล่าวคำนี้กับเรา  หรือเวลาที่เรากล่าวคำนี้กับเขา  อายุบวรใช้ได้ทุกโอกาส  ทุกเวลาเหมือนคำว่า "สวัสดี"       พี่พลกับพี่วีระบอกว่าคำทักทายของคนเอเชียแสดงให้เห็นถึงความละเมียดละไมมากกว่าทางตะวันตก  เช่น  "สวัสดี"  ของไทย   "สบายดี" ของลาว ซึ่งต่างกับ Hi, Hey, Hello, What's up?  ซึ่งไม่ได้สื่อความหมายอะไร  แต่เด็กวัยรุ่น  ดาราบ้านเราก็ดันไปเอามาเป็นแบบอย่างซะนี่      

         สายการบินนี้ถึงแม้ว่าจะราคาถูกแต่เครื่องบินก็ทันสมัย  เป็นรุ่นที่มีจอทีวีและเกมส์ส่วนตัวของ Airbus ในขณะที่การบินไทยยังมีเพียงบางเส้นทางเท่านั้น  (ไม่รู้ต้องจ่ายแพงกว่าทำไม? ในเมื่อก็เข้าตลาดหุ้นไปแล้ว)  อย่างไรก็ตามสายการบินนี้ค่อนข้างจะใช้งานหนักสังเกตว่าบินติดต่อกันเลย  เครื่องไม่สะอาดมาก   เครื่องวันนี้บินมาจากปักกิ่งรับคนมาเยอะพอสมควร  แวะสุวรรณภูมิเพื่อไปยังกรุงลงกา  ตอนนี้เราก็เริ่มง่วงแล้วเพราะปกติเป็นเด็กอนามัยเข้านอนไม่เกิน 2 ถึง 3 ทุ่ม ที่นั่งของสายการบินนี้ด้านหน้าต่างจะขึ้นต้นด้วย A แล้วไป C เลย  ใครรักชอบจะนั่งกับใครก็แลกกันเอง  กัปตันประกาศด้วยภาษาอังกฤษ จีนและสิงหล  เครื่อง Take off ได้นุ่มนวลพอสมควร  สาวและหนุ่มหน้าตาเข้ม  รูปร่างสูง ผอมแต่ไม่ถึงกับบางเริ่มแจกหูฟัง  ถั่ว  ระหว่างรออาหารก็เริ่มเล่นเกมส์แต่ Console ใช้งานมาจนปุ่มลอกไปหลายแห่ง  กดไปมั่งไม่ไปมั่ง  ก็เลยเลิก   อาหารค่ำมีให้เลือกมากกว่าการบินไทย  ประกอบด้วยยำวุ้นเส้นยำ (มีคนลองบอกว่ามันเย็น  ไม่อร่อย) อาหารหลักมี 3 อย่าง  ได้แก่ ข้าวไก่เสฉวน  ข้าวปลาเปรี้ยวหวาน  และหมีกับเห็ดและหน่อไม้ (สำหรับคนรักผัก)  หลีกเลี่ยงเนื้อหมูและวัว  ตามด้วยของหวานเป็น Pudding เรากินแต่เห็ดเพราะสวาปามเค้กจาก King Power มาจนพุงกาง   หลับไปในที่สุด  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็ร่อนลงที่สนามบิน Bandaranaike ด้วยความสวัสดิภาพ  ได้เวลาต้องไปผ่านตม.กรุงลงกา  หวังว่าคงเจอคนใจดีนะ  ง่วงจะแย่อยู่แล้ว (เวลาที่ศรีลังกาช้ากว่าบ้านเรา 1.5 ชั่วโมง)

        ห้องน้ำที่สนามบินก็ใช้ได้  ไม่ใหม่แต่ก็ไม่เหม็น  เมื่อมาถึงตม.  มีแถวอยู่ประมาณ 6-7 แถว เราเลือกแถวในสุดเพราะดูเหมือนจะสั้นกว่าแถวอื่น  แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาด  การเคลื่อนตัวแรงต่ำ  เร่งไม่ขึ้น  ด้านข้างซ้ายมีเคาน์เตอร์สำหรับกรอก Arrival Card ซึ่งทุกคนกรอกตั้งแต่อยู่บนเครื่อง  ระหว่างรอเหลือบไปเห็นคนจีน 2 คน  ชายหนึ่งหญิงหนึ่งยืนทำหน้างง  พยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่สนามบินผู้หญิงไปแล้ว  แต่ก็จดๆจ้องๆหา Card ที่เป็นภาษาจีน(จากการคาดเดาของเรา) ตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็ไม่อยู่แล้ว   เราก็เลยเข้าไปถามด้วยภาษาอังกฤษ  เขาก็พูดไม่ได้  เลยเอาบัตรของเราให้ดูเป็นตัวอย่าง  ก็เขียนไม่ถูกอีก  เลยต้องสอนให้เขียนโดยเปิด Passport ดูข้อมูลเป็นระยะๆ  บางอย่างไม่มี  ก็ต้องอาศัยพี่พลส่งภาษาจีนถามให้แล้วค่อยกรอก  เขาดูท่าดีใจที่มีคนช่วย (ม่ายเป็นลาย  จีนไทยเป็งพี่น้องกัง)  เมื่อเขียนเสร็จแล้วเราก็กลับมาต่อท้ายคุณฝรั่งคนเดิม  มีพี่อี๊ดซึ่งอยู่ในคิวอยู่แล้ว  ขณะนั้นเองก็มีเสียงโวยวายดังลั่นจากคนลังกาว่าเราแซงคิว   เราก็อธิบายว่าเราเดิมอยู่ในคิวแต่ออกไปช่วยคนจีน  เสร็จงานจิตอาสาก็กลับเข้าที่  แต่เธอไม่ฟังอีร้าค่าอีรมบ่นใหญ่เลย  แล้วย้ายไปต่อแถวอื่นโดยยังบ่นไม่เลิก  คนในทีมและฝรั่งข้างหน้าก็บอกว่าไม่มีใครแซงคิวทั้งนั้น  เธอก็ยังไม่สบอารมณ์โก๋   แต่เราก็ไม่สนใจถือว่าได้สร้างเมตตาบารมีไปแล้ว  นึกในใจว่าเท้าเพิ่งแตะกรุงลงกา  ก็ได้เจอ"ยักษ์" ตั้งแต่ยังไม่เข้าเมืองซะแล้ว ผ่านคิวไปเรื่อยๆ คุณตม.ทำหน้าที่เรียบร้อย  เราสามารถเข้ามาเที่ยวที่ศรีลังกาได้ 30 วันโดยไม่ต้องใช้วีซ่า  ทุกคนเดินทางออกมากับคณะพบกับไกด์ บริษัท Jetwing ซึ่งมารอรับพร้อมด้วยพวงมาลัยสีชมพูสลับม่วง  ช่างประทับใจอะไรเช่นนี้

         รถที่มารับน่าจะประมาณ 20 ที่นั่ง  เราก็ได้พบคุณ Fernando (ไกด์), Nirantha (ยกกระเป๋าและบริการ), V.J (คนขับ) เตรียมออกเดินทางเข้าเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป 35 กม. ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เข้าพักที่โรงแรม Trans Asia Hotel  ระหว่างทางเดินจากอาคารสนามบิน/ ทางรถวิ่ง ก็มีบังเกอร์ทหารประจำการเป็นระยะๆ  แสดงถึงความไม่สงบลึกๆเหมือนสามจังหวัดชายแดนบ้านเรา

        พบกันใหม่ในตอนที่ 2 นะคะ....... อายุบวร

         

หมายเลขบันทึก: 206629เขียนเมื่อ 7 กันยายน 2008 15:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท