ว่าด้วย กฎแห่งธรรมชาติ กฏแห่งธรรมะ และเหตุปัจจัยแห่งการทำลายล้างและอะไรคือความชอบธรรม


ผีฟ้าเอย ความสงบอยู่ไหน รีบมาไวไว ช่วยประเทศไทย หน่อยเอย

ว่าด้วย กฎแห่งธรรมชาติ  กฏแห่งธรรมะ และเหตุปัจจัยแห่งการทำลายล้าง

และอะไรคือความชอบธรรม

อิศรา ประชาไท

 

        

 

                                             เสวนา ความคิดอ่าน สถานการณ์บ้านเมือง

            ภาคอีสาน คนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่อาศัยดั้งเดิมในอุษาคเนย์ หรือ อนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มาไม่น้อยกว่า 1,000 กว่าปีมาแล้ว เพราะเรามีร่องรอยวัฒนธรรม สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น วัฒนธรรมบ้านเชียง ที่หนองหาร อุดรธานี  เรามีวัฒนธรรมสมัยประวัติศาสตร์ หลากหลายยุคสมัย เช่น วัฒนธรรมทวารวดี วัฒนธรรมศรีโคตรบูรณ์ วัฒนธรรมเจินละบก เจินละน้ำ วัฒนธรรมจาม วัฒนธรรมขอม วัฒนธรรมล้านช้าง วัฒนธรรมสุโขทัย วัฒนธรรมอยุธยา วัฒนธรรมรัตนโกสินทร์ เป็นต้น วัฒนธรรมเหล่านี้ เป็นไปตามกฎแห่ง ธรรมชาติ คือ กฎอนิจจัง คือ  เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ซึ่งการดับไป ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสังคมวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ก็คือ สัญชาติญาณดิบ ของมนุษยชาติ กล่าวคือ การแสวงหา อำนาจ การแสงหาลาภยศ การแสดงว่า ความอยากมีอยากเป็นอยากได้  คือ ความไม่พอเพียง ในสภาพความเป็นอยู่ของตนที่มีและเป็นอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีทำลายล้างกัน

          อาจารย์ไพบูลย์ อนุฤทธิ์  ที่ปรึกษาประชาคมวิจัยไทยคดีศึกษาและวัฒนธรรม เล่าให้ฟังในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเพื่อให้รู้เท่าทันกระแสการเมืองสถานการณ์ของประเทศไทย ว่า สาเหตุแห่งการทำลายล้างซึ่งกันและกันมีอยู่ 4 ประการ คือ หนึ่ง การทำล้างกันเพราะแย่งที่ทำกิน สอง การทำลายล้างกันเพราะแย่งถิ่นที่อยู่ สาม การทำลายล้างกันเพราะ แย่งคู่พิศวาส สี่ การทำลายล้างกันเพราะ แย่งอำนาจกันครอง ซึ่งก็เมื่อมองดูแล้ว สถานการณ์ของประเทศไทย ในขณะนี้นั้นก็เป็นจริงจากอาจารย์ไพบูลย์ อนุฤทธิ์ กล่าว

          ผศ.สมชาย ลำดวน ก็สนับสนุนว่า สิ่งที่กล่าวนี้ มีอยู่ในพระไตรปิฏก และก็เป็นอยู่จริง ตามสภาวะการณ์ของโลกและธรรมชาติ  มนุษย์เข้าใจประเด็นดังกล่าวดี อย่างลึกซึ้ง  แต่สถานการณ์ ประวัติศาสตร์ก็หมุนคืนกลับมาอีก ไม่ใช่ซ้ำรอย แต่หมุนกลับมา การแก้ปัญหาไม่ให้เกิดความรุนแรง เรื่องนี้จะจบอย่างไร ท่านกล่าวว่า ควรจบด้วยการยอมของทุกฝ่าย  ฝ่ายที่ล้ำกฎหมายก็ต้องยอมเข้าสู่กรอบของกฎหมาย ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องยอมอดทนอดกลั้นไม่ใช้ความรุนแรง ฝ่ายคนทั่วไปก็ต้องยอมรับความจริงว่า สังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ต้องมีกฎ กติกา มรรยาท เป็นเครื่องยึดโยง นี่คือการยอมโดย กฏธรรมะ ทั้งหลายทั้งปวงคือกฏแห่งธรรมชาติ หรือ กฎธรรมะ เป็น ธรรมาธิปไตย

            ความชอบธรรม เป็นวาทกรรมที่น่าสนใจ ในปัจจุบันถูกอ้างอย่างมาก  แต่ในความคิดของท่าน ผศ.สมชาย ลำดวน  ความชอบธรรม เกิดขึ้นได้โดยปราศจาก ความลำเอียง หรือ อคติ 4 อย่าง คือ หนึ่ง ลำเอียง เพราะ รักใคร่กัน คือ ฉันทาคติ สอง ลำเอียง เพราะโกรธขึงกัน เรียกว่า โทสาคติ  สาม ลำเอียง เพราะ ความกลัวเกรง เรียกว่า ภยาคติ สี่ ลำเอียงเพราะ ความ โง่ เขลา เบาปัญญา เรียกว่า โมหาคติ  ซึ่งสรุปว่า คนมีความคิดเชิงลำเอียงอย่างนี้ เรียกว่า คนคิดไม่ชอบธรรม เมื่อเขากระทำตามความคิดนั้น จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม 

            อาจารย์ประเทศ ปัจจังคะตา ในฐานะรองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน ฝ่ายทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม กล่าวว่า ทุกฝ่ายควรใช้ สันติธรรม แก้ปัญหาบ้านเมือง มิใช่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา และใช้กฎหมู่ที่ไร้กติกา มาดำเนินการอย่างไม่เป็นธรรมาธิปไตย เพราะสังคมอีสานในอดีตใช้การแก้ปัญหาด้วยปัญญาธรรม และประชาคมผู้อาวุโส ใช้ธรรม แก้ปัญหาสังคม ชุมชน อย่างแท้จริง

            อาจารย์กวีสิปป์วิชญ์ เมืองจันทร์ กล่าวสนับสนุนแนวคิดทั้งหมด แล้วนำเสนอในฐานะที่เป็น ศิษย์เอกหลวงปู่เครื่อง พระผู้มีความคิดอันชอบธรรมและปฎิบัติชอบธรรม  นักบุญอีสานใต้ วัดสระกำแพงใหญ่ อุทุมพรพิสัย ศรีสะเกษ ซึ่งได้ละสังขารแล้ว กล่าวสรุปว่า ถ้าหากต้องการให้ประเทศไทยดำรงอยู่ด้วยสันติสุข มีอิสรภาพ ทุกฝ่ายต้องหันเข้าหา ธรรมะ และยึดถือปฏิบัติ ด้วย กาย วาจา ใจ อย่างเคร่งครัดอย่างแท้จริง  เพราะหากไม่ทำอย่างนั้น หายนะต้องเกิดขึ้นกับประเทศไทย และคงต้องย้อนยุค สู่ การเสียกรุงอีกครั้งหนึ่ง 

            วาทกรรมเหล่านี้ คงเป็นสิ่งที่นำเสนอให้เห็นและเป็นเรื่องที่เป็นมุมมองสำคัญอย่างหนึ่งที่นำเสนอ ไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยความร้อนแรง แต่เป็นการแก้ปัญหาด้วยธรรม เพื่อสันติสุขอย่างแท้จริง  ส่วน อิศรา ประชาไท ก็ขอนำเสนอ คำร้อย มาลดดีกรีความร้อนแรง

แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อมองปัญหา ด้วยปัญญาและเมตตาธรรม

จึงเป็น ประชาธิปไตย ของผองไทย  ใช่ อนาธิปไตย ไร้ขือแป

ผีฟ้าเอย

ความสงบอยู่ไหน

รีบมาไวไว

ช่วยประเทศไทย หน่อยเอย

ผีฟ้าเอย

สันติภาพอยู่ไหน

ถ้าไม่อยู่ไกล

ช่วยประเทศไทย หน่อยเอย

ผีฟ้าเอย

พลังเงียบอยู่ไหน

รีบเร่งเร็วไว

ร่วมกันแก้ไข เถิดเอย

แก้ไขด้วยอหิงสา

แก้ไขด้วยปัญญา แห่งรู้

ด้วยจิตเมตตา อาสา ทุกหมู่

ระดมคนละไม้คนละมือ ช่วยกัน

ใครมีปากต้องใช้ปากช่วย

ใครใคร่เขียน เขียนด้วย อหิงสา

ใครมีอะไร ร่วมกัน เล่ามา

บอกเถิด บอกว่า พอกัน หยุดกัน

ก้าวออกมารับกติกา

ถอยออกมาจากทำเนียบ เพื่อนฉัน

ชุมนุมสาธารณะอย่างไร ไม่ว่ากัน

สู้กันตามกติกา ประชาธิปไตย

ก็แก้กันว่าด้วยกติกา

ตามรัฐธรรมนูญ 50 เสกสันต์

ผิดถูกว่าตาม จำนรรจ์

นั้นแหละถอยกัน จึงใช่ทาง

หากศาลสั่งฝ่ายใดว่า ผิด และ ถูก

ต้องพันผูก ยึดมั่น ไม่ถากถาง

จึงเป็นแนวทาง ภาคประชาชน มาถูกทาง

ไม่ใช่พากันทำลายล้าง ประเทศไทย

จึงอหิงสาด้วยชอบ ชัดแจ้ง

ไม่ร้อนแรง มีสัจจะ ไม่หวั่นไหว

จึงเป็น ประชาธิปไตย ของผองไทย

ใช่ อนาธิปไตย ไร้ขือแป

 

อิศรา ประชาไท

8 กันยา 2008

หมายเลขบันทึก: 206835เขียนเมื่อ 8 กันยายน 2008 13:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
  • สาธุ พลังเงียบ
  • เอาอีก พลังเงียบ
  • บางเที่ย บ่ว่าเพิ่น บ่ว่าเฮา กะลืมไปว่า ตายไปแล้วเอาอีหยังไปนำบ่ได้เด้อ

สงสารพ่อค่ะ พ่อคงไม่สะบายใจที่เห็นลูกๆ ทะเลาะกัน

เราคนไทยด้วยกันก็เหมือนเป็นพี่น้องกัน จุดเถอะ (ทำแบบนี้เพื่ออะไร)

อยากให้ประเทศไทยอยู่กันอย่างความสงบสุขเร็วๆค่ะ

ขอบคุณ เด็กข้างถนน และน้องชูใจ ที่ต่างมอบความจริงใจ ต่อความรักผูกพันต่อประเทศไทยของเรา

สวัสดีค่ะอาจารย์  แวะเวียนเข้ามาหาความรู้จากอาจารย์ค่ะ

ว่าด้วย กฎแห่งธรรมชาติ  กฏแห่งธรรมะ และเหตุปัจจัยแห่งการทำลายล้าง

คงไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนเพราะไม่สันทันเรื่องการเมือง

แต่มีบทความเล็ก ๆ มาให้ผู้ที่เข้ามาบล็อกอาจารย์ได้อ่านด้วย  ซึ่งอาจหนังสือเล่มนี้แล้วมีความรู้สึกสดชื่น  และดีขึ้นทุกข์ครั้งเมื่อเจ็บปวดกับการกระทำ  อันมากระทบกับเราหลาย ๆ อย่าง

หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้เราได้มีชิวิตต่อไปอย่างมีคุณค่าค่ะ 

    เป็นหนัง   ชื่อว่า  "ไม่ได้อ่อนแอวันนี้แพ้ทาง"   ของนักเขียนที่มีนามแฝงว่าการ์ตูนค่ะ   

 

                 เพราะอิฐก้อนใหญ่หัวใจจึงแข็งแรง

มนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน 

ในขณะที่ทรัพยากรมีน้อยไม่พอเพียง

ธรรมชาติจึงคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่ง "ทั้งกายและใจ"

ทุกอย่างในโลกนี้ตั้งอยู่บนการแข่งขันมากขึ้นเรื่อย ๆ

คนเราจึงเบียดเบียนกันมากขึ้น

และกระทบกระทั้งกันง่ายขึ้น

มีคนจำนวนไม่น้อยชอบโยนก้อนอิฐใส่หัวใจคนอื่น

เพื่อให้คนอื่นอ่อนแอ  และพ่ายแพ้   "และถอยไปใหพ้นทาง"

ความจริงก้อนอิฐจากมือเขาคนนั้น  อาจเป็นได้ทั้งเงาสะท้อน  ให้เรามองเห็นข้อผิดพลาดของตนเอง    หรือเป็นเพียงเล่ห์กลจากเกมส์การแข่งขัน 

มันจึงไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจน

ว่าสิ่งที่เราทำสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นมันผิดจริง

หรือว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่เขาไม่ชอบ  เขาจึงไม่ยอมรับ

คนที่รับช่อดอกไม้มาทั้งชีวิต

ถ้าโดนก้อนอิฐสักก้อนอาจทำให้เดินไม่เป็น

และล้มหายตายจากก่อนวัยอันสมควร

แล้วมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่บนโลกนี้

โดยไม่มีใครโยนก้อนอิฐมาให้เลยสักก้อน

"การโดนก้อนอิฐก้อนใหญ่ตกใส่หัวใจบ้าง

...สักครั้ง...สองครั้ง...

อาจช่วยให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น

เมื่อก้อนอิฐตกกระทบหัวใจดวงเล็ก ๆ

....หัวใจของเราจะขยายออก....

เพื่อลดแรงปะทะจากภายนอก  เกิดเป็นพื้นที่ซึมซับ

ความเจ็บทุกข์"

เมื่อวันเวลาผ่านไป   เมื่อสิ่งใหม่ ๆ หมุนเข้ามา

แม้ว่าอิฐก้อนก้อนต่อไปมันจะใหญ่ขึ้น

และแรงเหวี่ยงมาจะเพิ่มมากขึ้น

แต่เราจะเจ็บปวดกับแรงปะทะ

น้อยลงเรื่อย ๆ

................................................

"อย่าลืมไปขอบคุณเขา

ถ้าเห็นก้อนอิฐก้อนใหญ่ลอยมาแต่ไกล

จากมือใครบางคน

ที่ไม่มีความรักให้เพื่อนมนุษย์

แล้วอิฐก้อนนั้นจะไม่ทำให้เราโกรธ   หรือเกลียด

จนทำให้หัวใจตนเองต้องเจ็บ"

สวัสดีค่ะอาจารย์  แวะเวียนเข้ามาหาความรู้จากอาจารย์ค่ะ

ว่าด้วย กฎแห่งธรรมชาติ  กฏแห่งธรรมะ และเหตุปัจจัยแห่งการทำลายล้าง

คงไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนเพราะไม่สันทัดเรื่องการเมือง

แต่มีบทความเล็ก ๆ มาให้ผู้ที่เข้ามาบล็อกอาจารย์ได้อ่านด้วย  ซึ่งอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วมีความรู้สึกสดชื่น  และดีขึ้นทุกครั้งเมื่อเจ็บปวดกับการกระทำ  อันมากระทบหัวใจเราหลาย ๆ อย่าง

หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้เราได้มีชิวิตต่อไปอย่างมีคุณค่า    และความสุขค่ะ 

    เป็นหนัง   ชื่อว่า  "ไม่ได้อ่อนแอ....วันนี้แพ้ทาง"   ของนักเขียนที่มีนามแฝงว่า  "การ์ตูน"

 

                 เพราะอิฐก้อนใหญ่หัวใจจึงแข็งแรง

มนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกวัน 

ในขณะที่ทรัพยากรมีน้อยไม่พอเพียง

ธรรมชาติจึงคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่ง "ทั้งกายและใจ"

ทุกอย่างในโลกนี้ตั้งอยู่บนการแข่งขันมากขึ้นเรื่อย ๆ

คนเราจึงเบียดเบียนกันมากขึ้น

และกระทบกระทั้งกันง่ายขึ้น

มีคนจำนวนไม่น้อยชอบโยนก้อนอิฐใส่หัวใจคนอื่น

เพื่อให้คนอื่นอ่อนแอ  และพ่ายแพ้   "และถอยไปใหพ้นทาง"

ความจริงก้อนอิฐจากมือเขาคนนั้น  อาจเป็นได้ทั้งเงาสะท้อน  ให้เรามองเห็นข้อผิดพลาดของตนเอง    หรือเป็นเพียงเล่ห์กลจากเกมส์การแข่งขัน 

มันจึงไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจน

ว่าสิ่งที่เราทำสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นมันผิดจริง

หรือว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่เขาไม่ชอบ  เขาจึงไม่ยอมรับ

คนที่รับช่อดอกไม้มาทั้งชีวิต

ถ้าโดนก้อนอิฐสักก้อนอาจทำให้เดินไม่เป็น

และล้มหายตายจากก่อนวัยอันสมควร

แล้วมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่บนโลกนี้

โดยไม่มีใครโยนก้อนอิฐมาให้เลยสักก้อน

"การโดนก้อนอิฐก้อนใหญ่ตกใส่หัวใจบ้าง

...สักครั้ง...สองครั้ง...

อาจช่วยให้เราเข้าใจโลกมากขึ้น

เมื่อก้อนอิฐตกกระทบหัวใจดวงเล็ก ๆ

....หัวใจของเราจะขยายออก....

เพื่อลดแรงปะทะจากภายนอก  เกิดเป็นพื้นที่ซึมซับ

ความเจ็บทุกข์"

เมื่อวันเวลาผ่านไป   เมื่อสิ่งใหม่ ๆ หมุนเข้ามา

แม้ว่าอิฐก้อนก้อนต่อไปมันจะใหญ่ขึ้น

และแรงเหวี่ยงมาจะเพิ่มมากขึ้น

แต่เราจะเจ็บปวดกับแรงปะทะ

น้อยลงเรื่อย ๆ

................................................

"อย่าลืมไปขอบคุณเขา

ถ้าเห็นก้อนอิฐก้อนใหญ่ลอยมาแต่ไกล

จากมือใครบางคน

ที่ไม่มีความรักให้เพื่อนมนุษย์

แล้วอิฐก้อนนั้นจะไม่ทำให้เราโกรธ   หรือเกลียด

จนทำให้หัวใจตนเองต้องเจ็บ"

 

P  ขอบคุณหนูเจี๊ยบมาก ให้สุขพอเพียง ให้ทุกข์น้อยน้อย

และมีชีวิตในวันพรุ่ง สร้างอนาคตที่ดี งดงาม ให้เจ้าหนูน้อย แผ่นดิน และ แดนไท อยู่ในโลก ใบนี้ ได้อย่างรู้เท่าทัน และเป็นอนาคตที่ดีแก่ สยามประเทศและแผ่นดินอีสานคเนย์ แห่งนี้ สุขสันต์มื้อเกิด น้องหล่าคำแพง

สังคมคือสิดีได้ถ้าคนเฮาบ่อยู่อย่างอยากเนอะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท