พุทธศาสนากับความรัก


เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก

 

                คำว่ารัก เป็นคำพูดที่กล่าวกันโดยทั่วไป และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั้งเด็กเล็กที่สามารถพูดภาษาคนได้ จนถึงคนชรา  ความรักหากมีหลายลักษณะ เช่นรักตนเอง  รักเพื่อนพ้อง  รักพ่อแม่ รักญาติมิตร รักแบบชายกับหญิง  รักประเทศชาติ  เป็นต้น

                โลกนี้คงสงบสุข  ไม่มีการแก่งแย่งเบียดเบียนกันเป็นแน่  ถ้าหัวใจทุกดวงเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความเมตตาต่อกัน  สายไยแห่งรักที่มีอยู่ในแต่ละคน จะรวมเป็นสายคล้องใจคนให้มีแต่ความเมตตาปราณีต่อกัน  โลกนี้คงน่าอยู่น่าอาศัย เพราะอำนาจแห่งความรักความเมตตาที่มีต่อกัน

 ความรักที่จำกัดขอบเขต 

แต่ทว่า ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนี้  ความรักของบุคคลได้ถูกแบ่งเขตแดนให้อยู่อย่างจำกัด  ไม่สามารถทะลุพรมแดนแห่งตัวตนได้   ความรักอยู่จำกัดแค่ ตนเองเท่านั้น  รักเฉพาะแต่เพื่อนพ้องของตน ญาติมิตรของตน  คนที่เป็นที่รักของตน  สิ่งของของตน  บ้านของตน  สัตว์ของตน เท่านั้น  ช่างจำกัดแคบอยู่กับตัวของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น  ถ้าหากใครคนอื่นที่ไม่ใช่คนของเรา  พวกพ้องของเรา ญาติมิตรของเรา สัตว์ของเรา ก็ไม่อาจจะมอบความรักความเมตตาให้ได้  นอกจากนั้น หากคนอื่นหรือกลุ่มอื่นมาทำอะไรให้แก่ตัวเรา พวกพ้องของเรา  ก็ถือว่าเป็นศัตรูกับเราเลยทีเดียว  นี้คือลักษณะของความรักที่มีพรมแดน  เป็นความรักที่ไม่อาจจะสร้างสันติสุขให้แก่โลกได้  หรืออย่างที่ชายหญิงรักกัน  เขาทั้งสองพยายามจะบอกแก่กันและกันว่ารักมากที่สุด  จนถึงกับเอาดิน เอาฟ้ามาเปรียบความรักเลย หรือบอกว่ารักยิ่งกว่าชีวิต รักทุกวินาที  เป็นต้น หากความรักเกิดจากใจจริง  เป็นความรักที่มีความจริงใจต่อกันจริง  ก็จะเป็นความรักที่ออกผลเป็นความหวานชื่น  แต่ถ้าเป็นความรักที่ไม่มีความจริงใจต่อกัน  ปราศจากเมตตาต่อกัน  รักกันเพียงแค่ความสวย  ความงาม ความหล่อ  หรือรักเพราะเงินทองลาภยศ  นี้เป็นรักที่มีพรมแดน  พรมแดนคือความสวย ความหล่อ เงินทอง ที่มาขวางกั้นมิให้เข้าถึงความรักที่บริสุทธิ์ได้  หากวันใดความหล่อความสวยนั้นเจือจางหรือหายไป  ความรักนั้นก็หมดไปด้วย  หากรักเพราะเงินทอง  เมื่อเงินทองของเขาร่อยหรอไป หรือเกิดมีปัญหากัน  เขาก็รักเธอคนนั้นไม่ลง  อาจเกิดความขัดแย้งกันถึงฆ่าฟันกันก็มีตัวอย่างปรากฎมากมาย

ความรักที่ไร้พรมแดน

                พระพุทธศาสนามองมนุษย์เท่าเทียมกันหมด  ไม่ได้แบ่งแยกทางเชื้อชาติ วรรณะ ภาษา หรืออื่นๆ ใด และยังมองรวมไปถึงสัตว์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย มองมนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกตัวในฐานะเป็นเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน คือเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ดังคำแผ่เมตตาว่า สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง  ที่เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  จงเป็นสุขๆ เถิด ฯลฯคำว่า สัพเพ สัตตา ในที่นี้ไม่ได้มียกเว้นคนใด หรือกลุ่มใดทั้งสิ้น  เช่นพุทธศาสนาสอนว่าฆ่าสัตว์เป็นบาป เมื่อทำลงไปก็บาปทั้งนั้น ไม่ว่าจะฆ่าสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ฆ่าคนจน คนรวย ฆ่าคนนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอื่น ก็บาปทั้งนั้น   เมื่อเราแผ่เมตตา แผ่ความรัก ความปรารถนาดี ต่อคนทุกคน สัตว์ทุกตัว ต่อธรรมชาติแวดล้อม  ด้วยแรงแห่งเมตตา แรงแห่งความปรารถนาดี ที่เราแผ่ออกจากใจเราไปให้กับบุคคลอื่น สัตว์อื่น และสิ่งอื่นนั้น  จะส่งผลให้เราปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นด้วยเมตตา  มีท่าทีที่ประกอบด้วยความปรารถนาให้เขามีความสุข ปราศจากความทุกข์ใดๆ  การกระทำทางกาย ทางวาจาคือการพูดจา และการกระทำทางใจคือการนึกคิด ก็จะประกอบด้วยเมตตา

 เมตตา สื่อแห่งความรักที่บริสุทธิ์

                การแผ่เมตตาเป็นการแผ่เครือข่ายแห่งมิตรภาพให้ขยายออกไปอย่างไม่มีจำกัดขอบเขต เรียกว่าเป็น  ความรักที่ไร้พรมแดน  คือรักคนทุกคน รักสัตว์ทุกตัว เท่าเทียมกันหมด  ไม่จำกัดแค่รักพวกพ้องของเรา รักคนของเรา รักญาติมิตรของเรา ศาสนาของเรา ประเทศชาติของเราเท่านั้น แต่รักคน รักสัตว์ทั้งโลก รวมทั้งโลกอื่นด้วย ถ้ามีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายอาศัยอยู่

                ความรักแบบเมตตานี้ ควรจะสร้างให้เกิดขึ้นในใจคนทุกคนทั้งโลก  จะทำให้โลกทั้งโลกสงบสุข มีมีการเบียดเบียนฆ่าฟันกัน  เหตุที่ฆ่าฟันกัน ทำสงครามกันก็เพราะมีความอาฆาตพยาบาท มุ่งร้ายต่อกัน ถ้าความรักจำกัดอยู่แค่ตนเองกับพวกพ้องเท่านั้น ก็จะมองคนอื่น พวกอื่นเป็นศัตรู หรือเป็นคู่แข่ง  เมื่อมองอย่างนี้  จิตก็จะประกอบด้วยความเกลียดชัง ความอาฆาตพยาบาท ความไม่พอใจเมื่อเขามากระทำในสิ่งที่มากระทบตัวเองหรือพวกพ้อง ก็จะต้องห้ำหั่นกัน แข่งขันกัน ชิงดีชิงเด่นกัน ช่วงขิงเอาผลประโยชน์เพื่อตนและพวกพ้องของตนเอง  ถึงกับทำลายผู้อื่นผู้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน  ค่านิยมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบันเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายเครือข่ายแห่งเมตตาให้ขาดสะบั้นลง  เมื่อคนมองที่ วัตถุเป็นสิ่งสำคัญว่าความเป็นเพื่อนมนุษย์ ต่างก็ช่วงชิงแข่งขันกันทั้งในทางธุรกิจ การงาน การเรียน ฯลฯ เพื่อผลทางวัตถุเงินทอง อำนาจวาสนา จนได้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  แทนที่จะมองว่า เขาก็มีความต้องการชีวิตที่ดีเหมือนเรา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะแสวงหาสิ่งดีๆ เพื่อนำมาจุนเจือตัวเขาเอง  เขาต้องการความสุข ไม่ต้องการความทุกข์เช่นเดียวกับเรา  จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะมาเคียดแค้นชิงชังกัน  เรามาหันหน้าเข้าหากัน แบ่งปันความสุข ปัดเป่าความทุกข์ให้แก่กันและกันจะดีกว่า  โดยอาศัยหลักแห่งเมตตาธรรม

 ทุกสรรพสิ่ง คือเพื่อน

                พุทธศาสนายังมองเห็นความสำคัญของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ด้วยการมองแบบเมตตา  และมีการอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างธรรมชาติสิ่งแวดล้อมกับมนุษย์  ไม่ได้มองธรรมชาติเป็นศัตรูเหมือนทางตะวันตก  แต่เห็นว่ามีความสำคัญต่อกันตามหลักปฏิจจสมุปบาท  คือมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงต่อกัน อย่างเกื้อกูลกัน  เช่นมนุษย์ สัตว์ต้องอาศัยธรรมชาติ เช่นต้นไม้  หากต้นไม้หรือธรรมชาติถูกทำลายไป ก็จะมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์และสัตว์ในระบบนิเวศวิทยา เป็นต้น

                ดัง นั้น  เมตตาจึงเป็นเครื่องค้ำจุนโลก ดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า “”โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลกเราควรแผ่เมตตาต่อสรรพสิ่งด้วยใจปรารถนาดี อย่าแผ่เมตตาสักว่าเป็นเพียงพิธีเท่านั้น.

 

คำสำคัญ (Tags): #รักแบบมีเหตุผล
หมายเลขบันทึก: 210012เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2008 19:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 17:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ความรักเป็นสิ่งสวยงามจริงๆๆด้วย
  • สบายดีไหมครับ

ครับความรักเป็นสิ่งสวยงามแต่จะอับเฉาเมื่อเราไม่เข้าใจกับคำว่า"รัก"

ก็สบายดีละครับอาจารย์สอบเสร็จแล้วหายห่วงไปเลย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท