ไม่รู้ว่า Janette (อาจารย์ที่ปรึกษา) มองเห็นแววของผมได้อย่างไร วันหนึีงเธอก็เอ่ยปากชวนผมว่า ช่วยให้ผมแสดงเป็นคนไข้โรคจิตให้หน่อย พอพูดคุยกันก็รู้ว่า ผมต้องแสดงเป็นคนไข้โรคจิต เพื่อให้นักเรียนพยาบาลทำการสัมภาษณ์ ซักประวัติ ผมรับตอบ ตกลง ด้วยใจ อยากเห็นกระบวนการเรียนการสอนของบ้านเขา
แล้ววันที่ผมต้องเป็นคนไข้ เช้านั้นผมก็เครียดพอสมควร กลัวแสดงได้ไม่เนียน แต่ไม่เป็นไร ถือซะว่าเราบ้า อยากทำไรก็ทำ จนกระทั้ง Mark แนะนำผมกับหน้าชั้นว่า เป็นคนไข้ ที่ตำรวจนำส่ง รพ ด้วยอาการไม่นอน อาละวาด เป็นที่รบกวนข้างบ้าน เขาเลยโทรแจ้งตำรวจมาส่ง
ผมเดินเข้าไปในห้องประชุม ด้วยท่าทางทีหวาดกลัว และแววตาที่อิดโรยของคนไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วผมก็เล่าว่า ผมถูก ประธานาธิบดีสหรัฐ ตามฆ่า และจ้างวานใครต่อใครให้มาทำร้ายผม แล้วผมก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เห็นนักเรียนเขียนอะไรอยู่ ผมก็ตวาดว่า จะเขียนอะไร จะเอาเรืองของผมไปให้ใครดู จนเด็กคนนั้นตกใจ และนั้งมองกระบวนการซักประวัติอย่างเงียบๆ จากนั้นกระบวนการสัมภาษณ์ก็ดำเนินต่อไป ซึ่งผมเองจงใจจะให้เป็น โรคจิตหวาดระแวง มีอาการหูแว่ว และมีอาการก้าวร้าวผสมด้วย
จบการแสดง อาจารย์ก็แนะนำว่าผมเป็นใครมาจากไหน สุดท้ายก็จบด้วยการสรุปการเรียนรู้ ซึ่งผมมองว่า สิ่งที่ต่างจากบ้านเราก็คือ การปล่อยให้เด็กคิดเอง และการหาประเด็นที่ให้เด็กต้องถกเถียงกันในห้องเรียน เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการคิดและการเีร่ียนรู้ของเด้ก
ซึ่งถ้าเป็นบ้านเรา ครูคงจะทนไม่ได้ที่จะรอให้เด็กคิด แล้วสุดท้ายก็บอกเด็กไปซะหมดเปลือก
(แถมตำหนิเด็กเล็กนอ้ยว่า ไม่รุ้จักเตรียมความรู้ก่อนมาเรียน)
สวัสดีค่ะคุณหมอ
คิดถึงจังเลย
สวัสดีครับ ครูอ้อย
ขอบคุณครับ ผมก็คิดถึงครูอ้อยเช่นกัน แต่ช่วงนี้วุ่นๆ กับเตรียมต้นฉบับproceeding paper สำหรับการประชุมที่เมืองไทย ปลายปีนี้
อย่างครูอ้อย ฝีมือ ชั้นเซียนแล้ว ไม่ต้องฝึกก็มัดใจเด็กๆ ได้แล้วครับผม
ยินดีต้อนรับ...อีกครั้งนะคะ หลังจากห่างหายไปพักใหญ่ๆ..
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดีดีที่นำมาฝากกันอีกครั้งค่ะ
(^___^)
กระบวนการเรียนรู้ นี่มีผลต่อการเรียนรู้คนของคนมากเลยนะคะ... เราอยากสร้างผู้เรียนอย่างไร เราก็มักจักกระบวนการเรียนรู้อย่างนั้น
เป็นต้นว่า... เราจัดรูปแบบการเรียนรู้แบบให้ท่อง จำ ป้อนข้อมูล...ผู้เรียนก็จะคุ้นเคยกับการท่อง...จำ
แต่หากว่าเราจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมกระบวนการคิด ส่งเสริมกระบวนการสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในผู้เรียน เราก็จะได้ผู้เรียนที่คิดเป็น มีกระบวนการสร้างความรู้ที่ผ่านมาจากกระบวนการภายในทางปัญญา...
ในทางจิตเวชเอง...
เรามักสอนให้จำทางเรื่องโรค การบำบัด และการรักษา... แม้จะมีเรื่องของการ assess ก็ตาม..แต่ก็เป็นการ assess ที่ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์น้อยมาก... พอเข้าสู่กระบวนการทำงาน การประเมินผู้ป่วยก็ทำได้ไม่ค่อยครอบคลุม หรือประเมินได้ไม่ชัดเจน เกิดเป็นความอึดอัดและความเครียดเกิดขึ้นในคนทำงาน... อืม... เป็นปัญหาที่โยงใย แต่หากว่าได้เรียนรู้เป็นกระบวนการทางปัญญา ยกระดับความรู้... คนทำงานก็จะทำงานสนุกมากขึ้น (เชื่อเช่นนั้น)...
อ.เชษฐา...รีบกลับมาร่วมสร้างนักเรียนรู้นะคะ
เป็นกำลังใจที่ดีในทุกเรื่องค่ะ
(^___^)
กะปุ๋ม
สวัสดีครับ กะปุ๋ม
ขอบคุณมากนะครับ สำหรับการต้อนรับ สมาชิก อันผลุบๆ โผล่ๆ อย่างผม ฮ่าๆๆ
ใช่ละครับ การสอนให้เด็ก เกิดการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะได้ยินแต่คนบ่นว่า เด็กจบใหม่ (รวมทั้งเก่า) คิดไม่เป็น ส่วนหนึ่งก็ต้องโทษที่ระบบการศึกษาที่ไม่ได้ปลูกฝังระบบการคิดให้ก้ับผู้เรียน
กลับมาถึง คนไข้ ก็อีกเช่นกัน เวลาเราให้สุขศึกษา เราก็ไม่ได้สอนให้คนไข้เราคิดและตัดสินใจ เรามีแต่
สอนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
พูดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แนะนำๆๆๆๆๆๆๆๆ
สุดท้ายคนไข้ของเราไม่มีโอกาสได้คิด เพราะทุกอย่า่งเกี่ยวกับตัวเขา โดนพยาบาลครอบงำเกือบหมด จะกิน จะนอน ก็ต้องทำตามที่หมอบอก เพราะอยากเป็น "คนไข้ทีดี" อิอิ
สรุป กระบวนการให้สุขศึกษา ต้องมีการพัฒนาอีกเยอะครับ (เอ้ะ มาเรืองนี้ได้ไงเนี่ย)