ศึกษาดูงานด้านหลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์ของเวียดนาม


การจราจรที่ไร้ระบบระเบียบโดยเฉพาะจักรยานยนต์เหมือนฝูงมดฝูงปลวก จะข้ามถนนแต่ละครั้งเหมือนเข้าสงคราม

   

วันพุธที่ ๑๐  กันยายน  ๒๕๕๑  ออกจากบ้านตี ๕ ด้วยรถยนต์ของ ผอ.เลอศักดิ์  รัชนาการ มี ผอ.ศักดิ์สิทธิ์  แร่ทอง และผอ.ธรรมรงค์  เทพไพฑูรย์ไปส่งด้วย ถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ ๐๖.๓๐ น.  คณะผู้ศึกษาดูงานพร้อมกันอาคารผู้โดยสารชั้น ๔ ขาออก เคาน์เตอร์  D การบินไทย เจ้าหน้าที่ของบริษัทแปซิฟิก เวิลด์ไวด์ เอ็กซเพรส มาอำนวยความสะดวก เป็นบริษัทที่เคยนำผมและคณะไปเกาหลีครั้งที่แล้ว มีผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาร่วมคณะไปด้วยอีก ๓ ท่าน คือ ท่าน ผอ.กมล  ศิริบรรณ จากนครราชสีมา เขต ๑ ท่าน ผอ.ธวัช  กงเติม จากเพชรบูรณ์ เขต ๓ และ ท่าน ผอ.ชูชาติ  กาญจนธนชัย จากนนทบุรี เขต ๑  นอกนั้นเป็นศึกษานิทศก์  ผู้บริหารโรงเรียน และครู รวม ๓๑ คน  เป็นการไปศึกษาดูงานด้านหลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์ของเวียดนาม พื้นที่ศึกษาจะอยู่ที่เมืองฮานอย เป็นส่วนใหญ่  เวลา ๐๘.๒๕ น. เครื่องการบินไทยนำเราออกจากสุวรรณภูมิ ใช้เวลาเพียง ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที พวกเราก็มาถึงสนามบินนอยไบ ของเวียดนาม เป็นสนามบินที่เรียบง่าย ไม่ทันสมัยเหมือนสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะห้องน้ำขาออกยังไม่ได้ปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน  ใช้เวลานั่งรถจากสนามบินเข้าเมืองฮานอยอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง กับระยะทางเพียง ๔๕ กิโลเมตร เพราะเวียดนามจำกัดความเร็วรถไว้ที่ ๖๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง  ถึงฮานอยเริ่มปวดหัวด้วยความสับสนวุ่นวายของการจราจรที่ไร้ระบบระเบียบโดยเฉพาะจักรยานยนต์เหมือนฝูงมดฝูงปลวก จะข้ามถนนแต่ละครั้งเหมือนเข้าสงคราม  ภัตตาคารแรกสำหรับอาหารกลางวันในเวียดนามชื่อ Green Papaya มีส้มตำเวียดนามให้ลองทานด้วย  อาหารหลักของเวียดนามที่ต้องมีทุกมื้อคือผักบุ้งผัด หลังอาหารกลางวัน พวกเราเข้าที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางโรงแรมชื่อ CWD Hotel ผมพักคู่กับ ผอ.ชูชาติ  กาญจนธนชัย จากนนทบุรี เขต ๑ ห้องพัก ๑๐๐๖ มองลอดหน้าต่างพบทะเลสาบกว้างใหญ่อยู่ด้านหลัง ชื่อ West Lac Hanoi  สถานที่แรกทีเราไปเยือนในวันนี้คือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เวียดนาม (History Museum) อดีตเป็นสถาบันวิจัยทางโบราณคดีแห่งสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ สร้างใหม่เมื่อปี ๒๔๖๙ ก่อนจะเปิดอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ สิ่งที่นำมาแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครอบคลุมถึงประวัติศาสตร์เวียดนามทุกสมัย  เป็นของโบราณที่หาดูได้ยากยิ่ง  มีกลองสำริดอันงดงาม ซึ่งเป็นศิลปะของพวกจามที่แพร่เข้ามาในประเทศไทยด้วย  นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นเครื่องถ้วยชาม และเจ้าแม่กวนอิมปางประหลาด รวมทั้งห้องจัดแสดงของใช้ต่าง ๆ ของกษัตริย์ ๑๓ องค์แห่งราชวงศ์เหวียน  อากาศเวียดนามร้อนและอบอ้าวเหลือเกิน เหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน  ออกจากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รถพาพวกเราไปบริเวณทะเลสาบคืนดาบ คนเวียดนามเรียกว่าทะเลสาบฮว่าน เกี๋ยม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองฮานอย ข้ามสะพานไม้สีแดงเข้าไปชมวัดหง็อกเซินที่ตั้งอยู่ตรงกลางทะเลสาบ บริเวณวัดบนเกาะมีศาลาประชาคมเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน  ชาวเวียดนามนิยมเดินทางมาบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด  ด้านนอกมีเจดีย์รูปทรงคล้ายดินสอ  "ฟลุ๊ค" ไกด์หนุ่มชาวเวียดนามอธิบายให้ฟังว่า "คนเวียดนามเปรียบเจดีย์นี้เป็นปากกา  เอาน้ำในทะเลสาบเป็นน้ำหมึก เอาท้องฟ้าเป็นกระดาษ เขียนบุญคุณบรรพบุรุษยังไม่รู้จักหมดสิ้น"  ตรงข้ามสระอีกฟากถนนเป็นรูปปั้นเทพที่ชาวเวียดนามเคารพบูชายืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนลานหิน รอบ ๆ ทะเลสาบเขาเรียกว่าถนน ๓๖ สาย เป็นแหล่งช้อปปิ้งในย่านเมืองเก่า นับเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชาวเวียดนาม คล้ายถนนข้าวสารของกรุงเทพฯ  ผมและผอ.ชูชาติ  กาญจนธนชัย  เดินชมสินค้าจนหิวโซตัดสินใจซื้อส้มเช้งเวียดนาม ๑ กก. รับประทานกันริมถนน  รสชาติดีน้ำเยอะ  จากนั้นไปทานอาหารเวียดนามที่ภัตตาคารริมคันเขื่อนกั้นน้ำท่วมเมืองจากแม่น้ำแดง มีดนตรีพื้นเมืองเขาเรียกว่าพิณสายเดี่ยวมาบรรเลงเพลงลอยกระทงให้ฟัง มีหญิงสาวร่ายรำพอได้จังหวะจะนำหมวกเวียดนามไปสวมให้ผู้ชายที่เธอเล็งไว้  หลังจากอาหารเย็นรถพาเรากลับมาชมการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ โดยศิลปินผู้เชี่ยวชาญในโรงละครชื่อดังของประเทศ มีการเข้าคิวซื้อตั๋ววันละหลายรอบ  มีดนตรีเวียดนามประกอบ คนแสดงไปหลบอยู่หลังฉากในน้ำ ตัวหุ่นมีทั้งคนและสัตว์ชักแสดงในน้ำ เขาจึงเรียกหุ่นกระบอกน้ำ ใช้เวลาชมประมาณ ๑ ชั่วโมงก็จบรายการ  จึงกลับที่พักโรงแรม CWD Hotel  ค้นหาทีวีเวียดนามพบไทยทีวีสีช่อง ๓ รับได้ชัดเจนเลยนอนดูละครจนหลับไป

  
                วันพฤหัสบดีที่ ๑๑  กันยายน  ๒๕๕๑  คืนแรกนอนไม่ค่อยหลับสนิทนัก ความจริงโรงแรมเขานัดปลุกเวลา ๐๖.๓๐ น. แต่เราตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อยดูข่าวการเมืองทางช่อง ๓ เพราะเรื่องการเฟ้นหานายกรัฐมนตรีใหม่กำลังเป็นประเด็นร้อน  ได้เวลาลงไปทานข้าวที่ชั้น ๒ เป็นอาหารบุฟเฟ่ที่โรงแรมจัดไว้ มีคูปองแจกให้  ผมเลือกกาแฟขนมปัง และเฝอ (ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม)  กาแฟของเขาไม่น่าทานเลย น้ำตาลก็หวานกว่าบ้านเรา  เช้านี้มีกำหนดการไปชมพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุวิทยา (Vietnam  Museum of  Ethnology) แสดงเครื่องใช้เครื่องมือในการดำรงชีพของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ในเวียดนาม นอกจากนั้นยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแสดงความเป็นอยู่เป็นที่น่าสนใจ  เที่ยงไปทานอาหารที่ภัตตาคาร Nha Hane เป็นอาหารเวียดนาม ก่อนที่จะนำพวกเราไปเดินดูหนังสือย่านศูนย์การค้าเมืองฮานอย มีร้านหนังสือใหญ่ ๆ หลายร้านส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนาม  ผมเที่ยวในห้างขนาดเล็กกว่าห้างเดอะมอลล์บ้านเรา  แต่มีสินค้าราคาแพงกว่าบ้านเราจำหน่าย  แวะเข้าร้านกาแฟสั่งกาแฟสดมาทานแก้วละ ๑๔,๐๐๐ ดองหรือคิดเป็นเงินไทย ๑๐ กว่าบาท  บ่ายเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์ทหาร(Bao Tang Quan Doi) ตั้งอยู่บนถนนเดียน เบียน ฟู เป็นสถานที่จัดแสดงซากเครื่องบินทิ้งระเบิด ซากรถถัง ลูกระเบิดนานาชนิด ปืนต่อสู้อากาศยาน  ภาพถ่ายชุดวีระบุรุษสงครามและร่องรอยการต่อสู้กับฝรั่งเศสและอเมริกา  มีหนังฉายให้ดูด้วย  บริเวณนี้มีเจดีย์กว่านสือ (Quan Su) ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธในเวียดนาม สามารถเดินขึ้นไปจนถึงจุดยอดเจดีย์ได้  แต่งานนี้ขอแค่แหนหน้ามอง  จบจากเจดีย์กว่านสือเราไปชมวิหารวรรณกรรมวันเหมียว ตั้งอยู่ตอนใต้ของสุสานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลี ไท โตง ปี ค.ศ. ๑๐๗๐ เพื่ออุทิศบูชาขงจื้อ  ในปี ค.ศ. ๑๐๗๖ บริเวณติดกันเป็นโรงเรียนของพวกขุนนาง กว๊อก ตื่อ ยาม (Quoc Tu Glam) ซึ่งเป็นมหาวิหารแห่งแรกของประเทศเวียดนาม  ภายในมีแผ่นหินใหญ่ ๆ จำนวน ๘๒ แผ่น  ขนาบข้างสระน้ำซ้ายขวา  จารึกชื่อ ผลงานและประวัติทางวิชาการของผู้ที่สอบผ่านจอหงวน ระหว่างปี ค.ศ. ๑๔๔๒ - ๑๗๗๙  โดยแผ่นหิน เหล่านี้ตั้งอยู่บนหลังเต่าหิน ซึ่งหมายถึงว่าให้ทราบกันโดยทั่วไปนานเท่านาน เหมือนเต่าที่มีอายุยืน  บนหลังคามีภาพปูนปั้นเป็นรูปปลาดิ่งหัวลงซ้ายขวา  ตรงกลางเป็นมังกรพุ่งขึ้นจากน้ำ หมายความว่าปลาเปรียบดั่งสามัญชน ที่ดิ่งหัวลงในน้ำคือเข้ารับการศึกษา โผล่ขึ้นมาจึงเป็นมังกรที่มีกำลังและฤทธิ์เดช  เย็นเราไปทานอาหารเวียดนามกันอีกรอบแต่เปลี่ยนภัตตาควร ต้องเดินเข้าซอยไป ปากซอยมีร้านขนมหวานขายบนฟุตบาท และมีช่างขัดรองเท้าคู่ละ ๑๐,๐๐๐ ดอง (๑๐ บาท) มืดค่ำแล้วกลับโรงแรมนอน
                วันศุกร์ที่ ๑๒  กันยายน  ๒๕๕๑   เช้านี้เป็นศึกษาดูงาน ณ โรงเรียน TAY SON SCHOOL เป็นโรงเรียนประถมศึกษาในนครหลวงฮานอย อาจารย์ใหญ่และคณะครูมาต้อนรับนำพวกเราไปยังห้องประชุม ตัวแทนกองการศึกษาระดับอำเภอมาต้อนรับด้วย การศึกษาระดับประถมศึกษามี ๕ ระดับ คือ ระดับที่ ๑ ถึงระดับที่ ๕  มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาเด็กด้านสติปัญญา อารมณ์  และร่างกาย  เมื่อจบระดับประถมศึกษาเด็กจะมีทักษะทางการฟัง  การพูด  การอ่าน และการเขียน ทั้งภาษาและการคำนวณ  มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับธรรมชาติและสังคมมนุษย์  พัฒนาความคิดและการดูแลรักษาความสะอาดในสถานที่ต่าง ๆ  รวมทั้งให้มีความรักและซาบซึ้งในสิ่งสวยงาม  ให้เด็กรู้จักประดิษฐ์คิดค้นงานฝีมือต่าง ๆ ศิลปะการกีฬา นอกจากนั้นยังส่งเสริมและค้นหาความสามารถพิเศษของเด็ก (Gifted Children) โดยเฉพาะทางด้านกีฬาและศิลปะด้วย   ในด้านการจัดหลักสูตร แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกสำหรับเด็กทั่วไป กลุ่ม ๒ สำหรับเด็กโตและด้อยโอกาส  และกลุ่ม ๓ สำหรับชนกลุ่มน้อย เนื้อหาจะให้น้ำหนักกับภาษาเวียดนามและคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ  เมื่อจบปีที่ ๕ จะต้องสอบ Primary  Graduation Examination ด้วยจึงจะได้วุฒิบัตร  พวกเราผลัดกันซักผลัดกันถามจนกระจ่าง ก่อนเดินชมห้องเรียน  ผมไปดูห้องน้ำห้องส้วม ค่อนข้างเก่า แต่ก็สะอาด ดูแล้วเวียดนามยังไม่เน้นเรื่องส้วมมากนัก  อาคารเรียนเป็นตึกเก่าแบบฝรั่งเศส ทาสีเหลืองสดใส  ก่อนเที่ยงจะปล่อยนักเรียนออกมาบริหารร่างกาย ๑๐ นาทีแล้วเข้าไปเรียนต่อ  โรงเรียนนี้มีนักเรียนมากจึงเรียน ๒ ผลัด ๆ ละครึ่งวัน ผู้ปกครองมารอรับลูกกลับบ้านเต็มหน้าโรงเรียน  แต่ไม่มีใครเข้าไปในบริเวณโรงเรียนเลย เป็นกฎกติกาของที่นี่  อาจารย์ใหญ่บอกว่าสำหรับผู้ปกครองที่มารับลูกไม่ได้ โรงเรียนได้เช่าบ้านให้นักเรียนไปพักคอยผู้ปกครอง  ในเวียดนามโรงเรียนและสถานที่ราชการจะพักกลางวันระหว่างเวลา ๑๑.๓๐ น. - ๑๓.๓๐ น. รวม ๒ ชั่วโมง  พวกเราจึงต้องกลับตามเวลา แต่ก็ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันพอสมควร   ออกจากโรงเรียนพวกเราไปเที่ยวเจดีย์เตริ่น กว็อก(Tran Quoc) เจดีย์เก่าแก่ที่สุดในเวียดนาม สร้างขึ้นในศตวรรษที่ ๖ เดิมชื่อเจดีย์ไค กว็อก ตั้งอยู่นอกเขื่อนเอียนฝู ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น อัน กว็อก และย้ายมาตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบตะวันตกตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๗ ส่วนชื่อเตริ่น กว็อกนั้นกษัตริย์เล ไฮ โตง เป็นผู้เปลี่ยนแปลงชื่อในศตวรรษที่ ๑๙ เยื้องกับเจดีย์เป็นวัดกว่าน แถ่งห์ (Quan Thanh) วัดนี้ร่มรื่นเงียบสงบ มีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ สวยงาม  มีต้นโพธิ์ที่ประธานาธิบดีอินเดียมามอบให้ท่านโฮจิมินห์ มาปลูกไว้ร่มเงาดี สวยงามมาก  เที่ยงไปทานอาหารที่ภัตตาคารเป็นอาหารเวียดนามตามเคย  บ่ายไปเที่ยวหมู่บ้านที่ทอผ้าไหม มีผลิตภัณฑ์ผ้าไหมหลากหลายราคาไม่แพง ผมได้เน็คไท  ๑ เส้น ๑๐๐ บาท ออกมาจิบกาแฟ ปากซอยรอพรรคพวกที่ซื้อหาสินค้าแบบจะกลับไปเปิดร้านที่เมืองไทย  ออกจากหมู่บ้านผ้าไหมพวกเราไปเที่ยวตลาดดงชวน  (CHO DONG XUAN)  ปากซอยเต็มไปด้วยสินค้าการเกษตรประเภท หอม กระเทียม มันฝรั่ง และอีกสารพัด  ในตัวตลาดก็มีสินค้าวางขายเป็นแผนก ๆ ไป เครื่องจักรสาน พรมผืนเล็ก ๆ อาหาร ของที่ระลึก ซีดี ยาดอง สุรา ฯลฯ ราคาของตลาดนี้ถูกกว่าที่อื่นเท่าที่ดูมา  อยู่จนตลาดปิดจึงได้กลับพร้อมของที่ระลึกจำพวกตุ๊กตาเวียดนาม ตะเกียบ  ไปแวะทานข้าวเย็นที่ภัตตาคารเวียดนาม ก่อนกลับโรงแรม คืนนี้จัดกระเป๋าเดินทางเพื่อไปพักค้างที่อาลองเบย์ (Ha Long) คืนพรุ่งนี้ ๑ คืน 

    


 วันเสาร์ที่ ๑๓  กันยายน  ๒๕๕๑  ตื่นเช้าด้วยความสดชื่นลงมาทานอาหารที่ชั้น ๒ ของโรงแรม อิ่มแล้วลงมาชั้นล่าง  มีผู้ปกครองแต่งตัวให้เด็ก ๆมาโรงแรมเป็นแถว คนต้อนรับก็แต่งตัวแบบเวียดนาม สอบถามได้ความว่าโรงเรียนมาเช่าห้องประชุมจัดกิจกรรมให้เด็ก ๆ ก่อนวันไห้พระจันทร์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้  เช้านี้เราไปชมพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ เป็นรูปแบบอาคารสมัยใหม่ขนาดใหญ่ มีส่วนจัดนิทรรศการมากมาย นิทรรศการออกแบบได้หรูทันสมัยมาก   อยากเอามาจัดที่เขต นึกขึ้นได้เราย้ายแล้วดูเพลิน ๆ ไปดีกว่า  ลงมาทานไอศกรีมคนละแท่ง ก่อนไปไหว้เจดีย์เสาเดียว  ที่มีอายุกว่า ๙๐๐ ปี ดูธรรมดา สวยงามและโดดเด่น คนนิยมขอพรจากเจ้าแม่กวนอิม โดยเฉพาะการขอบุตรชายแน่นอนมาก        เดินอ้อมสนามไปเยี่ยมคารวะสุสานของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ แต่เนื่องจากสุสานปิดจึงทำได้แต่ภายนอก  ก่อนไปชมบ้านพักของท่านอีกฟากหนึ่งของสนาม เขาบอกว่าเป็นแบบบ้านเหมือนที่นครพนมสมัยท่านลี้ภัยการเมืองมาอยู่ไทย แวะทานอาหารเวียดนามที่ภัตตาคารชานเมือง แล้วเดินทางข้ามแม่น้ำแดงมุ่งสู่ฮาลอง  สองข้างทางเป็นทุ่งนาที่เขียวขจีไปด้วยข้าว ท่อส่งน้ำเป็นคอนกรีตทันสมัย  มีบ้านเรือนแบบเวียดนามอยู่ทั่วไป เห็นแล้วไม่ควรมาเปิดร้านขายสีที่ประเทศนี้ เพราะพี่เล่นทาสีเฉพาะด้านหน้าบ้าน  ด้านข้างและด้านหลังไม่ทาเลย เหตุผลเขาก็ฟังขึ้นนะ เขาว่าด้านข้างเดี๋ยวเพื่อนบ้านเขาก็สร้างบ้านมาบังหมดจะทาสีไปทำไม  มีโรงเผาอิฐเป็นระยะ เราแวะศูนย์พัฒนาคนพิการมีสินค้าจำพวกเซรามิคและของที่ระลึกมากมาย ดูราคาค่อนข้างแพง ถึงฮาลองแดดร่มลมตก เดินสำรวจสินค้าชายหาด และนั่งดื่มกาแฟรับลมทะเล  อาหารเย็นเป็นภัตตาคารของโรงแรมชื่อ Century Restaurant เป็นอาหารทะเล อิ่มแล้วไปเข้าที่พักโรงแรม Blue Sky  Hotel  ทีวีไทยรับได้แต่ช่องสารคดี เลยนอนแต่หัวค่ำ

  

 

 วันอาทิตย์ที่ ๑๔  กันยายน  ๒๕๕๑  รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม พวกเราเข้าคิวลงเรือที่เช่าเหมาไว้แล้ว เป็นเรือลำใหญ่ จัดโต๊ะเก้าอี้แบบนั่งสบาย ๆ มีขั้นดาดฟ้าให้ชมทิวทัศน์ มองบรรยากาศฮาลองเบย์ ทำให้คิดถึงเขื่อนรัชประภา ที่สุราษฎร์ธานี คล้ายกันมาก  เห็นป้ายมรดกโลกติดไว้ที่เกาะแรก เพื่อบอกให้ทราบว่าที่นี่คือมรดกโลก  เรือแล่นไปเกือบชั่วโมงจึงถึงเกาะที่มี ถ้ำฮางโตวโก๋ว ถ้ำนางฟ้า ชมหินงอกหินย้อยมากมายสวยงามจริง ๆ คุ้มกับที่ลากสังขารขึ้นมาตั้งหลายสิบเมตรจากระดับน้ำทะเล  ลงจากถ้ำก็ลงเรือมีอาหารเที่ยงแบบทะเลไว้ต้อนรับ ปูม้าเวียดนามเหมือนลูกปูที่ชุมพร  ขึ้นจากเรือก็ขึ้นรถกลับฮานอย แวะพักกูสินค้าที่ร้าน ๗๗ Minh Anh มีสินค้ามากมายหลายประเภทวางจำหน่าย แต่ราคาแพงกว่าฮานอยมาก  กลับมาเดินถนน ๓๖ สายอีกครั้ง ก่อนไปทานข้าวริมทะเลสาบ วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ หนุ่มสาวจึงออกทานข้าวนอกบ้านกันเพียบ   จนร้านค้าต้องมาตั้งโต๊ะบนทางเท้าสาธารณะจนตำรวจเทศกิจไล่จับ  กลับมาถึงโรงแรม CWD Hotel เจ้าของโรงแรมตั้งโต๊ะไหว้พระจันทร์หน้าโรงแรม  ได้ยินเสียงพลุส่องสว่างทั่วทั้งฮานอย โดยเฉพาะโคมยี่เป็งมีมากเป็นพิเศษ ห้องพักถูกย้ายมาด้านหน้าไม่ติดทะเลสาบเหมือนครั้งก่อน
วันจันทร์ที่ ๑๕  กันยายน  ๒๕๕๑  
หลังอาหารเช้าเราไปศึกษาดูงานโรงเรียน Hoang Dieu Primary School  การต้อนรับเอิกเกริกมาก มีดุริยางค์ต้อนรับ มีดอกกุหลาบ และผ้าแดงพันคอ  ในสนามมีนักเรียนมาจัดกิจกรรมวาดภาพ ออกกำลังกาย  คณะครูแต่งชุดประจำชาติเวียดนามทุกคน  พวกเราไปนั่งฟังบรรยายสรุปและตอบข้อซักถามที่ห้องประชุม  ก่อนเดินดูกิจกรรมในห้องเรียน ต้องยอมรับว่าโรงเรียนแห่งนี้มีความพร้อมสูง  ครูส่วนใหญ่ทั้งเก่งทั้งสวย  อยู่ในวัยทำงาน  หลายคนเคยมาเมืองไทยแล้ว และมีคณะศึกษาดูงานจากไทยมาดูโรงเรียนนี้แล้วหลายคณะ  นักเรียนพูดภาษาอังกฤษได้ดีในระดับ ๔ และ ๕  อาจารย์ใหญ่มอบตำราเรียน คู่มือครู และอุปกรณ์เป็นตัวอย่างให้เรา ๑ ชุด  ลาจากกันด้วยความอบอุ่นด้วยไมตรีจิต เดือนหน้าอาจารย์ใหญ่จะมาเมืองไทย เราต่างบอกว่าจะอาสาพาเที่ยวให้จุใจ ไปทานอาหารกลางวันที่ Mercy  Restaurant   มื้อนี้รีบทานเพราะจะกลับไปซื้อของที่ตลาดดงชวน  (CHO DONG XUAN) อีกครั้ง เพราะอยากซื้อของเพิ่ม   ภาคบ่ายมีศึกษาดูงานที่โรงเรียนมัธยมของเอกชน ชื่อ Truong Tieu  Hoc Doan Thi Diem อาจารย์ใหญ่เคยมาเมืองไทยหลายครั้ง   รัฐบาลสนับสนุนเฉพาะที่ดินสร้างโรงเรียนนอกนั้นโรงเรียนต้องดำเนินการเองทั้งหมด ไม่มีเงินอุดหนุนรายหัวเหมือนบ้านเรา   หลักสูตรโรงเรียนปรับใช้ได้บ้างจากแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ  พวกเราซักถามและเดินชมห้องเรียนห้องประกอบกันจนเย็นจึงอำลากลับ ก่อนทานอาหารเย็นเรามาแวะร้านขายของที่ระลึกชานเมืองฮานอย เพื่อรอเวลาอาหารเย็น  ร้านอาหารมื้อนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ชื่อร้าน SEN แต่น่าจะเรียกว่าออกร้านมากกว่า เพราะอาหารแต่ละอย่างมีแม่ครัวปรุงตามสั่งเพียงแต่เราต้องไปสั่งและนำไปที่โต๊ะเอง มีทั้งคาวหวาน สารพัด เป็นที่ถูกใจของลูกค้า  กลับที่พักจัดแจงกับกระเป๋าเดินทางที่ออกลูกออกหลานมาอีก ๑ ใบเพราะซื้อของที่ระลึก เป็นกระเป๋า Copy ยี่ห้อดังมราคา ๕๐๐ บาท จุพอสำหรับสิ่งของทั้งหมด
วันอังคารที่ ๑๖  กันยายน  ๒๕๕๑   หลังอาหารเช้า ตรวจสอบกระเป๋าและเอกสารเดินทาง  เช้านี้ไปประชุมร่วมกับ Ministry of   Education and Training ของเวียดนาม มีอธิบดีกรมวิเทศสัมพันธ์มาต้อนรับและใช้เวลาคุยกันจนเวลา ๑๑.๓๐ น. จึงยุติ มีความตกลงร่วมกันที่จะให้โรงเรียนแลกเปลี่ยนครูและนักเรียนด้านการสอนคณิตศาสตร์ มีหลายกิจกรรมที่เวียดนามเข้าร่วมในระดับนานาชาติ แต่กระทรวงศึกษาธิการของเขาไม่มีข้อมูล  ที่สำคัญไม่ว่าครูจะสอนดีจนนักเรียนได้รับรางวัลมากมายแต่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งหรือเลื่อนขั้นเงินเดือน  ครูจะได้แต่เกียรติยศและความสุขใจ ไปแวะถ่ายภาพหน้าโรงละครแห่งชาติที่สวยงาม  อาหารกลางวันเป็นอาหารเวียดนามที่คุ้นเคยแล้ว  บ่ายไปชมพิพิธภัณฑ์ศิลปกรรม (Fine Arts Museum) ตั้งอยู่บนถนนเหวียนไทฮ็อก ชาวเวียดนามเรียกว่า บ่าวตางมีทวด (Bao Tang My Thuat) เป็นแหล่งแสดงผลงานทางศิลปะของเวียดนาม มีภาพเขียนแสดงการต่อสู้ทั้งสงครามฝรั่งเศสและอเมริกา เวลาที่เหลือพวกเราหวนกลับไปย่านการค้าถนน ๓๖ สายเพื่อใช้จ่ายเงินดองให้หมดกระเป๋า  มาเวียดนามสามารถใช้เงินไทยได้เกือบทุกแห่งอัตราแลกเปลี่ยน ๑ บาทประมาณ ๕๐๐ ดอง เรียกว่าเวลาซื้อของต้องใช้เงินเป็นแสนเป็นล้าน  เดินเข้าไปชมตลาดสดของเขามีปลา พืชผัก ผลไม้และเครื่องเทศวางขายเป็นแผง ๆ ลองสั่งหมูย่างมาทานกันเดี๋ยวนั้น ๒ เหรียญอเมริกันอร่อยดีเหมือนหมูย่างนครปฐม  อำลาเวียดนามด้วยอาหารเวียดนามที่ร้าน Legend wine  รถไปส่งที่สนามบินนอยไบ ผ่านการตรวจของ ตม.เวียดนามก็เข้าไปชมสินค้าร้านปลอดภาษีในสนามบิน  ไฟฟ้าดับเกือบ ๑๐ นาที เขาบอกว่าเป็นเหตุการณ์ปกติของเวียดนามเรื่องไฟฟ้าดับหรือแรงไฟตก  ได้เวลาเดินทางกลับผมได้อัพเกรดที่นั่งจาก Economy เป็นชั้น Business  ใช้เวลาเพียง ๒ ชั่วโมงก็ถึงสุวรรณภูมิ ผู้บริหารจากชุมพรมารอรับและไปส่งบ้านเกือบเที่ยงคืน สิ้นสุดการเดินทางที่ยาวนานเหมือนอยู่แรมเดือนเพราะรู้สึกลำบากตรากตรำกับอากาศที่ร้อนและการเดินทางที่แสนไกล


                    กำจัด  คงหนู
                  ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต ๑

หมายเลขบันทึก: 210638เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2008 08:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ชอบอ่านเรื่องไปเวียดนามมากค่ะ

สวัสดีค่ะ เวียดนาม งามจริงๆน่ะค่ะ ขอเรียนเชิญท่านเข้ามาเยี่ยมในบันทึกเพลงประกอบการสอนภาษาไทย เรื่อง  คำพ้องเสียง ของครูบันเทิง หน่อยค่ะ เพื่อเป็นเกียรติและกำลังใจ  ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท