จุ้ม
นาย วิรัตน์ จุ้ม เกษสุริยงค์

ไฟฟ้า


ประวัติไฟฟ้าของไทย
เมืองไทย     เราสมัยปู่ย่าตาทวด นอกจากจะอาศัยแสงสว่างจากไต้แล้ว ก็มีเทียนไขและตะเกียงชนิดต่าง ๆ   บางทีก็เอา
หญ้าปล้องมาแซะเอาไส้ออกแล้วตากแดดไว้ให้แห้ง เพื่อเอาไปทำไส้ตะเกียงส่วนผู้ที่มีฐานะดีสักหน่อยก็ใช้ ้ตะเกียงน้ำมันก๊าด
เป็นโคมชนิดที่มีหูหิ้วที่เรียกกันว่า "ตะเกียงรั้ว" ที่เรียกกันเช่นนี้ก็เพราะเมื่อแรกสั่งเข้ามาใช้นั้นเอามาจุดประดับตามรั้วเวลา มีงาน รอบตะเกียงรั้วมีโป๊ะแก้วกันลมได้ ตะเกียงอีกชนิดหนึ่งเรียกกันว่า "ตะเกียงแมงดา" มีลักษณะกลม ๆ นูนเล็กน้อย
และค่อนข้างแบนคล้ายรูป แมงดา ในหม้อมีน้ำมันก๊าดบรรจุอยู่



การไฟฟ้าในประเทศไทย
ได้มีขึ้นในรัชสมัย
ของพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และโดยพระมหากรุณาธิคุณ
ของพระองค์ท่าน
การไฟฟ้าในประเทศไทย
จึงได้วิวัฒนาการ
ก้าวหน้ามาเป็นลำดับ
สืบจนกระทั่งปัจจุบันนี้

      ระเทศไทยเริ่มใช้น้ำมันก๊าซตั้งแต่  พ.ศ. 2417 และใช้น้ำมันเบนซินพร้อมๆ กับสั่งรถยนต์เข้ามาในปี 2447มีท่อเล็ก ๆ ต่อหม้อน้ำมัน
บงมาที่ปลายท่อมีรูเล็ก ๆ เรียกว่า นมหนูเมื่อน้ำมันหยดลงมาตะเกียงก็จะสว่างขึ้น นอกจากนี้ยังมีตะเกียงลานที่ไขลานให้หมุนใบพัดเป่าลม
ให้เปลวไฟตั้งตรงทำให้แสงไฟไม่วูบวาบเย็นตาและไม่มีควัน ส่วนตะเกียงเจ้าพายุก็มีการใช้อยู่ทั่วไปไฟฟ้าในเมืองไทย เริ่มครั้งแรกเมื่อ
จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ครั้งยังเป็น จมื่นไวยวรนาถ เป็นอุปฑูตได้เดินทางไปกับเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ และได้เห็น
กรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส สว่างไสวไปด้วยไฟฟ้า เมื่อกลับมาเมืองไทยจึงคิดว่า เมืองไทยน่าจะมีไฟฟ้าใช้แบบเดียวกับอารย
ประเทศ และการนี้จะทำให้สำเร็จได้คงต้องเริ่มภายในพระบรมมหาราชวังและบ้านเจ้านายก่อน จึงได้นำความขึ้นกราบทูลพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่มีพระราชดำรัสว่า "ไฟฟ้าหลังคาตัดข้าไม่เชื่อ" เมื่อเป็นเช่นนี้ จมื่นไวยวรนาถ ก็ตระหนักว่าก่อนที่จะ
เริ่มดำเนินการจำเป็นต้องหาวิธีจูงใจให้ผู้ที่ไม่เคยเห็นเคยใช้ไฟฟ้าเกิดความนิยม ขึ้นก่อน จึงนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ ขอให้ช่วยกราบทูล สมเด็จพระนางเจ้า
พระบรมราชเทวี
ให้ทรงรับซื้อที่ดิน ซึ่งได้รับมรดกจากบิดา ณ ตำบลวัดละมุด บางอ้อ ได้เป็นเงิน 180 ชั่ง หรือ 14,400.00 บาท 
ปรากฏว่าเป็นผลสำ เร็จ แล้วให้ นายมาโยลา ชาวอิตาเลียนที่มารับราชการเป็นครูฝึกทหารเดินทางไปซื้อเครื่องจักรและเครื่องไฟฟ้าที่
ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2427 โดยให้ซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามาสองเครื่อง เพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนกันได้ และซื้อสายเคเบิ้ลสำหรับฝังสาย
ใต้ดินจากโรงทหารม้า (ปัจจุบันคือ กระทรวงกลาโหม) ไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง และจัดซื้อโคมไฟชนิดต่าง ๆ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่
20 กันยายน 2427 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาปรากฏว่าไฟฟ้าเป็นที่นิยมกัน
แพร่หลาย ทั้งในราชสำนัก วังเจ้านาย และชาวบ้านผู้มีอันจะกิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดพระราชทานเงินที่ใช้จ่าย ในการ
ติดตั้งไฟฟ้าคืนให้จมื่นไวยวรนาถจึงวางแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพื่อให้ประชาชนในกรุงเทพฯได้ใช้ไฟฟ้า แต่เกิดมีราชการ
สงครามต้องไปปราบฮ่ออยู่เป็นเวลานานเรื่องเลยระงับไว้อย่างไรก็ตามไฟฟ้าก็เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย




จอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
(เจิม แสงชูโต)
บิดาแห่งการไฟฟ้าไทย

     นอกจากจะใช้เพื่อแสงสว่างแล้วยังมีการนำไปใช้ด้านพลังงานด้วยนั่นคือ มี การจัดตั้งบริษัทรถราง ขึ้น เพื่อช่วยเหลือให้การสัญจร
ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองบางแห่งเป็นไปอย่างสะดวก ถึงแม้ราคาค่าไฟหลวงใช้จะถูกกว่าชาวบ้านก็จริง แต่การใช้ไฟในสมัยรัชกาลที่ 5
ก็ต้องประหยัดตามถนนบางสายก็ไม่มีไฟฟ้าเพราะปรากฎว่าไม่ค่อยมีคนสัญจร บางสายก็ต้องติดห่าง ๆ กัน เพราะภาษีบำรุงท้องที่ในสมัย
นั้นยังไม่มี เรื่องการติดตั้งไฟฟ้าตามถนนนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพิถีพิถันเอาพระทัยใส่อยู่เป็นอันมาก เพราะ
พระองค์ทรงรู้ว่าไฟฟ้าเป็นของใหม่คนไทยเรายังไม่ค่อยเข้าใจปิดเปิดสวิทซ์ก็ยังไม่เป็น บางทีเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดคืนก็มี ทำให้หมดเปลือง
พระราชทรัพย์ไปโดยเปล่าประโยชน์ การติดไฟตามถนนจึงต้องดูว่าถนนไหนคนเดินมากเดินน้อย
 



พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
เป็นสถานที่แห่งแรก
ที่มีไฟฟ้าใช้นับตั้งแต่
มีไฟฟ้าในประเทศไทย

เรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า  นี้ทรงมีพระราชหัตถเลขามีถึงเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน ์    ครั้งยังเป็นเจ้าหมื่นเสมอใจฉบับแรกได้ตรัสถึงการติด
ไฟฟ้ามีข้อความตอนหนึ่งว่า "ไฟฟ้าควรจะมีแต่เพียงตะพานเทเวศร์ไปตะพานกิมเซ่งหลี ถนนดวงตะวันไปถึงถนนเบญจมาศ ถนนดวง
เดือนนอก ถนนดาวข่าง ส่วนถนนคอเสื้อแลปลายพฤฒิบาศ ถ้ามีก็ได้แต่จะต้องรอดูสักหน่อยก่อนพอให้มีเค้าคนเดิน เพราะเหตุที่ถนนหน้า
วัดโสมนัสไม่มีไฟฟ้า รอไว้ตั้งแต่ครึ่งปีก็ได้
"


อีกฉบับหนึ่งได้ทรงกล่าวถึงค่าไฟฟ้าและการใช้ " เรื่องไฟฟ้านั้นจะต้องวินิจฉัยต่อภายหลัง เวลานี้ทำอะไรไม่
เปลืองแต่เกิดมาเป็นคนไทยไม่รู้จักเปิดรู้จักปิด
จะไปเล่นกับไฟฟ้า คิดเป็นยูนิตมันก็ฉิบหายอย่างเดียวเท่านั้น ข้อซึ่งได้กล่าวว่าจัดคนไว้ให้
คอยเปิดคอยปิดอะไรเปล่าทั้งนั้น สั่งมัน ๆ
ก็รับแต่ว่ามันไม่ได้ทำไฟติดอยู่ยังค่ำ ๆ ถนนรนแคมแดงโร่อยู่เสมอ ร้ายไปกว่าที่จุดตามเรือน
ซึ่งคงไม่ปิดเหมือนกันสักแห่งเดียว
พราะไม่มีเครื่องที่จะแบ่งปิดได้ ปิดก็ต้องปิดทั้งหมด ถ้าจะให้เจ้าของเรือนทั้งปวงรู้สึกเสียดายแล้วจะ
จ่ายเป็นเงินพระราชทานสำหรับค่าไฟฟ้าเสียวันละเท่านั้น ๆ
แล้วแต่จะใช้มากใช้น้อยว่ากันเป็นเรือนดีกว่าเหลือเงินไปมากน้อยเท่าใด เจ้า
ของอยากจุดก็ให้เสียเงินเองเจ้าตั้งบิลไปเรียกเอา แต่ข้อสำคัญจะต้องติดที่ที่ดับไว้ให้เขาผ่อน
ใช้ได้มากบ้างน้อย บางตามสมควร แต่ส่วน
ถนนแลพลับพลานั้นจะต้องกำหนดว่าจุด 12 ชั่วโมง เท่าไรยูนิต
ถ้าเขาคิดราคามาเกิน 12 ชั่วโมง เท่าใดต้องให้ใช้เจ้า ถ้าหากว่าเป็นเช่น
นี้ไฟจึงจะดับได้ ความฉิบหายเรื่องไม่ดับไฟน
สุขาภิบาลทั้ง 2 กรม เห็นจะทำให้เงินแผ่นดินต้องเสียเปล่ามากโดยไม่เอื้อเฟื้อ"
      ค่าไฟฟ้าสำหรับใช้ตามถนนและในพระราชวังในสมัยนั้นคงจะสิ้นพระราชทรัพย์ปีหนึ่ง ๆ ไม่ใช่น้อย   ยิ่งเมื่อสร้างสวนดุสิตคือ พระราชวังดุสิตกับพระที่นั่งอนันตสมา
คมตลอดจนโครงการประปา ความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้าก็ทวีมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว จะไปซื้อไฟฟ้าบริษัทอยู่ก็ไม่ไหวและทางบริษัทเองก็ไม่สามารถบริการได้ทางกระ
ทรวงนครบาลจึงได้กราบบังคมทูลซึ่งในที่สุดก็ได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดทำไฟฟ้าเอง


บริษัท เดนมาร์กเปลี่ยนมาใช้
รถรางไฟฟ้าในปี พ.ศ.2437



 บริษัท ไฟฟ้าสยาม จำกัด
มีสำนักงานอยู่ที่วัดเลียบ

     
องค์กรที่ดำเนินกิจการไฟฟ้าในระยะแรก มี 2 แห่ง
การไฟฟ้ากรุงเทพ เมื่อปี พ.ศ.2430 รัฐบาลได้ให้สัมปทานการเดิน
รถรางแก่ นายจอห์น ลอฟตัส กับ นาย เอ. ดู เปลซี เดอ ริเชอเลียว เนื่องจากยังไม่มีไฟฟ้าจึงต้องใช้ม้าลาก เปิดดำเนินการอยู่พักหนึ่งแต่ขาด
ทุนจึงต้องโอนกิจการให้บริษัทเดนมาร์ก เมื่อปี พ.ศ. 2435 บริษัทเดนมาร์กเปลี่ยนมาใช้รถรางไฟฟ้า ในปี พ.ศ.2437 ขณะนั้นประเทศ
ส่วนใหญ่ในยุโรปยังไม่มีรถรางไฟฟ้า แม้แต่กรุงโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น กว่าจะมีรถรางไฟฟ้าใช้ก็หลังเมืองไทยร่วม
สิบปี
ในปีพ.ศ. 2443 บริษัทเดนมาร์กขายกิจการให้แก่ บริษัท บางกอกอีเล็คตริคซิตี้ ไลท์ ซินดิเคท แต่กิจการไม่เจริญเท่าที่ควร จึงได้โอน
กิจการให้บริษัทไฟฟ้าสยาม จำกัด มีชาวเดนมาร์กชื่อ นายอ๊อก เวสเตนโฮลส์ เป็นผู้ดำเนินการ ตั้งสำนักงานอยู่ที่วัดเลียบจนกระทั่งปี พ.ศ.
2482 จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทไฟฟ้าไทยคอร์ปอเรชั่น จำกัด ในปี พ.ศ. 2493 เมื่อหมดสัมปทานรัฐบาลจึงเข้าดำเนินงานแทนและ
เปลี่ยนชื่อมาเป็นการไฟฟ้ากรุงเทพ
เป็นหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่ผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนที่
อาศัยอยู่ในบริเวณตอนใต้ของคลองบางกอกน้อยและคลองบางลำภู
กองไฟฟ้าหลวงสามเสน เดิมชื่อ กองไฟฟ้าสามเสน กำเนิดขึ้นจาก
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตระหนักถึงความสำคัญของพลังไฟฟ้า
และสายพระเนตรอันยาวไกลของ
พระองค์ว่าต่อไปบ้านเมืองจะเจริญขึ้นไปทางด้านเหนือของพระนคร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชวังดุสิตเป็นที่ประทับ
โดยที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นท้องพระโรง เพื่อให้ได้กำลังไฟฟ้าราคาถูก และสะดวกใน
การเดินเครื่องสูบน้ำของการประปาด้วยทรง
โปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาล และผู้บังคับบัญชากรมสุขาภิบาลในขณะนั้น ดำเนินการสร้างโรง
ไฟฟ้าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจำหน่ายแก่ประชาชน โดยให้มีการจัดการเช่นการค้าขาย
ทั่วไป หรือรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน

จ้าพระยายมราช
จึงกู้เงินจากกระทรวงการคลังจำนวน 1,000,000 บาท โดยเสียดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ
สร้างโรงไฟฟ้าและการดำเนินงานผลิตจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และขอโอน นายเอฟ บี ชอว์ นายช่างไฟฟ้าชาวอังกฤษจากกรมโยธาธิการมา
เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ใช้วิธีเรียกประกวดราคา และบริษัท อัลเกไมเน อีเลคตริคซิตี้ เกเซ็ลซาฟท์ จำกัด (Allgameine
Elektricitats Gesellsehaft) หรือที่รู้จักกันดีในปัจจุบันนี้ในนามบริษัท AEG จากประเทศเยอรมันนีเป็นผู้ประมูลได้ และทำการก่อ
สร้าง จนกระทั่งวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2456 กองไฟฟ้าหลวงสามเสนจึงได้เริ่มทดลองเดินเครื่องจักรผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นครั้งแรก
และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประชาชนอย่างเป็นทางการราวต้นปี พ.ศ. 2457 โดยมีเขตจำหน่ายอยู่บริ
เวณตอนเหนือของคลองบางกอก
น้อยและคลองบางลำภู

คำสำคัญ (Tags): #ป.บัณฑิตรุ่น32550
หมายเลขบันทึก: 211343เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2008 22:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 02:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท