สิ่งของเหล่านี้ดูธรรมดาและดูเหมือนเป็น “หน้าที่” ที่เราต้องกระทำ ทั้งๆ ที่บางครั้งทำให้เราหงุดหงิดพอควรเลย...ตัวผมเป็นคนเกลียดการล้างจานมาก เพราะไม่ชอบความเหนอะของคราบอาหารและความสากมือหลังจากล้างจานเสร็จ ถึงขนาดมีกฎประจำใจเลยว่า ผู้หญิงคนไหนจะมาขอผมแต่งงาน ผมจะให้ล้างจานให้ดูก่อน...แถมอาจมีการเซ็นสัญญากันว่า ผมยินดีทำอาหารทุกชนิดแต่ฝ่ายหญิงต้องรับอาสาเป็นผู้ล้างจาน...จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ไปปฏิบัติธรรมในวิถีเซน การไปอยู่วัดครั้งนั้น ทุกคนต้องล้างจานเอง...พระสอนว่า เวลาล้างจานเราต้องการอะไรจากการล้างจาน...คำตอบของพวกผม คือ เราต้องการให้จานสะอาด (แหม ถามอะไรตอบง่ายอย่างนี้ ก็มันชัดเจนอยู่แล้วใช่ไหมครับ)...แต่ท่านบอกว่า ตอบผิดครับ ...อ้าว ถ้าไม่อยากให้จานสะอาดแล้วจะล้างไปทำไมครับ ผมงงมาก...ท่านตอบว่า จากนี้ไป ขอให้ล้างจานเพื่อล้างจานได้ไหม...
ทำไมต้อง “ล้างจานเพื่อล้างจาน” กว่าผมจะเข้าใจและทำได้ก็ผ่านไปจากนั้นนานแสนนาน และทุกวันนี้ผมก็ยังฝึกเป็นประจำ...เคล็ดอยู่ตรงนี้เองครับ หากเราล้างจานเพื่อต้องการให้จานสะอาด ก็เหมือนกับเราโยนทิ้งปัจจุบันแล้วรอให้ความสุขเกิดขึ้นในอนาคต แต่ปัจจุบันคือความทุกข์ที่ต้องอยู่กับจานสกปรก เราจะมีความสุขก็ต่อเมื่อจานสะอาดแล้วเท่านั้น ...สรุปว่าใช้ชีวิตแค่กับเป้าหมาย รอให้เป้าหมายเป็นผลแล้วค่อยยอมปล่อยใจให้เป็นสุข แต่หากเราเปลี่ยนมาเป็นทำใจให้สุขในขณะล้างจาน จิตจดจ่ออยู่กับน้ำ ฟองน้ำและจาน...เป็นสุขอยู่ตรงนั้น ซึ่งหลังจากครั้งแรก พระท่านก็สอนที่สูงขึ้นไปอีกว่า จินตนาการดูสิว่า จานเป็นพระพุทธรูปและเรากำลังชำระล้างท่านให้สะอาดอยู่...น่ารักมากเลยครับ ไม่เห็นต้องรอวันสงกรานต์แล้วค่อยสรงน้ำพระ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ความสุขเล็กๆ ก็เกิดขึ้นได้ตลอดวัน
ในการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข...ผมคิดว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างวิถีและเป้าหมายก่อน ...คนส่วนใหญ่มักเอาความสุขไปผูกไว้กับ “เป้าหมาย” แต่หลงลืมว่า เวลาเกือบทั้งหมดในชีวิตอยู่ที่ “วิถี” ในการไปถึงเป้าหมายนั้น เหมือนเมื่อก่อนผมตั้งเป้าไว้ว่า จะเรียนให้ได้คะแนนดีๆ ให้ได้เกียรตินิยม...และระหว่างภาคเรียนจะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนผมไม่มีหวั่น เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก...พอสอบเสร็จโล่งอกสบายใจ ได้เกรดดีๆ ก็ดีใจอยู่แผล็บเดียวเดี๋ยวก็เปิดเทอมอีกแล้ว...จะเป็นจะตายต่อไปอีกเทอม...พอมาดูจริงๆ แล้วเรียนปริญญาตรีเราจะได้เห็นเกรดตัวเองหลักๆ ก็ 8 ครั้ง โอ้โห เวลา 4 ปี จะยอมให้ตัวเองมีความสุขใหญ่ๆ แค่ 8 ครั้ง ก็ดูเป็นชีวิตที่เศร้าสร้อยไปหน่อยนะครับ
ดังนั้น การกลับมาปรับ “วิถี” ให้เรามีสุขขึ้นในระหว่างทางกลับทำให้ดัชนีความสุขมวลรวมของชีวิตเราพุ่งสูงขึ้นอีกมาก เมื่อหารเฉลี่ยแล้วทั้งชีวิตเราน่าจะมีความสุขขึ้นอีกมากนะครับ ...เดี๋ยวนี้ผมเลยมีกฎในการใช้ชีวิตว่า “วิถีคือเป้าหมาย” พูดง่ายๆ ว่า การทำใจให้สุขเป็นประจำวัน มีสุขในวิถี นั่นแหละคือเป้าหมายของผม ส่วนเป้าหมายใหญ่ๆ ภายนอกก็ยังมีอยู่ครับ ไม่ได้ทิ้งหายไปไหน ผมยังคงวางแผนชีวิตและมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่เช่นเดิม...อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเป้าหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวผมคนเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่ยังรวมคนอื่นๆ ในสังคมเข้ามาอีกด้วย และผมไม่รอให้ “เป้าหมายสำเร็จ” แล้วค่อยเป็นสุข...ไม่มีกฎอะไรกำหนดนี่ครับว่าต้องรอ ก็เลยขอเป็นสุขเรื่อยๆ ดีกว่า
ติช นัท ฮันท์ บอกไว้ว่า “ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ ในหนังสือ คุณหนูดีบอกไว้ว่า… แต่ถ้าความ “ธรรมดา” นี้หมดไป เช่น อยู่ดีๆ ลูกเราเกิดเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว อ่านแล้วก็ตอบกับตัวเองว่า นั่นสินะ…ใครล่ะอยากให้เรื่องไม่ธรรมดาแบบนี้
แต่ปาฏิหาริย์ คือการเดินอยู่บนผืนดินและมีความสุขในทุกย่างก้าว”
(หยิบยืมมาจากหนังสือ “ขอบคุณสรรพสิ่ง” ของคุณหนูดี ที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้)
“ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่อง”ธรรมดา” อย่างเช่น ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน
ขับรถไปทำงาน กินอาหารเที่ยงกับเพื่อนในที่เดิมๆ
ตอนเย็นกลับมาก็เห็นหน้าภรรยาหรือสามีคนเดิมๆ ใส่ชุดธรรมดาๆ…
หน้าตาเราหรือก็ธรรมดาๆ…เราส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนธรรมดาๆ มีชีวิตธรรมดาๆ กันทั้งนั้น
หรือสามีเราถูกรถชนตาย หรือเราถูกไล่ออกจากงาน!ที่เราเบื่อแสนเบื่อ…
เรื่องก็จะ “ไม่ธรรมดา” ไปในทันที และในเวลานั้นเอง
เราจะหวนมาคิดเสียดายความ “ธรรมดา” จนใจแทบจะขาด…”
เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนที่เรารัก … คงไม่มีหรอก
วันนี้ ผมขอชวนพี่น้องลองมองหาสิ่งธรรมดาๆ สักสองสามสิ่งที่เรามองข้ามไปแล้วลองคิดขอบคุณเขาไหมครับ เช่น วันนี้เราไม่ปวดฟันเลย ขอบคุณฟันที่อยู่อย่างปกติ หรือวันนี้ลูกของเรายังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า เรามีความสุขจัง หรือแม้แต่ วันนี้รถของเรายังไม่ถูกชน โชคดีจังเลย...เรื่องสุดท้ายนี่ผมคิดเป็นประจำเลยครับ เพราะในโลกนี้ ผมเป็นหนึ่งในคนที่รถชอบโดนชนประจำขนาดขับช้าเหมือนเต่าคลาน ดังนั้น หากวันไหนรถผมอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แค่ได้มองเห็น ก็เป็นสุขแล้วครับ ...สุขสันต์วันธรรมดาๆ อีกวันหนึ่งนะครับ ขอให้ทำงานอย่างเป็นสุขครับ
เจริญพร โยมคนพลัดถิ่น
อาตมาบางวันต้องนั่งฟังญาติโยมมาระบายเรื่องทุกข์ใจ
แต่ดีใจที่โยมได้สบายใจกลับไป
เจริญพร
ผม ก็แค่ธรรมดาๆ คนนึงครับ
รักการใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ
อยากให้ผู้หญิงเป็นคนล้างจานก็เรื่องธรรมดาเช่นกันครับ อิอิ
- อ่านแล้ว รู้สึกดีจัง
- ขออยู่แบบธรรมด๊า ธรรมดา เช่นกันค่ะ
อ่านแล้วได้ความรู้สึก
ได้สติดีค่ะ รู้ตัวตนขึ้นมาอีก
ธรรมดา..ที่ไม่ธรรมดา
ขอบคุณค่ะ
แวะมาสุขด้วยคน
อิอิ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนกัน ในวันธรรมดานี้ครับ ดีใจครับ ที่มีโอกาสมองดูโลกอันสวยงามแห่งนี้ด้วยตาตัวเองด้วยใจของตัวเองทุกวัน
สวัสดีค่ะ มันคือจรวดขวดน้ำ นั่นเอง
ครับผม ขอบคุณครับที่แวะมาเยี่ยมเยือนกัน ขอให้มีความสุขนะครับ
มาชม คุณคนพลัดถิ่น
เห็นภาพทางเดินริมเขาสวยและน่าเดินจังนะนี่
สวัสดีครับ อ.ยูมิ ไปเที่ยวหลายเพลา สนุกเลยนะครับ มีเรื่องดีดีกลับมาเล่าให้ฟังอีกด้วย ขอบคุณครับ
ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดๆ ที่นำมาฝากค่ะ
ยินดีเสมอ ครับ ขอบคุณที่แวะมาอ่านครับ
เรื่องล้างจาน...คืออาชีพเก่าของผมเลยครับ..สมัยอยู่วิทยาลัยครูนครปฐมผมเป็นคนล้างจานประจำร้านอาหารสหการของวิทยาลัย...ขัดหม้อ..ถูหม้อ..บริการอาหารให้อาจารย์..กวาดร้าน..ทิ้งขยะ.ทำสารพัด...ชอบล้างจาน..ที่เป็นภาชนะเท่านั้นนะครับ...แวะมาแซวครับ
อิอิ ขอบคุณครับท่าน ที่มาให้รายละเอียดเรื่องการบริการ งานบริการคืองานของเราเหล่าลูกศิษย์มีครูครับ
สวัสดีคะ
- ตามมาอ่านเรื่องราวดี ๆ จ้า
ชอบล้างจานงานแต่งค่ะ อิอิ
สะสมบุญไว้ ฮ่าๆๆๆๆ
ขอโทษครับ ไม่ได้มาดูแต่มาช้าก็ถือว่ามาครับ
แวะมาทักทายครับ ขอบคุณมากที่เข้าไปเม้นท์ให้ผม นอนหลับฝันดี
เป็นคนธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาจริงๆครับ
รพี
ขอบคุณพี่รพีครับ
เรื่องธรรมดานี่ เป็นชีวิตธรรมดานะครับ
อิอิ รักษาสุขภาพด้วยครับ พี่