การวิเคราะห์ความเสี่ยง


การวิเคราะห์ความเสี่ยง

แนวคิดพื้นฐานของการประเมินผลกระทบกฎระเบียบ

(Regulatory Impact Assessment)

                                                                            

   เฉลิมชัย ก๊กเกียรติกุล

สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

 

๑. บทนำ

การประเมินผลกระทบกฎระเบียบ (Regulatory Impact Assessment: RIA) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินตนเองขององค์กรกำกับดูแล (Regulator) และหน่วยงานกำหนดนโยบาย (Policy Maker) เพื่อให้การกำหนดและออกกฎระเบียบกำกับดูแลเป็นไปภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) โดยกลไกการประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะช่วยองค์กรกำกับดูแลในการตรวจสอบกระบวนการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายหรือออกกฎระเบียบใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจกำกับดูแล เพื่อเป็นการประกันว่าการตัดสินใจนั้น เป็นไปภายใต้หลักนิติรัฐ หลักความชอบด้วยกฎหมาย มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และรวมทั้งมีเหตุมีผลและหลักฐานข้อมูลในการตัดสินใจกำกับดูแล

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การประเมินผลกระทบกฎระเบียบ (RIA) เป็นเครื่องมือด้านนโยบายที่ประเมินผลกระทบในแง่ของต้นทุน ผลประโยชน์ และความเสี่ยงของกฎระเบียบที่อาจมีต่อภาคอุตสาหกรรม ผู้บริโภค และภาครัฐเอง[1] ซึ่งการประเมินผลกระทบกฎระเบียบสามารถใช้ช่วยในการตัดสินใจและการวิเคราะห์ ทั้งกรณีกฎระเบียบนั้นมีอยู่แล้ว (Existing Regulations) หรือกฎระเบียบที่มีการนำเสนอใหม่ (Proposed Regulations) ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบกฎระเบียบไม่ได้เป็นเครื่องมือที่จะทดแทนวิธีการหรือแนวทางการตัดสินใจอื่น ๆ ในกระบวนการกำกับดูแล (Regulatory Process) แต่ในขณะเดียวกัน การประเมินผลกระทบกฎระเบียบเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยในการส่งเสริมคุณภาพของการวิเคราะห์ในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับกฎระเบียบและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

          ปัจจุบันนี้ ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development) เช่น สหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ได้ยอมรับและนำระบบการประเมินผลกระทบกฎระเบียบไปใช้อย่างกว้างขวาง และองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ก็พยายามกระตุ้นและส่งเสริมให้ประเทศกำลังพัฒนานำระบบการประเมินผลกระทบการกำกับดูแลมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบและแนวทางกำกับดูแล เพื่อให้เกิดระบบการกำกับดูแลที่ดีขึ้นอย่างเป็นระบบ (Better Regulation) และเป็นการพัฒนาขีดความสามารถและความน่าเชื่อถือในการกำกับดูแลขององค์กรกำกับดูแลด้วย

 

๒. วัตถุประสงค์และความสำคัญของการประเมินผลกระทบกฎระเบียบ

 

๒.๑ การส่งเสริมให้หน่วยงานกำกับดูแลและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าใจหรือตระหนักถึงผลกระทบของกฎระเบียบหรือการกำกับดูแล  

วัตถุประสงค์ประการแรกของการประเมินผลกระทบกฎระเบียบคือ การส่งเสริมความเข้าใจของกิจกรรมกำกับดูแล เพื่อประกันว่าผลประโยชน์ของการกำกับดูแลสมเหตุสมผลกับต้นทุน และทางเลือกที่เลือกใช้ก็ให้ผลประโยชน์สูงสุดและลดต้นทุนเหลือน้อยที่สุด การใช้การประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะช่วยในการตัดสินใจ โดยเฉพาะเหตุผลในการกำกับดูแล เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น เพื่อประเมินผลประทบ และสามารถตัดสินใจและกำกับดูแลดีขึ้น

 

๒.๒ การบูรณาการวัตถุประสงค์และนโยบายที่แตกต่างให้เป็นระบบ  

การประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะพิจารณาประเมินผลกระทบในเชิงโครงสร้างและเป็นระบบ โดยการสร้างความตระหนักว่านโยบายและการตัดสินใจกำกับดูแลมีผลกระทบเชิงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร เช่น ความมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ การบรรเทาความยากจน การค้า และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น การประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะช่วยในการบูรณาการด้านนโยบายที่มีเป้าหมายหลากหลาย ซึ่งมีผลกระทบประเด็นแตกต่างกัน

 

๒.๓ การเพิ่มความโปร่งใสและการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ  

การประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะช่วยพัฒนาความโปร่งใสของการตัดสินใจและส่งเสริมให้เกิดการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะมากขึ้นและการเข้ามีส่วนร่วมของกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น จึงเพิ่มมิติในการยอมรับมิติเอกฉันท์และวิธีการตัดสินใจกำกับดูแลและทางการเมือง การรับฟังความคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นเงื่อนไขของการประเมินผลกระทบกฎระเบียบและส่งเสริมให้ดำเนินการตั้งแต่แรก ซึ่งการรับฟังความเห็นจะช่วยประกันว่ากฎระเบียบหรือทางเลือกที่ดีที่สุดได้รับการเลือกบังคับใช้และผลกระทบของกฎระเบียบทั้งหมดจะถูกระบุและประเมินอย่างเหมาะสม การรับฟังความคิดเห็นอาจนำไปสู่การยกเลิกกฎระเบียบที่ล้าสมัยหรือไม่เกี่ยวข้องหรือไม่จำเป็นต้องมีการบังคับใช้

 

๒.๔ การเพิ่มความรับผิดชอบของรัฐบาลและองค์กรกำกับดูแล  

การประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะเกี่ยวข้องและสร้างความรับผิดชอบแก่ผู้กำหนดนโยบายและออกกฎระเบียบกำกับดูแล ซึ่งทำให้สาธารณชนสามารถตรวจสอบได้และให้ความสำคัญวิธีการตัดสินใจที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะโดยรวม และยังกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลมากขึ้น เพราะระบบการประเมินผลกระทบกฎระเบียบทำให้การกำหนดนโยบายและออกกฎระเบียบกำกับดูแลอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐ

 

            ๒.๕ การสร้างความเชื่อมั่นในทางธุรกิจ การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศต่อการกำกับดูแล

          การประเมินผลกระทบการกำกับดูแลจะช่วยลดความไม่แน่นอนและไม่ชัดเจนในการกำหนดนโยบายหรือการออกกฎระเบียบ รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบการกำกับดูแลขององค์การกำกับดูแล ซึ่งส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นในทางธุรกิจ การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศต่อการกำกับดูแล นอกจากนี้ ระบบการประเมินผลกระทบการกำกับดูแลยังถือเป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับระหว่างประเทศ และเป็นหลักประกันความชอบด้วยกฎหมายของการกำหนดนโยบายและกฎระเบียบขององค์กรกำกับดูแลด้วย

 

๓. ประสบการณ์จากต่างประเทศ

การประเมินผลกระทบกฎระเบียบนิยมใช้กันมากในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว เพราะการประเมินผลกระทบกฎระเบียบได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อปฏิรูปหรือพัฒนาระบบการกำกับดูแลในเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ และการพยายามลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนของแบบพิธีการด้านการบริหารหรือต้นทุนที่ไม่จำเป็น ซึ่งต้นทุนเหล่านี้มีผลทางลบต่อธุรกิจ ผู้บริโภค และเศรษฐกิจ ดังนั้น การประเมินผลกระทบกฎระเบียบจึงได้รับการออกแบบและใช้ระบุต้นทุนและผลประโยชน์อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งเสนอแนะทางเลือกที่จะบรรลุเป้าหมายต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในกลุ่มประเทศ OECD มีการยอมรับการประเมินผลกระทบกฎระเบียบตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 แม้แนวทางและขอบเขตการประยุกต์ใช้การประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะแตกต่างกัน แต่ระบบการประเมินผลกระทบกฎระเบียบก็ก่อให้เกิดผลประโยชน์มากมายในการวัดประเมินความมีประสิทธิภาพของนโยบายพัฒนาและในการออกแบบและดำเนินการตามมาตรการกำกับดูแล รวมทั้งการประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะเป็นการสร้างขีดความสามารถในการกำกับดูแลในประเทศกำลังพัฒนาด้วย

ในแคนาดา การประเมินผลกระทบกฎระเบียบถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการปฏิรูปการกำกับดูแล โครงการประเมินผลกระทบกฎระเบียบที่ดำเนินการแล้วมีหลากหลาย เช่น การให้กรอบการพิจารณาและบริหารการริเริ่มกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐ การเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้ตัดสินใจ และการให้ข้อมูลสาธารณะ รวมทั้งการประเมินผลกระทบกฎระเบียบอาจใช้กรณีหน่วยงานรัฐแสดงว่ากฎระเบียบที่เสนอสอดคล้องกับเงื่อนไขของนโยบายกำกับดูแลของประเทศ ทั้งนี้ โครงการประเมินผลกระทบกฎระเบียบในแคนาดาพัฒนามาหลายปีแล้ว โดยการใช้หลักสูตรฝึกอบรมและเครื่องมือ เช่น บททดสอบผลกระทบทางธุรกิจ ความแข็งแกร่งของโครงการประเมินผลกระทบกฎระเบียบของแคนาดามีความยืดหยุ่น หน่วยงานต่าง ๆ ยอมรับการใช้แนวทางและวิธีการที่แตกต่างเพื่อประเมินผลกระทบของกฎระเบียบ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องก็ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ ดังนั้น ที่ผ่านมาโครงการประเมินผลกระทบกฎระเบียบของแคนาดาค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในแทบทุกสาขา เช่น กิจการโทรคมนาคม สาธารณสุข การเงินการคลัง ทรัพยากรธรรมชาติ และการร่วมกิจการงานภาครัฐและเอกชน เป็นต้น ในหลายกรณี กฎระเบียบที่นำเสนอได้รับการแก้ไขปรับปรุงจากการวิเคราะห์ผลกระทบและยอมรับโดยผู้ที่เกี่ยวข้อง จากรายงานของ OECD ซึ่งมีการสำรวจการปฏิรูปกฎระเบียบในสาขาโทรคมนาคมนั้น การประเมินผลกระทบกฎระเบียบส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในตลาดโทรคมนาคมในภาพรวมด้วย

อนึ่ง OECD ให้ข้อสังเกตว่าการประเมินผลกระทบกฎระเบียบมีส่วนเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ซึ่งองค์กรกำกับดูแลมีความระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับต้นทุนของการดำเนินการและการตัดสินใจเพื่อลดต้นทุน การประเมินผลกระทบกฎระเบียบพยายามขยายและทำให้ชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องของการตัดสินใจ การขยายพันธกิจขององค์กรกำกับดูแลจากมุ่งแก้ไขปัญหาอย่างเดียวมาเป็นการสร้างสมดุลการตัดสินใจเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหากับเป้าหมายเศรษฐกิจและการจายผลประโยชน์ ซึ่งเครื่องมือทางเทคนิคสามารถเพิ่มระบบการตัดสินใจตามแนวทางของนโยบาย โดยเป็นวิธีเปลี่ยนมุมมองว่าอะไรเป็นการกระทำที่เหมาะสมมากกว่าอะไรคือบทบาทที่เหมาะสมของรัฐ  เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าการประเมินผลกระทบการกำกับดูแลจะเพิ่มความมีประสิทธิภาพของการตัดสินใจด้านการกำกับดูแล หากดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ความมีประสิทธิภาพของโครงการประเมินผลกระทบกฎระเบียบจะเป็นการเพิ่มลประโยชน์โดยรวมต่อสังคมที่เกิดจากการพัฒนากฎระเบียบ

ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักร ต้นทุนของธุรกิจเกี่ยวกับมาตรฐานการเก็บรักษาอาหารใหม่ลดลง 410 ล้านปอนด์ต่อปีหลังจากการประเมินต้นทุนการปฏิบัติตาม ซึ่งแสดงว่าการเพิ่มอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอาจทำให้อาหารไม่ปลอดภัย ในทำนองเดียวกันในออสเตรเลีย การประเมินผลกระทบกฎระเบียบแสดงให้เห็นว่าข้อเสนอห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่ใช้สะพานจะเพิ่มต้นทุนการขนส่งมากกว่า 20 ล้านเหรียญ โดยไม่ได้เพิ่มผลกระทบทางความปลอดภัยแต่อย่างไร ดังนั้น ข้อเสนอดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไป

สำหรับระบบอเมริกานั้น กระบวนการจัดทำกฎระเบียบกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐต้องดำเนินการประเมินผลกระทบกฎระเบียบ โดยการเพิ่มโครงสร้าง ความเข้มข้น ความโปร่งใสในการพิจารณาทบทวนกฎระเบียบ หน่วยงานรัฐบาลต้องให้ความเห็นว่าการดำเนินการประเมินผลกระทบกฎระเบียบที่เหมาะสมสามารถก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการกำหนดเครื่องมือกำกับดูแลต้นทุนน้อยที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้น ระบบการประเมินผลกระทบกฎระเบียบของอเมริกาจึงมีความสลับซับซ้อนและต้นทุนสูง

ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาพบว่าการประเมินผลกระทบกฎระเบียบเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาแนวทางกำกับดูแลที่สมดุลมากขึ้น การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ดำเนินการโดยสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา (United States Environmental Protection Agency) ในช่วงปี ค.ศ. 1981–86 พบว่าได้รับอิทธิพลในการทบทวนกฎระเบียบสามฉบับ ผลประโยชน์สุทธิโดยประมาณต่อสังคมเพิ่มขึ้นกว่า 10 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงมีความสำคัญว่ามีการใช้จ่ายเพียง 8.1 ล้านเหรียญสหรัฐในการวิเคราะห์ ดังนั้น สัดส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุนอยู่ประมาณสูงกว่า 1000 ต่อ 1

         

๔. แนวคิดและวิธีการประเมินผลกระทบกฎระเบียบ

การประเมินผลกระทบกฎระเบียบมักดำเนินการ โดยองค์กรกำกับดูแลและมักเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบด้านกฎระเบียบกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม แต่ละประเทศมีแนวทางไม่เหมือนกัน แนวทางอาจแตกต่างกันตามสถาบันและแนวปฏิบัติของแต่ละประเทศ หลายประเทศมักกำหนดกระบวนเป็นสองขั้นตอนหลัก (Two-step process) กล่าวคือ ในขั้นตอนแรกเกี่ยวกับการระบุเหตุผลและความจำเป็นของการกำกับดูแลหรือกฎระเบียบ ส่วนขั้นตอนที่สองจะเป็นการวัดประเมินเชิงปริมาณของต้นทุนและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละวิธีการหรือทางเลือกของการกำกับดูแล

สำหรับในสหราชอาณาจักรแบ่งการพัฒนาการประเมินผลกระทบกฎระเบียบเป็นสามขั้นตอน เช่น ระยะเบื้องต้น ระยะขั้นกลาง และระยะขั้นสุดท้ายหรือสมบูรณ์ กล่าวคือ การทำการประเมินผลกระทบกฎระเบียบในระยะเบื้องต้นกำหนดวัตถุประสงค์และผลกระทบที่ตั้งใจของกฎระเบียบ การประเมินทางเลือกโดยคร่าว ๆ โดยการใช้ข้อมูลที่มี การประเมินผลกระทบกฎระเบียบขั้นกลางกำหนดทางเลือกนโยบายที่หลากหลายและหาทางเลือกของผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น นักเศรษฐศาสตร์ บริการธุรกิจขนาดเล็ก เป็นต้น ในการวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยง การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ และการวิเคราะห์การปฏิบัติตามที่เกี่ยวข้องกับแต่ละทางเลือก ผลลัพท์ของการรับฟังความคิดเห็นเป็นส่วนร่วมฉบับสมบูรณ์ ซึ่งจะรวมถึงข้อเสนอแนะ การตรวจสอบในอนาคต และการวัดประเมิน      

อย่างไรก็ตาม ลักษณะพื้นฐานร่วมของการประเมินผลการกำกับดูแลคือ การตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดจากกฎระเบียบหรือการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบ โดยวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของรูปแบบหรือวิธีการกำกับดูแลที่เป็นไปได้ เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายตามที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม วิธีการที่จะใช้ในการวิเคราะห์ประเมินผลมีหลากหลายวิธีการแตกต่างกัน แต่ละวิธีการมีจุดเด่นขุดด้อยที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

๔.๑ การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk analysis)

การวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นวิธีการประเมินขอบเขตของความเสี่ยงทั้งหมดในเชิงปริมาณที่ลดลงจากการกำกับดูแลหรือกฎระเบียบ ดังนั้น แนวทางนี้ให้ความสำคัญกับแง่มุมของการลดความเสี่ยง แต่จะไม่มีการประเมินต้นทุนที่เกิดขึ้นที่ใช้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการลดความเสี่ยงของผลประโยชน์สังคม ทั้งนี้ วิธีการวิเคราะห์ความเสี่ยงจะใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อวิเคราะห์ว่าความเสี่ยงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ตัวอย่างของการใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยง เช่น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (NIH) ของสหรัฐอเมริกาพบว่าการปรับปรุงกฎระเบียบ โดยการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการควบคุมกำกับดูแล โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนการกำกับดูแลแต่อย่างไร ซึ่งจากวิธีการวิเคราะห์เสี่ยงคือ การแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบดังกล่าวสามารถรักษาชีวิตได้ต่ำกว่าต้นทุนเพราะสามารถรักษา 60,000 ชีวิตได้ในแต่ละปี

 

๔.๒ การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ (Cost–benefit analysis)

การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์เป็นวิธีการระบุและคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบ ตามแนวทางนี้ ผลประโยชน์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับกฎระเบียบจะถูกเปรียบเทียบกับต้นทุนทั้งหมด ในกรณีที่มีความสมดุลระหว่างต้นทุนและผลประโยชน์ กฎระเบียบก็อาจมีความเหมาะสม ทั้งนี้ แนวคิดพื้นฐานของแนวทางนี้มองในมุมในการจัดสรรทรัพยากร โดยมองในเชิงของทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดและควรจัดสรรตามลักษณะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลประโยชน์สุทธิสูงสุดต่อสังคม ฉะนั้น การตัดสินใจด้านกำกับดูแลอาจมีผลที่บวกและผลทางลบ ซึ่งแนวทางนี้จะประกันว่ากระบวนการตัดสินใจจะพิจารณาผลประโยชน์สังคมโดยรวม 

ตัวอย่างของการใช้วิธีการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ในการประเมินผลกระทบกฎระเบียบคือ ในปี ค.ศ. 1985 สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency: EPA) ดำเนินการประเมินผลกระทบกฎระเบียบในการลดสารตะกั่วในน้ำมัน จากการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์พบว่า ต้นทุนหลักที่เกิดจากระยะเวลายกเลิกการใช้สารตะกั่วในน้ำมัน ณ โรงกลั่นนั้น ต้นทุนจะอยู่ประมาณ 3.6 พันล้านหรียญสหรัฐในช่วง ค.ศ. 1985 ถึง 1992 ในขณะที่ผลประโยชน์ด้านสุขภาพและเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมน้ำมันจะอยู่ที่ประมาณ 50 พันล้านเหรียญสหรัฐในระยะเวลาเดียวกัน รัฐบาลจึงตัดสินใจสนับสนุนโครงการลดสารตะกั่วในน้ำมัน

 

๔.๓ การวิเคราะห์ความมีประสิทธิภาพของต้นทุน (Cost-effectiveness analysis)

การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของต้นทุนจะให้ดัชนีต้นทุนที่เกี่ยวข้องของทางเลือกต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมวัตถุประสงค์ในสังคม แนวทางนี้จะช่วยในการคัดเลือกนโยบายที่สามารถลดต้นทุนให้น้อยที่สุดในการดำเนินการสำหรับความเสี่ยงหนึ่ง ๆ ซึ่งมาตรการความมีประสิทธิภาพของต้นทุนจะช่วยให้แนวทางที่มีประโยชน์ในการดำเนินการของนโยบายที่แตกต่าง

หมายเลขบันทึก: 213959เขียนเมื่อ 4 ตุลาคม 2008 04:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 15:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
  • พี่เมี้ยวคิดถึงค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท