เรื่องราวของ "มาร" ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก


มารที่รบกวนพระพุทธองค์

เรื่องราวของ "มาร" ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก 

พญามารทูลอาราธนาให้ปลงอายุสังขาร



หลังจากออกพรรษาแล้ว  พระองค์เสด็จออกจากเวฬุวคามเสด็จดำเนินไปตามลำดับประทับอยู่ที่ปาวาลเจดีย์   ณ  ที่นี้เอง  ทรง  “บอกใบ้”   ให้พระอานนท์ทราบเรื่องหนึ่ง  แต่พระอานนท์ไม่ทราบ


พระองค์ตรัสว่า  ผู้ใดเจริญอิทธิบาทให้มากเต็มที่แล้ว  ถ้าต้องการจะดำรงอยู่ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัปก็อยู่ได้   เราตถาคตก็ได้เจริญอิทธิบาทสมบูรณ์เต็มที่แล้ว   ถ้าตถาคตปรารถนาก็สามารถดำรงอยู่ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัปได้



ความหมายของคำนี้  ก็คือ  ถ้าพระองค์ต้องการจะยืดพระชนมายุไปอีกกัปหนึ่ง   หรือเกินกว่ากัปหนึ่งก็ย่อมได้  กัปในที่นี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า   ได้แก่ช่วงอายุ  ๑๐  ปี  หรือเกินกว่า  ๑๐  ปีนิดหน่อย  (รวมแล้วไม่เกิน  ๒๐  ปี)



ขณะนั้นพระพุทธองค์ทรงมีพระชนมายุ  ๘๐  พรรษาพอดี  ถ้าจะยืดออกไปอีก   “กัป”  หนึ่ง  (๑๐ ปี)  ก็จะเป็น ๙๐  หรือยืดออกไปอีก  ๒๐  ปี  ก็จะครบ  ๑๐๐  พอดี



พระอานนท์ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงบอกเป็นนัยว่า  ให้กราบทูลขอให้อยู่   พระองค์จะใช้พลังแห่งอิทธิบาทที่ทรงบำเพ็ญมาจนสมบูรณ์เต็มที่  ยืดพระชนมายุออกไปอีก   แต่พระอานนท์ก็คิดไม่ทัน



พญามารนามวสวัตตีจึงได้โอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธองค์   ทูลทวงสัญญาทันที   พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าถึงเวลาแล้ว  จึงทรง “ปลงอายุสังขาร”  (คือ  กำหนดพระทัยว่าจะปรินิพพาน)  





สาเหตุแผ่นดินไหว  ๘  ประการ



แผ่นดินได้กัมปนาทหวั่นไหว   จนพระอานนท์ตกใจ   รีบเข้าไปทูลถามว่าเกิดอะไรขึ้นแผ่นดินจึงไหวสะท้านอย่างนี้  พระพุทธองค์ตรัสว่าแผ่นดินจะไหวเพราะสาเหตุ  ๘  ประการ  คือ



๑. ไหวเพราะลม

๒. ไหวเพราะสมณพราหมณ์  หรือเทวดาผู้มีฤทธิ์เจริญปฐพีสัญญาเล็กน้อย
เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล้า   บันดาลให้แผ่นดินไหวได้

๓. ไหวเพราะพระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตก้าวลงสู่พระครรภ์

๔. ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ประสูติจากพระครรภ์

๕. ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

๖. ไหวเพราะพระตถาคตหมุนกงล้อพระธรรม   (แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร)

๗. ไหวเพราะพระตถาคตปลงอายุสังขาร

๘. ไหวเพราะตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ



พระอานนท์ได้ฟังดังนั้นก็รู้ทันทีว่า  แผ่นดินไหวเพราะพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร  จึงกราบทูลขอให้พระองค์ทรงยืดพระชนมายุต่อไปอีก   พระองค์ตรัสว่า  สายเสียแล้วอานนท์  เราได้บอกใบ้ให้เธอตั้งหลายครั้ง  เธอก็ไม่รู้ความนัย  ถ้าเธอขอเราตอนโน้น  เราจะห้ามเธอเพียงสองครั้ง ครั้นขอครั้งที่สามเราก็จะรับ   แต่เมื่อเลยมาถึงปานนี้  เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว


--->>>  เรื่องราวของมาร


คำว่า  “ปลงอายุสังขาร” ภาษาบาลี “อายุสงฺขารํ โอสฺสชฺชิ”  (ทรงสลัดปัจจัยเครื่องปรุ่งแต่งอายุ)  หมายความว่าตกลงใจกำหนดการสิ้นอายุ  หรือกำหนดพระทัยว่าจะปรินิพพาน



วสวัตตีมารคือใคร
  คัมภีร์บอกว่าเป็นพญามาร  หรือเจ้าแห่งมารทั้งหลายครองอยู่บนสวรรค์ชั้นที่  ๖  คือ   ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี


สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นอย่างไร   บังเอิญได้อ่าน  ๔๕  พรรษาของพระพุทธเจ้าพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร   สมเด็จพระสังฆราช  มีพูดถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี   จึงขอถือโอกาสคัดลอกมาให้อ่านดังนี้...



สวรรค์ชั้นที่  ๖  ชื่อว่า  ปรนิมมิตวสวัตตี  เสียงไทยว่า  ปรนิมมิตวสวัตตี  แปลว่าทำอำนาจของตนให้เป็นไปในโภคะทั้งหลายที่ผู้อื่นรู้ความคิดของจิตแล้วนิรมิตให้  ผู้ที่มาคอยนิรมิตให้นั้นไม่มี  กล่าวว่าเป็นเทพพวกไหน  ชั้นไหน  คิดดูตามเค้าความ  ก็น่าเห็นว่าต้องการแสดงความสุขสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง   มีผู้มาคอยนิรมิตสิ่งที่ใจปรารถนาให้  ไม่ต้องนิรมิตเอาเองเหมือนอย่างชั้นที่ ๕  



-->>  แต่อีกนัยหนึ่ง
 คำว่าทำอำนาจให้เป็นไป  ดูมีความว่าแผ่อำนาจไปครอบงำสิ่งที่ผู้อื่นเขานิรมิตไว้  คือ  ใช้อำนาจไปครอบครอง  เหมือนอย่างคำว่า  จักกวัตติ  หรือ  จักรพรรดิ  แปลว่า  ยังจักรให้เป็นไป  คือ  ใช้จักรแผ่อำนาจไปครอบครองโลก  นัยนี้ดูก็เหมาะกับเรื่องพญามารที่จะกล่าวต่อไป



สวรรค์ชั้นนี้ยิ่งสูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นนิมมานรตีอีกมาก   ท่านว่ามีเทพเป็นราชาผู้ปกครองอยู่  ๒  ฝ่าย  คือ  เทวราชเรียกนามตามชื่อของชั้นสวรรค์ว่าปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช  ปกครองอยู่  ฝ่ายหนึ่ง  พญามารเป็นเทวราช   ปกครองอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง   เทวราชผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้จึงมีอยู่  ๒  องค์     แบ่งเป็น ๒   ก๊ก   เรียกนามว่า   ปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช   เหมือนกัน    องค์หนึ่งไม่เป็นมารปกครองเทพที่ไม่เป็นมารด้วยกัน  แต่อีกองค์หนึ่งเป็นมาร  ปกครองเทพที่เป็นมารด้วยกัน



ฝ่ายที่ไม่เป็นมารไม่ค่อยมีเรื่องกล่าวถึงในคัมภีร์ทั้งหลาย    ส่วนฝ่ายที่เป็นมารมีเรื่องกล่าวถึงอยู่มาก   องค์เทวราชเองเรียกโดยเฉพาะว่า  ปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช  หรือคำไทย ว่า  พญามาราธิราช  แม้จะแบ่งเป็นสองก๊กก็ไม่มีเรื่องปรากฏในคัมภีร์ทั้งหลายว่าทั้ง  ๒  ก๊กนี้ได้ทำสงครามกันเหมือนอย่างเทพและอสูรแห่งสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์    มีแต่เรื่องพญามารลงมาป้องกันรังควานความตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์และพระสาวกทั้งหลาย  เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว  มารก็ยังมาเกี่ยวข้องอีกหลายคราวจนถึงมาทูลอาราธนาให้ปรินิพพาน




สังเกตตามที่เล่าไว้ในคัมภีร์ทั้งหลายว่า
  เทวราชผู้เป็นมารนี้มีความกลัวเป็นข้อสำคัญอยู่ข้อหนึ่งว่าตนจะสิ้นอำนาจครอบครองโลก ไม่ประสงค์ให้ใครทั้งนั้นบรรลุมรรคผลนิพพาน   หรือจะเรียกว่าวิมุตติหรือโมกขธรรมก็ได้  พูดง่าย ๆ    ก็คือไม่ประสงค์ให้ใครประสบความหลุดพ้นจากกองกิเลส เช่น   ตัณหา   อุปาทาน  หรือ ราคะ   โทสะ  โมหะ  และหลุดพ้นจากกองทุกข์  มี เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  เป็นต้น  



พูดอีกอย่างหนึ่งว่า
   ไม่ประสงค์ให้ใครหลุดพ้นไปจากโลกเป็นโลกุตระ   ที่แปลว่าเหนือโลก    ก็คือพ้นโลกนั่นเอง เพราะเมื่อผู้ใดพ้นโลก หมายถึงว่ามีจิตใจพ้นกิเลสดังกล่าว  ผู้นั้นก็พ้นอำนาจของมาร  ซึ่งมารจะใช้อำนาจให้เป็นไปในผู้นั้นอีกไม่ได้     ความเป็นสวสวรรดิ  (เทียบกับจักรวรรดิ)  ของมารก็หมดสิ้นไป



ฉะนั้น
  เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงแสวงหาโมกขธรรมทรงได้พบทางทรงดำเนินไปในทางจนถึงในราตรีที่จะตรัสรู้   ท่านเล่าว่าพญามารได้มาป้องกันรังควานอย่างสุดกำลัง   พระโพธิสัตว์ก็ทรงผจญสู้อย่างเต็มที่   อย่างที่เรียกว่าเสี่ยงบารมี  พูดอย่างสามัญว่าสู้ตายไม่ยอมถอย  เช่น   ทรงอธิษฐานพระหทัยตั้งความเพียรแน่วแน่ว่าจะไม่ยอม ลุกขึ้นจากที่ประทับจนกว่าจะได้บรรลุผล  แม้ว่าเนื้อเลือดทั้งหมดจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังเอ็นกระดูกก็ตาม   อาศัยพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาเต็มเปี่ยมแล้ว    จึงทรงชนะมาร  ทรงบำเพ็ญเพียรต่อไปจนได้ตรัสรู้



แม้ต่อมาท่านก็เล่าว่า   มารได้มาเกี่ยวข้องอีกมากครั้ง    แสดงว่ายังคอยติดตามหาช่องโอกาสอยู่เรื่อย ๆ   เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเวไนยนิกรให้พ้นอำนาจของตนมากขึ้นทุกที   จึงไม่ปรารถนาจะให้พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่นาน



และในที่สุดท่านก็เล่าว่า   พระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุสังขารตามคำอาราธนาของมารนั่นเอง    แต่ก็ทรงปลงในเมื่อได้บำเพ็ญพุทธกิจสำเร็จตามที่ได้ทรงตั้งพระหทัยไว้แล้ว



พญามาราธิราชเป็นเจ้าก๊กหนึ่งแห่งสวรรค์ชั้นที่หก   ก็จะต้องทำบุญไว้มาก  ไม่เช่นนั้นก็จะไม่บังเกิดในสวรรค์ชั้นสูงนี้ได้  แต่ก็จะต้องเข้าใจว่า    ทำบุญเพียงเพื่อสวรรค์เท่านั้นดูก็ชอบกลอยู่ท่านไม่กล่าวว่าพญามารได้มาขัดขวางใครที่ทำบุญ  เช่น  ทาน ศีล  เป็นต้น   เพื่อสวรรค์หรือที่เป็นภูมิเพียงเพื่อสวรรค์   มาขัดขวางแต่ผู้ปฏิบัติเพื่อ  มรรค   ผล   นิพพาน  เช่น   พวกทำกรรมฐานเพื่อสิ้นกิเลส



-->> เรื่องของมารยังมีอีกมาก เป็นอันว่าสวรรค์ชั้นนี้แบ่งเป็น  ๒  ก๊ก   เหมือนอย่างขาวกับดำ  และมีเจ้าครองอยู่  ๒ องค์   ที่ลงมาเกี่ยวข้องในประวัติพระพุทธศาสนามากก็คือพญามาร  เรียกเต็มว่า   ปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช   ฝ่ายที่เป็นมารแห่งโลกียธรรม  ส่วนธาตุธรรมภาคมารในฝ่ายแห่งโลกุตรธรรมเป็นอีกระดับหนึ่ง  ในส่วนของคัมภีร์พุทธศาสนากล่าวเฉพาะพญามารในโลกียธรรมเท่านั้น


หมายเลขบันทึก: 215373เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2008 23:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 00:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

อยากเป็นพญานาคมากกว่าา

ใช้ประโยชน์ได้มากเลยค่ะ

วัชรศปัสตาวยมุทรา

สาธุๆๆ

ไหวเพราะลมคือการเคลื่อนที่ ตามที่อธิบายไว้ในโผฏฐัพพะกับธาตุทั้งสี่

แต่คงไม่ต้องห่วงเพราะคนที่อ่านบล๊อกธรรมะย่อมมีความรู้อยู่แล้ว

กำราบมารกันครับ พวกภาคดำน่ากลัวจริง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท