**** กล่าวถึงวิชารบเบื้องต้น ****
ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือชื่อ "ยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ของการสะสางธาตุธรรมชั้นสูง" ซึ่งท่านเจ้าคุณภาวนาโกศลเถร (อาจารย์วีระ คณุตฺตโม) เป็นผู้จัดพิมพ์ บอกว่าเป็นความรู้ที่คุณฉลวย สมบัติสุข ถ่ายทอดไว้ กล่าวถึงการส่งวิชาของมารว่ามารเขาส่งวิชามาอย่างไร ? มารเขาส่งวิชาปกครองมีกี่ขั้นตอน ? มารปกครองพวกเรานั้น มารเขาทำวิชาอย่างไร ? และตำรายังได้อธิบายถึงวิธีแก้วิชาของมารว่ามีวิธีแก้อย่างไร ?
ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นตำราสำคัญ แต่ว่าตำราปราบมารไม่มีแค่นี้ เหตุใดไม่ทำตำราไว้ ? ควรทำไว้ให้ครบหลักสูตรเพื่อผู้มีบารมีธรรมรุ่นหลังจะได้มีตำราศึกษาค้นคว้า การไม่มีตำราสำคัญเป็นความเสียหายมาก เพราะส่งผลให้โพธิสัตว์ยุคปัจจุบันไม่มีตำราศึกษาเล่าเรียน ความรู้อย่างนั้นไปหาที่ใดในโลกไม่มีอีกแล้ว ? มีแต่หลวงพ่อผู้เดียวเท่านั้นที่มีความรู้เช่นนี้ เหตุใดหลวงพ่อไม่ทำตำราไว้ ? นี่คือคำถาม ข้าพเจ้าจะตอบให้ทราบดังนี้
->> ขึ้นชื่อว่าความรู้วิชาธรรมกาย มารเขาหวงและปกป้องและหวงแหนสุดชีวิตทีเดียว เพราะอะไรหรือ ? ตอบว่า วิชาธรรมกายเป็นสื่อให้ไปรู้เห็นได้ทั้งนั้น การยอมให้มีการเปิดเผยวิชาธรรม-กาย ก็เท่ากับยอมให้ภาคขาวไปรู้กำพืดของภาคมาร มารเขาจึงไม่ยอม ไม่ยอมให้เราไปรู้เห็นกำลังของเขา ไปรู้เห็นวิชาของเขา ไปรู้วิชาปกครองของเขา ไปรู้วิธีหากินของเขา
->> เปรียบแล้วมารก็เหมือนเสือหรือสิงโต มนุษย์คือพวกเรานี้ ก็เหมือนฝูงกวางป่า เก้งป่า ม้าลาย พอได้เวลาเสือสิงโตก็มาล่าไปกิน มนุษย์เป็นอาหารของเขา เขามาระเบิดดวงบารมีไปหมด แม้แต่พระพุทธเจ้าในนิพพาน มารยังไปยึดอำนาจปกครอง มารยังไประเบิดเอาดวงบารมีไป มารยังเข้าบังคับลงโทษนานาประการ ดังที่ข้าพเจ้าได้รายงานไปแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ
->> กล่าวถึงตำราปราบมาร มารไม่ยอมให้หลวงพ่อเผยแพร่ หมายถึงว่าเป็นการแย่งอำนาจปกครองของเขาทีเดียว เวลาที่หลวงพ่อจะคิดเผยแพร่ จะปรากฏว่ามีอุปสรรคนานาประการ เสร็จปัญหานี้ขึ้นปัญหาโน้น เป็นเช่นนี้เรื่อยไป ในที่สุดหลวงพ่อก็พิมพ์ตำราออกมาไม่ได้ จงดูตัวอย่างวิชาธรรม-กายระดับยาก คือวิชชามรรคผลพิสดาร ๑ เราจะพบว่า พระมหาจันจดบันทึกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ แต่วัดปากน้ำพิมพ์ได้ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หลวงพ่อของเรามรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ แปลว่าหลวงพ่อของเราตายไปนานแล้ว แต่ตำราเพิ่งพิมพ์ได้ และวิชาธรรมกายหลักสูตรยากมากคือวิชชามรรคผลพิสดาร ๒ ทางวัดปากน้ำเพิ่งพิมพ์ได้ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้น
นี่คือหลักฐานที่นำมาอ้างอิงคำตอบ ตำราธรรมดายังเป็นถึงปานนี้ แล้วตำราปราบมารจะขนาดไหน ? นี่คือข้อคิดที่ทุกท่านต้องตีให้แตก แต่ว่าเหตุผลอันแท้จริงคืออะไร ? นี่คือประเด็นที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้ากล่าว
->> ในวันที่พวกคนจีนเข้าทรงมาสู้กับหลวงพ่อ ตามที่ข้าพเจ้านำมาเล่าไว้แล้วนั้น เป็นข้อมูลสำคัญ หากมารไม่ชอบใจขึ้นมา มันเอาวัดปากน้ำไปทิ้งทะเลได้ หลวงพ่อก็บอกแก่เราแล้วว่า มารมีอานุภาพปานนั้นทีเดียว แล้วหลวงพ่อมีพระเณรอยู่ในวัดถึง ๑,๐๐๐ รูป หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น หลวงพ่อจะเอาพระเณรจำนวนมหาศาลเหล่านี้ไปพักพิงที่ไหน ? นี่คือความคิดของหลวงพ่อ ท่านต้องคิดอย่างนี้ ดังนั้น หลวงพ่อจะทำอะไรก็ทำเท่าที่ทำได้ ทำแต่สิ่งที่มารเขาไม่ขัดขวาง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด ท่านกล่าวแย้งว่า ก็เมื่อกลัวมารแล้วจะมาตั้งเวรทำวิชาปราบมารทำไม ? นั่นเป็นการรบกับมารเขาแล้ว จริงอยู่เราทำวิชาปราบมาร เป็นการรบกับมารแล้ว แต่การรบยังไม่ถึงขั้นยึดอำนาจปกครองได้ เพียงแต่เป็นการรบแบบป้องกันตัวเท่านั้น เพราะความรู้การรบในสมัยนั้น ยังไม่ถึงขั้นดุเดือดเลือดพล่าน
->> สรุปแล้ว กว่าข้าพเจ้าจะตอบคำถามว่า เหตุใดหลวงพ่อไม่ทำตำราปราบมารไว้ ? ข้าพเจ้าต้องบรรยายข้อมูลหลายอย่าง ดังที่เราอ่านผ่านมานั้น คราวนี้มาถึงคำถามที่ท่านสมาชิกหลายท่านถามข้าพเจ้า จะให้ข้าพเจ้าตอบ คำถามมีว่า เหตุใดหลวงพ่อใช้เวลาตัดสินใจยาวนานถึง ๘ ปี ว่าจะลงมือทำวิชาปราบมารหรือไม่ ?**** เหตุใดหลวงพ่อจึงใช้เวลาใคร่ครวญถึง ๘ ปี ว่าจะทำวิชาปราบมารหรือไม่ ? ****
ครั้งนั้น ข้าพเจ้ายังเป็นข้าราชการครูหนุ่มๆ ยังไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา ยังไม่เป็นวิชา แม้จะเรียนวิชาธรรมกายแล้ว แต่ยังไม่ได้ความอะไร ? ผู้เล่าให้ข้าพเจ้าทราบเรื่องราวการปราบมารของหลวงพ่อคือหลวงปู่ชั้ว โอภาโส พระสงฆ์ผู้เคร่งวินัย เป็นพระมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นคนบ้านเดียวกับหลวงพ่อ เป็นญาติของหลวงพ่อ มีอายุมากกว่าหลวงพ่อ ท่านมาเรียนวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อ โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดปากน้ำ
หลวงปู่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หลวงพ่อคิดจะทำวิชาปราบมารนั้น ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ ๘ ปี ว่าจะทำวิชาปราบมารดีหรือไม่ทำดี ? ใช้เวลาคิดอยู่ ๘ ปี แต่พอตกลงใจว่าจะทำแล้ว มารเขาก็มาต่อรองทันที มารเขามีกายดำ เขามาหาหลวงพ่อ มาต่อรองว่า หลวง-พ่อไม่ทำวิชาปราบมารได้ไหม ? ถ้า หลวงพ่อรับคำว่าไม่ทำ ! มารเขาอาสาว่าจะให้คนสำคัญของแผ่นดินมาปฏิบัติรับใช้ที่กุฏิ ๗ วัน หลวงปู่ถามหลวงพ่อว่าแล้วหลวงพ่อให้คำตอบแก่มารไปอย่างไร ? หลวงพ่อตอบว่าไม่ได้ให้คำตอบอะไร ? แล้วยังพูดกับหลวงปู่ว่าเราจะทำเหมือนหนูเห็นข้าวสารได้อย่างไร ? นี่คือเรื่องราวก่อนที่หลวงพ่อจะทำวิชาปราบมาร ซึ่งข้าพเจ้าจำได้
คราวนี้ก็มาถึงประเด็นที่ข้าพเจ้าจะตอบว่า เหตุใดหลวงพ่อใช้เวลาคิดนานถึง ๘ ปีว่าจะทำวิชาปราบมารดีหรือไม่ทำดี ?
การที่หลวงพ่อต้องครุ่นคิด เพราะเมื่อหลวงพ่อเข้านิพพานไปแล้ว ธาตุธรรมผู้ใหญ่ในนิพพานบอกแก่หลวงพ่อว่าที่ให้หลวงพ่อมาเกิดคราวนี้ ก็เพื่อให้มาทำวิชาปราบมาร ไม่ใช่ให้มาเป็นใหญ่เป็นโตอะไรเนื้อหาสาระของเรื่องก็คือนิพพานท่านใช้ให้มาปราบมาร หลวงพ่อ รับทราบ แล้วหลวงพ่อก็คิดมาก
คิดมาก คือคิดอะไร ? วิชาปราบมารหลวงพ่อเข้าถึงแล้วเห็นแล้วเข้าใจแล้ว แต่ว่าการเดินวิชารบกับมารนั้น ไม่ง่าย ! ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ถ้าจะรบกับมารต้องมีพลรบคือมีคนเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูงจำนวนหนึ่ง เหมือนการรบในโลก หากไม่มีกองทัพ แล้วเราจะเอาอะไรไปรบ ต้องมีงบประมาณสนับสนุนกองทัพ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ มีความรู้ทันสมัยเพื่อใช้ในการรบ มีผู้อำนวยการรบ มีแม่ทัพ มีเสนาธิการ นี่คือการรบในโลกที่เราทราบ แม้การรบในธาตุในธรรมก็ต้องมีอย่างนั้น หากไม่อย่างนั้นก็รบไม่ได้ นี่คือความต้องการของหลวงพ่อ หลวงพ่อมีพลรบแล้วหรือยัง ? พลรบจะได้จากไหน ? เขาเป็นวิชาแค่ไหน ? เขามีที่อยู่ที่อาศัยหรือไม่ ? มีที่กินที่ใช้แล้วหรือยัง ? มียารักษาโรคให้เขาบ้างไหม ? ใครเป็นแม่ทัพ ? ใครเป็นผู้อำนวยการทางวิชา ?
หลวงพ่อคิดแล้ว หลวงพ่อก็ตอบแก่ตัวเองไม่ได้ แม้แต่รัฐบาลเองมีกฎหมายบังคับให้ประชาชนมาเป็นทหาร ยังเอางานไม่ได้ เราเป็นนักบวชซึ่งไม่มีอะไรในมือเลย แล้วจะทำวิชาปราบมารได้อย่างไร ? นี่คือประเด็นแรก ประเด็นสำคัญต่อมา งานปราบมารที่จะมีขึ้น ใครจะแพ้ใครจะชนะ ? เราต้องเรียนก่อน รบแพ้แล้วผลที่ตามมาคืออะไร ? หากเราชนะก็ไม่มีปัญหาอะไร ? ความรู้ที่จะใช้ในการปราบมารนั้น ไม่ใช่ความรู้ที่ใครจะรู้ได้ง่าย เรามีผู้รู้ระดับเสนาธิการแล้วหรือยัง ? หลวงพ่อท่านคิดไม่ตก ธาตุธรรมท่านก็เตือนทุกวัน ว่าทำวิชาปราบมารได้แล้ว การสั่งการนั้นทำง่าย แต่ผู้ปฏิบัติพร้อมที่จะทำงานแล้วหรือยัง ? ข้าพเจ้าพบมาแล้วมีประสบการณ์มาแล้วเป็นอันดี ไม่มีอะไรง่ายเลย มารมันจะยอมให้เรามีความพร้อมตามที่เราต้องการนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากเรามีความต้องการอะไร ? แล้วเรามีได้ตามต้องการนั้น ป่านนี้เราชนะมารไปแล้ว ไม่ต้องเป็นผู้แพ้อย่างทุกวันนี้แน่นอน เราจะมีอะไรตามต้องการไม่ได้เด็ดขาด เพราะอะไรหรือ ? เพราะมารมันระเบิดออกไปหมด เราจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น เราจะขาดเหลือทุกอย่าง จะเปรียบเทียบกับรัฐบาลไม่ได้ รัฐบาลจะเอาอะไรก็ได้ดังใจทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ออกกฎหมายบังคับเอาได้ทั้งนั้น แต่งานปราบมารนั้น เราจะขาดเหลือทุกอย่าง เพราะมารมันระเบิดไปหมด เราอยากได้คน เราก็ไม่ได้ เราอยากได้เงินเพียง ๑๐๐ บาท รับรองว่าไม่ได้แน่นอน
ข้าพเจ้าพบเหตุการณ์อย่างนี้มาแล้ว ระหว่างที่เราทำวิชาปราบมาร จะมีเรื่องร้าวฉานมากระทบใจทุกวัน ความไม่ราบรื่นในชีวิตเกิดมีให้เราได้เห็นทุกวัน เหมือนคนมีกรรม ข้าพเจ้าได้พบเห็นมาแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะมารเขาบันดาลให้เป็นไป เพื่อให้เราแพ้เขา นั่นเอง สารพัดยากเข็ญที่เราจะได้พบในชีวิตของการปราบมาร ข้าพเจ้าปราบมารแล้ว ๑๘ ปี รู้รสชาติเป็นอันดี
กลับมาดูเรื่องของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าพูดได้ทันทีทันใดว่า ข้าพเจ้าเห็นใจหลวงพ่อ หลวงพ่อทำวิชาปราบมาร ข้าพเจ้ามีอะไร ? ข้าพเจ้ายอมยกให้ทั้งหมด จะเอาอะไรขอให้บอกคำเดียว หากข้าพเจ้ามีสิ่งนั้นๆ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธเลย เหตุใดข้าพเจ้าจึงกล่าวอย่างนี้ ? นี่คือประเด็นที่ท่านอยากทราบ การที่เรายอมให้ทุกอย่าง เป็นเพราะเราพบกับความยากในการปราบมารมาแล้ว ว่ามันยากยิ่งกว่าอะไร !?! เราลิ้มรสชาติมาแล้ว ใครทำ ได้ ? เขาผู้นั้นควรได้ทุกอย่างบรรดามีในโลกนี้ ข้าพเจ้าไม่หวงเลย ยกให้ด้วยความยินดี ส่วนเราเองนั้นไม่ขอรับอะไร ? เพราะเหตุว่าเราไม่สามารถที่จะทำงานยากๆ อย่างนั้น ใครทำได้ ? เขาผู้นั้นควรได้สมบัติทุกอย่างบรรดามีในโลกนี้ นี่คือความเห็นของข้าพเจ้า เหตุผลที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นเพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์มาแล้ว
ข้าพเจ้าสงสารหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเห็นใจความยากที่หลวงพ่อได้รับ ในสากลโลกในสากลธรรมมียากอยู่อย่างเดียวคือปราบมาร
**** เมื่อหลวงพ่อตัดสินใจปราบมารแล้ว หลวงพ่อขอร้องอะไรแก่พวกเราบ้าง ? ****
เหตุใดหลวงพ่อจึงกล่าวเช่นนั้น ? เรื่องปราบมารของหลวงพ่อนั้น เท่าที่ข้าพเจ้าติดตามมาตลอด จึงทราบว่า พอหลวงพ่อตัดสินใจจะปราบมารแล้ว ท่านก็บอกแก่ศิษย์ทั่วไปว่า ใครจะช่วยทางใดได้ ? ก็ขอให้ช่วยเถิด งานนี้เป็นงานสำคัญ หากหลวงพ่อชนะแล้ว ก็ชนะกันทั้งหมด แม้คนที่ไม่ช่วยเลยก็ชนะด้วย แม้แต่คนที่เป็นศัตรูของท่านก็ชนะด้วย แม้แต่คนที่ไม่ชอบหลวงพ่อเลยก็ชนะด้วย แม้แต่คนที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็ชนะด้วย นี่คือเนื้อความที่ข้าพเจ้าพอจำได้
เหตุใดหลวงพ่อจึงกล่าวเช่นนี้ ? เพราะว่างานปราบมารเป็นงานใหญ่ของธรรมภาคขาวทั้งปวง หากปราบมารคราวนี้ชนะ ทำให้ภาคขาวทั้งปวงชนะทั้งหมด เป็นเอกราชทั้งหมด ไม่เป็นเบี้ยล่างแก่มารอีกต่อไป เหตุผลที่หลวงพ่อบอกให้ช่วยท่าน ก็เพื่อให้กองทัพปราบมารของหลวงพ่อมีกำลัง งานปราบมารจึงจะดำเนินไปได้ หากขาดกำลังไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ของใช้ที่จำเป็นแก่การครองชีพ หากขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ งานปราบมารก็ดำเนินไปไม่ได้ จึงว่าต้องมีกำลังจึงจะทำงานได้ เพราะมารเขาจะต้องทำทุกอย่างให้เราขาดกำลัง เพื่อเราจะได้แพ้เขาในที่สุด
เมื่อหลวงพ่อบอกบุญมายังพวกเราแล้ว เพื่อให้เราช่วยท่าน เพราะท่านทำงานใหญ่ทำงานสำคัญ คืองานปราบมาร ใครที่ไปช่วยหลวงพ่อไม่ว่าจะด้วยทางใด ? เป็นบุญใหญ่เป็นบารมีใหญ่ของเขาผู้นั้น เป็นโชคดีของเขาผู้นั้นที่เกิดมาในชาตินี้ มีวาสนาบารมีได้ร่วมบารมีใหญ่บารมีสำคัญกับหลวงพ่อ ท่านใดมีเงิน ? ก็ไปจองเลี้ยงพระเณร เพราะหลวงพ่อมีพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา จำนวนมาก พร้อมด้วยคณะทำวิชาปราบมารก็มีอยู่ในจำนวนเหล่านั้นด้วย ใครมีเงิน ? ก็ช่วยทางการเงิน ใครมีสิ่งของจำเป็นแก่การดำเนินชีวิต ? ก็บริจาคสิ่งของ ใครมีปัญญา ? ก็ช่วยทางปัญญา ใครมีความรู้ ? ก็ไปช่วยกันทำวิชา ใครถนัดทางใด ? ก็ไปช่วยทางนั้น งานปราบมารของหลวงพ่อดำเนินไปแล้ว เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี แล้วหลวงพ่อของเราก็มามรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ งานปราบมารจึงมาหยุดลงในปีนั้น
**** เหตุผลที่งานหยุดชะงัก ****
เนื่องจากไม่มีผู้อำนวยการทางวิชา ไม่มีคนคุมวิชา จะต้องมีผู้รู้มีผู้กำกับ จะทำวิชากันแบบตามอำเภอใจไม่ได้ หลวงพ่อท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อขาดแม่ทัพแล้ว กองทัพก็ระส่ำระสาย ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า เมื่อไม่มีหลวงพ่อแล้ว กำลังพลรบก็ต่างคนต่างไป ไปประกอบอาชีพใหม่บ้าง ไปอยู่กับลูกหลานบ้าง ไปอยู่บ้านส่วนตัวบ้าง เพราะต้องรับผิดชอบตัวเองแล้ว หากอยู่กับหลวงพ่อ เราทำวิชาได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นใด ? เพราะหลวงพ่อท่านเลี้ยงทั้งหมด หากเปรียบเทียบกับโครงการอวกาศของฝรั่งในโลกของเรา เท่าที่เราติดตามดูข่าว เราจะพบว่า เมื่อหยุดเลิกโครงการ คนงานทั้งปวงก็ต่างคนต่างไป เขาไปหาอาชีพใหม่ บางคนไปเป็นนักร้อง บางคนไปประกอบธุรกิจ ครั้นโครงการอวกาศจะเริ่มใหม่ เรียกคนงานเหล่านั้นให้กลับมาทำงานใหม่ โดยเราจะจ่ายค่าจ้างตามเดิม คนงานทั้งปวงเขาปฏิเสธทันที เหตุผลที่คนงานปฏิเสธคืออะไร ? นี่คือประเด็นสำคัญ เขาให้เหตุผลว่าเขาทำงานดังเดิมไม่ได้แล้ว เนื่องจากความชำนาญถดถอยลงแล้ว เนื่องจากไม่ได้สืบเนื่องงานมานาน การจะฟื้นงานเก่ามาทำใหม่ ฝีมือไม่เฉียบคมเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลของเขา น่าฟังที่สุด
แต่ในงานของความรู้วิชาธรรมกาย หากเราขาดการอนุโลมปฏิโลมวิชาเพียง ๓ วันเท่านั้น เราต้องไปตั้งต้นเรียนใหม่ทั้งหมด เพราะรอยใจวิชาเดิมของเรากิเลสมันเข้ามาลบเลือนหมดแล้ว ทำวิชาให้เพี้ยน ทำวิชาให้เลือนลาง ทำวิชาให้คาบลูกคาบดอก กว่าวิชาของเราจะใช้การได้ ต้องปรับปรุงแก้ไขกันนาน นี่คือประสบการณ์ของข้าพเจ้า ตลอดชีวิตที่เราทำวิชาปราบมาร เราต้องรักษาอารมณ์ตลอดวัน ตัดงานสังคมทั้งหมด เราไม่มีพวกพ้อง เราขาดสังคม หากเราไปงานสังคม ทำให้อารมณ์เราฟุ้ง ส่งผลให้วิชาของเราไม่เดินหน้า มันยากอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่าเราทำวิชาปราบมารเหมือนคนมีกรรม ไปไหนไม่ได้ ทำอะไรเหมือนคนอื่นไม่ได้ ต้องรักษาอารมณ์ ต้องบ่มอารมณ์ตลอดชีวิตทีเดียว ได้เวลาต้องทำวิชาอย่างทันใด จะนอนหลับสบายไม่ได้ แม้ตาจะหลับ แต่ใจต้องทำงานทางวิชาทันที
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ภาพถ่ายครูสอนธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากน้ำแต่งตั้ง เมื่อปี 2497
ภาพบน แถวยืน (จากซ้ายมือ)
คุณยายเชื้อ , แม่ชีเธียร ธีรสวัสดิ์ , แม่ชีชัช , คุณนายเพี้ยน , คุณละไม , คุณสมทรง สุดสาคร , คุณครูตรีธา เนียมขำ , คุณนวรัตน์ หิรัญรักษ์ , คุณยายมณี
แถวนั่ง (จากซ้ายมือ)
แม่ชีทองสุข สำแดงปั้น , แม่ชีถนอม อาสไวย์ , คุณยายไข่ ชัยพานิช , คุณแม่ท้วม หุตานุกรม , คุณนายเลี๊ยบ สิกาญจนานันท์ (วงศ์ซุ่นใช้) , คุณแม่ส้มจีน ปุรารักษ์ , คุณยายปุก มุ้ยประเสริฐ
ไม่มีความเห็น