เป็นเพราะเหตุใดหลวงพ่อวัดปากน้ำ ไม่ทำตำราปราบมารเป็นหนังสือไว้เลย ?


คำอธิบายทั้งหมดคัดมาจากท่านอาจารย์คุณลุงการุณย์  บุญมานุช  ผู้เชี่ยวชาญวิชชาธรรมกาย  ท่านได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจ  ดังนี้

เป็นเพราะเหตุใดหลวงพ่อ ไม่ทำตำราปราบมารเป็นหนังสือไว้เลย ?

นี่คือคำถามสำคัญที่ผู้คงแก่เรียนถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ตอบแก่ผู้คงแก่เรียนว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุผล และข้าพเจ้าก็ตอบแทนหลวงพ่อไม่ได้ ท่านก็พากเพียรถามข้าพเจ้าต่อไปว่า ถ้าข้าพเจ้าตอบไม่ได้แล้วจะไปถามใคร ?

นี่คือปัญหาที่ข้าพเจ้าอยากคุยด้วย แต่ไม่ใช่ตอบปัญหา หากเป็นเพียงคุยสู่กันฟัง ข้าพเจ้าพอคุยด้วยได้ แต่ไม่ใช่การตอบคำถามของผู้ใคร่รู้ หากตกลงตามนี้ ข้าพเจ้าก็จะคุยให้ฟังดังต่อไปนี้ ขอบคุณที่ท่านไม่ถือว่าผิดหรือถูก เพราะเป็นเรื่องคุยกัน ข้าพเจ้าก็สบายใจ

ก่อนที่เราจะคุยเข้าประเด็น เราต้องมีความรู้เบื้องต้นเสียก่อน เกี่ยวกับคุณสมบัติส่วนตัวของหลวงพ่อเสียก่อน ดังนี้

๑. หลวงพ่อเป็นนักเทศน์ หลวงพ่อเป็นนักปฏิบัติ หลวงพ่อเป็นพระเคร่งวินัย การปฏิบัติของท่านหากเคลื่อนวินัยของสงฆ์นิดหนึ่ง หลวงพ่อก็ไม่ยอม จะเคร่งวินัยสงฆ์อย่างเสมอต้นเสมอปลายและปลงอาบัติทุกวัน

๒. หลวงพ่อเป็นคนจริง เมื่อจะทำอะไรแล้ว ท่านเอาชีวิตเป็นเดิมพันทั้งนั้น เช่นมีประวัติว่า นั่งหลับตาลงไปคราวนี้หากไม่เห็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงเห็นแล้ว ขอให้ตายไปเถิด มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรแก่ศาสนา เปลืองข้าวสุกชาวบ้านเปล่าๆ แล้วหลวงพ่อก็เห็นวิชาธรรมกาย นี่คือประวัติของหลวงพ่อ

๓. หลวงพ่อมีประวัติว่า บิณฑบาตแล้วไม่ได้ข้าว หลวง-พ่อก็ไม่แสวงหาอาหารอื่น ไม่ฉันอะไร มีชีวิตอยู่อย่างไม่ได้กินอะไรเลย ท่านอธิษฐานใจว่า ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเป็นผู้เคร่งวินัย หากต้องมาอดตาย ท่านขอยอมตาย วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อออกไปรับอาหารบิณฑบาตใหม่ ปรากฏว่าหลวงพ่อได้อาหาร แล้วหลวงพ่อก็ฉันอาหารนั้น และยังได้แบ่งอาหารนั้นแก่เพื่อนภิกษุอื่น นี่คือประวัติของหลวงพ่อตอนหนึ่ง

๔. หลวงพ่อมีความรู้ภาษาบาลีอย่างดี เวลาเทศน์จะอ้างคำบาลีแล้วแปลเป็นภาษาไทย ต่อไปจึงโยงเข้าเรื่องที่หลวงพ่อเทศน์ เสร็จแล้วโยงเข้าสู่การปฏิบัติวิชาธรรมกาย ตามหลักสูตรวิชาธรรมกายเบื้องต้น คือหลักสูตร ๑๘ กาย ท่านจะพบกัณฑ์เทศน์ต่างๆ จากวัดปากน้ำ ซึ่งทางวัดเก็บรักษาไว้อย่างบริบูรณ์ เป็นหลักฐานการแสดงธรรมของหลวงพ่อ เป็นไปตามแนวที่บรรยายนี้

๕. หลวงพ่อทำวิชาปราบมารโดยตั้งศิษย์ของท่านที่เป็นวิชาธรรมกายชั้นสูงเป็นหัวหน้าเวรทำวิชา มีหัวหน้าเวร ๖ ท่าน คือ คุณตรีธา เนียมขำ, คุณฉลวย สมบัติสุข, แม่ชีญาณี ศิริโวหาร, แม่ชีถนอม อาสไวย์, แม่ชีปุก มุ้ยประเสริฐ, แม่ชีชั้น จอมทอง หัวหน้าเวร รองหัวหน้าเวรและลูกเวรแต่ละเวรทำวิชาเวรละ ๔ ชั่วโมง ดังนั้น ตลอด ๒๔ ชั่วโมงมีการทำวิชาปราบมารติดต่อกัน เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี

๖. พระเณรที่อยู่ในความรับผิดชอบของหลวงพ่อมีจำนวน ๑,๐๐๐ รูปขึ้นไป การจัดการศึกษาของสงฆ์นั้น หลวงพ่อจัดให้ครบทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระที่วัดปากน้ำ คือการศึกษานักธรรม การศึกษาภาษาบาลีและวิปัสสนากัมมัฏฐาน จำนวนอุบาสกอุบาสิกาที่อยู่วัดปากน้ำสมัยนั้น ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง รู้แต่ว่าจำนวนมาก นี่คือสมาชิกมากมายที่หลวงพ่อรับผิดชอบในการจัดการศึกษา การจัดที่อยู่อาศัย การจัดโรงครัว การจัดยารักษาโรค การจัดระบบการปกครอง เนื่องจากมีสมาชิกจำนวนมาก เพื่อให้การอยู่ร่วมกันเป็นปกติสุข


****    เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นแก่หลวงพ่อ    ****

หลังจากที่ตัดสินใจทำวิชาปราบมารแล้ว หลวงพ่อตั้งเวรทำวิชาปราบมาร โดยตั้งเวรทำวิชา ๖ เวรๆ ละ ๔ ชั่วโมง รวมความว่า ทำวิชาปราบมารตลอด ๒๔ ชั่วโมงทีเดียว บัดนี้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าจะนำมาตอบคำถามต่อไป นั่นคือมารเขาเข้าทรงมาสู้หลวงพ่อถึงวัด ต้องสู้กันทางวิชา ดังเรื่องราวที่จะเล่าให้ทราบต่อไปนี้

แม่ชีถนอม อาสไวย์ ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เป็นเหตุการณ์ตั้งแต่ปีใดก็จำไม่ได้ ? วันนั้นหลวงพ่อขึ้นศาลาการเปรียญเพื่อเทศน์ตามปกติของหลวงพ่อ หลวงพ่อนั่งอยู่บนธรรมาสน์เพื่อจะเทศน์ ปรากฏว่ามีคนจีนคณะหนึ่งเดินทางมาพบหลวงพ่อ เขาเข้าทรงมาแล้ว คนหัวหน้าใส่หมวกเจ๊ก เขาเข้ามาหาหลวงพ่อ ถามหลวงพ่อว่า จะให้เขานั่งตรงไหน ? หลวงพ่อตอบว่าเลือกเอา เพียงเท่านั้นเอง หัวหน้าของเขาขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เคียงหลวงพ่อทันที หลวงพ่อกระซิบกับไวยาวัจกรว่า ให้ไปตามพวกเราในโรงงานทำวิชาของเรามาให้หมด วันนี้มารเขาขนกำลังมาสู้กับเรา (โยมประยูร สุนทรา เป็นไวยาวัจกร)

คณะทำวิชามาถึงศาลาแล้ว เห็นเหตุการณ์แล้วว่ามารเขาขนกำลังมาสู้หลวงพ่อ จึงทำวิชาสู้กันทันที แต่พวกเราไม่ได้นั่งสมาธิ เพียงแต่ยืนเดินวิชา ทำให้วิชาไม่ละเอียดเพียงพอ

กล่าวถึงคนสำคัญท่านหนึ่ง คือแม่ชีถนอม อาสไวย์ ท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พอฉันเห็นคนที่เป็นหัวหน้านั่งประจันหน้ากับหลวงพ่อ ฉันก็จำรูปร่างของเขาได้ ฉันรีบนั่งหลับตาเข้าสมาธิทำวิชาทันใด ละลายและระเบิดสถานเดียว เข้านิพพานได้แล้วไม่ฟังเสียงอะไรอีกแล้ว ข้าละลายเจ้าสถานเดียว เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ตัวหัวหน้าที่นั่งบนธรรมาสน์ชี้มือมาที่แม่ชีถนอม อาสไวย์ แล้วพูดว่า "ทั้งหมดนี้ มีจริงอยู่คนเดียว คือแม่ชีคนนี้" เขากล่าวจบลง เขาก็พาพรรคพวกเขากลับไป แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่าวันหลังจะมาสู้ใหม่

เมื่อพวกมารเขากลับไปแล้ว หลวงพ่อพูดกับคณะทำวิชาว่า วันนี้วิชาไม่ละเอียด เพราะพวกเราลืมตาทำวิชา ไม่นั่งหลับตา ไม่รู้ที่เป็นที่ตายหรืออย่างไร ? เดินวิชาอย่างนั้นเป็นการประมาทรู้ไหม ? มารมันเอาวัดของเราไปทิ้งทะเลก็ได้ ดีแต่ว่าหนอมช่วยไว้ได้ ถ้าไม่ได้หนอม วันนี้เราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น แล้วก็กล่าวต่อไปว่า "หนอม...เอ็งน่ะคุ้มข้าวสุกวัดแล้ว" นี่คือคำกล่าวของหลวง-พ่อ (หลวงพ่อเรียกแม่ชีถนอม อาสไวย์ ย่อๆ ว่า "หนอม" ท่านไม่เรียกว่าถนอม)

เหตุการณ์ครั้งนี้เราได้ความรู้สำคัญ คือหลวงพ่อท่านบอกว่า มารมันมีอานุภาพถึงกับเอาวัดไปทิ้งทะเลได้ คือมารมันทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น อย่างพวกเราที่เป็นมนุษย์ มารเขาทำให้เราแก่-เจ็บ-ตาย ก็ได้ ทำให้แตกแยกกันก็ได้ เช่น เกาหลี เวียดนาม เยอรมัน มารเขาก็ทำให้เป็น ๒ ประเทศได้ นิกายของสงฆ์มารเขาก็ทำให้เป็น ๒ นิกายได้ สรุปแล้วมารทำได้ทั้งนั้น

คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนตอบปัญหา ท่านถามข้าพเจ้าว่า ทำไมหลวงพ่อไม่ทำตำราปราบมารไว้ ? เรายังคุยกันถึงเรื่องนั้นยังไม่ได้ ต้องรอให้ความรู้ของเราเป็นไปตามลำดับเสียก่อน อย่าข้ามขั้นตอนประการแรกเราต้องทราบก่อนว่า สมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อเผยแพร่วิชาธรรมกายได้กี่หลักสูตร ? คือตำราเล่มใดบ้าง ?


ก. สมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่เผยแพร่ได้เพียง ๒ หลักสูตร ดังนี้

(๑.) วิชาธรรมกายเบื้องต้นชื่อ "ทางมรรคผล" คือเล่ม ๑๘ กาย ปกเป็นภาพ ๑๘ กาย เล่มนี้ทางวัดปากน้ำแจกเป็นธรรมทานมานานแล้ว

(๒.) วิชาธรรมกายหลักสูตรระดับกลางชื่อ "คู่มือสมภาร" พิมพ์ถวายสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๒ พิมพ์ในนามคุณฉลวย สัมบัติสุข มีความรู้รวมแล้ว ๑๕ บท หากรวมภาคผู้เลี้ยงด้วยจะมี ๓๐ บท


ข. หลักสูตรระดับยากเผยแพร่เมื่อหลวงพ่อมรณภาพแล้ว มี ๒ หลักสูตร ดังนี้

(๑.) วิชาธรรมกายหลักสูตรระดับยากชื่อ "วิชชามรรคผลพิสดารภาค ๑" ทางวัดปากน้ำพิมพ์เมื่อปี ๒๕๑๗ มีความรู้ ๔๖ บทเรียน ตามประวัติกล่าวว่าพระมหาจัน (เปรียญ ๕ ประโยค) จดบันทึกไว้แต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จดไว้ตั้งแต่ครั้งนั้น แต่ยังไม่ได้เผยแพร่

(๒.) วิชาธรรมกายระดับยากมากชื่อ "วิชชามรรคผลพิสดาร ๒" ทางวัดปากน้ำพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ โดยท่านเจ้าคุณภาวนา- โกศลเถร (อาจารย์วีระ คณุตฺตโม อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา) เป็นผู้จดรวบรวมความรู้ไว้

เราต้องทราบว่า หลวงพ่อมรณภาพเมื่อปี ๒๕๐๒ แต่ตำราวิชชามรรคผลพิสดารภาค ๑ พิมพ์เมื่อปี ๒๕๑๗ และวิชชามรรคผลพิสดารภาค ๒ พิมพ์เมื่อปี ๒๕๑๙ แปลว่าหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วจึงพิมพ์ตำราได้


****    ทำไมหลวงพ่อจึงไม่ทำตำราวิชาปราบมารไว้ ?   ****

นี่คือคำถามที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้าตอบ เราทราบแล้วว่า สมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ เผยแพร่วิชาธรรม- กายได้ ๒ หลักสูตรเท่านั้น คือวิชาธรรมกายเบื้องต้นได้แก่ เล่มทางมรรคผลคือเล่มปกมีภาพ ๑๘ กาย และวิชาธรรมกายระดับกลาง ได้แก่เล่มคู่มือสมภาร ปกเป็นภาพพระพุทธรูปมีรัศมี เขียนบรรยายใต้พระพุทธรูปมีรัศมีว่า "นี่คือธรรมกาย"

เราทราบแล้วว่า เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้ว ความรู้วิชาธรรมกายระดับยากและระดับยากมาก ทางวัดปากน้ำพิมพ์อีก ๒ หลักสูตร คือวิชชามรรคผลพิสดาร ๑ และวิชชามรรคผลพิสดาร ๒

ตำราสำคัญสุดยอดไม่ได้ทำไว้ นั่นคือ "วิชาปราบมาร" เหตุใดหลวงพ่อไม่ทำตำราไว้ ? นี่คือคำถามที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้าตอบ เนื่องจากเกิดความเสียหายมากมาย เพราะนักปราชญ์รุ่นหลังไม่มีโอกาสได้เรียนรู้โดยเหตุที่ไม่มีตำรา ความรู้หรือวิชาปราบมารนั้น เป็นความรู้พิเศษ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าภาคปราบ ไม่ใช่ความรู้ของพระพุทธเจ้าภาคโปรด เราต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าภาคปราบกับภาคโปรดนั้นมีความรู้ต่างกัน สร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าภาคปราบนั้นหายากแสนเข็ญทีเดียว แต่พระพุทธเจ้าภาคโปรดมีมาก พระพุทธเจ้าภาคโปรดนั้น ทรงมีความรู้ทางสอนศาสนา แต่พระพุทธเจ้าภาคปราบทรงมีความรู้ในทางรบทัพจับศึก หรือเรียกว่าวิชารบ หรือเรียกว่าความรู้พิชัยสงคราม ตามความรู้ของวิชาธรรมกายท่านเรียกว่า วิชาอาสวักขยญาณ หรือวิชาอาสวักขยญาณใหญ่

หลวงพ่อท่านสอนวิชารบให้แก่ผู้เป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง โดยเฉพาะหัวหน้าเวรและพลรบที่ทำวิชาปราบมาร ท่านเหล่านั้นจะเข้าใจเนื้อหาของวิชาเป็นอันดี ครั้นมาถึงขั้นตอนที่หลวงพ่อมรณภาพแล้ว ศิษย์ผู้คงแก่เรียนเหล่านั้นต่างก็ออกไปจากวัดปากน้ำ คือต่างคนต่างไป ไปอยู่กับลูกบ้าง ไปประกอบอาชีพใหม่บ้าง เพราะขาดผู้นำทัพแล้ว ไม่มีใครสามารถที่จะควบคุมได้ เขาเหล่านั้นก็ไปกันคนละทางสองทาง หากหลวงพ่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านให้ความอุปการะทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่จัดที่อยู่อาศัย อาหารการกิน ยารักษาโรค ให้การศึกษาเล่าเรียนวิชาธรรมกาย ท่านผู้อื่นไม่มีใครสามารถอย่างหลวงพ่อ ท่านเหล่านั้นก็ต้องไป แต่บางท่านยังถือเพศนักบวชอยู่คือบวชเป็นแม่ชี แต่ไม่มีใครเขียนตำราเลย เพราะการเขียนตำราทำยาก

 

****    กล่าวถึงวิชารบเบื้องต้น    ****

ข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือชื่อ "ยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ของการสะสางธาตุธรรมชั้นสูง" ซึ่งท่านเจ้าคุณภาวนาโกศลเถร (อาจารย์วีระ คณุตฺตโม) เป็นผู้จัดพิมพ์ บอกว่าเป็นความรู้ที่คุณฉลวย สมบัติสุข ถ่ายทอดไว้ กล่าวถึงการส่งวิชาของมารว่ามารเขาส่งวิชามาอย่างไร ? มารเขาส่งวิชาปกครองมีกี่ขั้นตอน ? มารปกครองพวกเรานั้น มารเขาทำวิชาอย่างไร ? และตำรายังได้อธิบายถึงวิธีแก้วิชาของมารว่ามีวิธีแก้อย่างไร ?

ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นตำราสำคัญ แต่ว่าตำราปราบมารไม่มีแค่นี้ เหตุใดไม่ทำตำราไว้ ? ควรทำไว้ให้ครบหลักสูตรเพื่อผู้มีบารมีธรรมรุ่นหลังจะได้มีตำราศึกษาค้นคว้า การไม่มีตำราสำคัญเป็นความเสียหายมาก เพราะส่งผลให้โพธิสัตว์ยุคปัจจุบันไม่มีตำราศึกษาเล่าเรียน ความรู้อย่างนั้นไปหาที่ใดในโลกไม่มีอีกแล้ว ? มีแต่หลวงพ่อผู้เดียวเท่านั้นที่มีความรู้เช่นนี้ เหตุใดหลวงพ่อไม่ทำตำราไว้ ? นี่คือคำถาม ข้าพเจ้าจะตอบให้ทราบดังนี้

->> ขึ้นชื่อว่าความรู้วิชาธรรมกาย มารเขาหวงและปกป้องและหวงแหนสุดชีวิตทีเดียว เพราะอะไรหรือ ? ตอบว่า วิชาธรรมกายเป็นสื่อให้ไปรู้เห็นได้ทั้งนั้น การยอมให้มีการเปิดเผยวิชาธรรม-กาย ก็เท่ากับยอมให้ภาคขาวไปรู้กำพืดของภาคมาร มารเขาจึงไม่ยอม ไม่ยอมให้เราไปรู้เห็นกำลังของเขา ไปรู้เห็นวิชาของเขา ไปรู้วิชาปกครองของเขา ไปรู้วิธีหากินของเขา

->>  เปรียบแล้วมารก็เหมือนเสือหรือสิงโต มนุษย์คือพวกเรานี้ ก็เหมือนฝูงกวางป่า เก้งป่า ม้าลาย พอได้เวลาเสือสิงโตก็มาล่าไปกิน มนุษย์เป็นอาหารของเขา เขามาระเบิดดวงบารมีไปหมด แม้แต่พระพุทธเจ้าในนิพพาน มารยังไปยึดอำนาจปกครอง มารยังไประเบิดเอาดวงบารมีไป มารยังเข้าบังคับลงโทษนานาประการ ดังที่ข้าพเจ้าได้รายงานไปแล้วในหนังสือปราบมารภาคต่างๆ

->> กล่าวถึงตำราปราบมาร มารไม่ยอมให้หลวงพ่อเผยแพร่ หมายถึงว่าเป็นการแย่งอำนาจปกครองของเขาทีเดียว เวลาที่หลวงพ่อจะคิดเผยแพร่ จะปรากฏว่ามีอุปสรรคนานาประการ เสร็จปัญหานี้ขึ้นปัญหาโน้น เป็นเช่นนี้เรื่อยไป ในที่สุดหลวงพ่อก็พิมพ์ตำราออกมาไม่ได้ จงดูตัวอย่างวิชาธรรม-กายระดับยาก คือวิชชามรรคผลพิสดาร ๑ เราจะพบว่า พระมหาจันจดบันทึกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ แต่วัดปากน้ำพิมพ์ได้ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หลวงพ่อของเรามรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ แปลว่าหลวงพ่อของเราตายไปนานแล้ว แต่ตำราเพิ่งพิมพ์ได้ และวิชาธรรมกายหลักสูตรยากมากคือวิชชามรรคผลพิสดาร ๒ ทางวัดปากน้ำเพิ่งพิมพ์ได้ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้น

นี่คือหลักฐานที่นำมาอ้างอิงคำตอบ ตำราธรรมดายังเป็นถึงปานนี้ แล้วตำราปราบมารจะขนาดไหน ? นี่คือข้อคิดที่ทุกท่านต้องตีให้แตก แต่ว่าเหตุผลอันแท้จริงคืออะไร ? นี่คือประเด็นที่ท่านอยากให้ข้าพเจ้ากล่าว

->> ในวันที่พวกคนจีนเข้าทรงมาสู้กับหลวงพ่อ ตามที่ข้าพเจ้านำมาเล่าไว้แล้วนั้น เป็นข้อมูลสำคัญ หากมารไม่ชอบใจขึ้นมา มันเอาวัดปากน้ำไปทิ้งทะเลได้ หลวงพ่อก็บอกแก่เราแล้วว่า มารมีอานุภาพปานนั้นทีเดียว แล้วหลวงพ่อมีพระเณรอยู่ในวัดถึง ๑,๐๐๐ รูป หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น หลวงพ่อจะเอาพระเณรจำนวนมหาศาลเหล่านี้ไปพักพิงที่ไหน ? นี่คือความคิดของหลวงพ่อ ท่านต้องคิดอย่างนี้ ดังนั้น หลวงพ่อจะทำอะไรก็ทำเท่าที่ทำได้ ทำแต่สิ่งที่มารเขาไม่ขัดขวาง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุด ท่านกล่าวแย้งว่า ก็เมื่อกลัวมารแล้วจะมาตั้งเวรทำวิชาปราบมารทำไม ? นั่นเป็นการรบกับมารเขาแล้ว จริงอยู่เราทำวิชาปราบมาร เป็นการรบกับมารแล้ว แต่การรบยังไม่ถึงขั้นยึดอำนาจปกครองได้ เพียงแต่เป็นการรบแบบป้องกันตัวเท่านั้น เพราะความรู้การรบในสมัยนั้น ยังไม่ถึงขั้นดุเดือดเลือดพล่าน

->> สรุปแล้ว กว่าข้าพเจ้าจะตอบคำถามว่า เหตุใดหลวงพ่อไม่ทำตำราปราบมารไว้ ? ข้าพเจ้าต้องบรรยายข้อมูลหลายอย่าง ดังที่เราอ่านผ่านมานั้น คราวนี้มาถึงคำถามที่ท่านสมาชิกหลายท่านถามข้าพเจ้า จะให้ข้าพเจ้าตอบ คำถามมีว่า เหตุใดหลวงพ่อใช้เวลาตัดสินใจยาวนานถึง ๘ ปี ว่าจะลงมือทำวิชาปราบมารหรือไม่ ?
****  เหตุใดหลวงพ่อจึงใช้เวลาใคร่ครวญถึง ๘ ปี ว่าจะทำวิชาปราบมารหรือไม่ ?  ****

ครั้งนั้น ข้าพเจ้ายังเป็นข้าราชการครูหนุ่มๆ ยังไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา ยังไม่เป็นวิชา แม้จะเรียนวิชาธรรมกายแล้ว แต่ยังไม่ได้ความอะไร ? ผู้เล่าให้ข้าพเจ้าทราบเรื่องราวการปราบมารของหลวงพ่อคือหลวงปู่ชั้ว โอภาโส พระสงฆ์ผู้เคร่งวินัย เป็นพระมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นคนบ้านเดียวกับหลวงพ่อ เป็นญาติของหลวงพ่อ มีอายุมากกว่าหลวงพ่อ ท่านมาเรียนวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อ โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดปากน้ำ

หลวงปู่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หลวงพ่อคิดจะทำวิชาปราบมารนั้น ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ ๘ ปี ว่าจะทำวิชาปราบมารดีหรือไม่ทำดี ? ใช้เวลาคิดอยู่ ๘ ปี แต่พอตกลงใจว่าจะทำแล้ว มารเขาก็มาต่อรองทันที มารเขามีกายดำ เขามาหาหลวงพ่อ มาต่อรองว่า หลวง-พ่อไม่ทำวิชาปราบมารได้ไหม ? ถ้า หลวงพ่อรับคำว่าไม่ทำ ! มารเขาอาสาว่าจะให้คนสำคัญของแผ่นดินมาปฏิบัติรับใช้ที่กุฏิ ๗ วัน หลวงปู่ถามหลวงพ่อว่าแล้วหลวงพ่อให้คำตอบแก่มารไปอย่างไร ? หลวงพ่อตอบว่าไม่ได้ให้คำตอบอะไร ? แล้วยังพูดกับหลวงปู่ว่าเราจะทำเหมือนหนูเห็นข้าวสารได้อย่างไร ? นี่คือเรื่องราวก่อนที่หลวงพ่อจะทำวิชาปราบมาร ซึ่งข้าพเจ้าจำได้

คราวนี้ก็มาถึงประเด็นที่ข้าพเจ้าจะตอบว่า เหตุใดหลวงพ่อใช้เวลาคิดนานถึง ๘ ปีว่าจะทำวิชาปราบมารดีหรือไม่ทำดี ?

การที่หลวงพ่อต้องครุ่นคิด เพราะเมื่อหลวงพ่อเข้านิพพานไปแล้ว ธาตุธรรมผู้ใหญ่ในนิพพานบอกแก่หลวงพ่อว่าที่ให้หลวงพ่อมาเกิดคราวนี้ ก็เพื่อให้มาทำวิชาปราบมาร ไม่ใช่ให้มาเป็นใหญ่เป็นโตอะไรเนื้อหาสาระของเรื่องก็คือนิพพานท่านใช้ให้มาปราบมาร หลวงพ่อ รับทราบ แล้วหลวงพ่อก็คิดมาก

คิดมาก คือคิดอะไร ? วิชาปราบมารหลวงพ่อเข้าถึงแล้วเห็นแล้วเข้าใจแล้ว แต่ว่าการเดินวิชารบกับมารนั้น ไม่ง่าย ! ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ถ้าจะรบกับมารต้องมีพลรบคือมีคนเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูงจำนวนหนึ่ง เหมือนการรบในโลก หากไม่มีกองทัพ แล้วเราจะเอาอะไรไปรบ ต้องมีงบประมาณสนับสนุนกองทัพ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ มีความรู้ทันสมัยเพื่อใช้ในการรบ มีผู้อำนวยการรบ มีแม่ทัพ มีเสนาธิการ นี่คือการรบในโลกที่เราทราบ แม้การรบในธาตุในธรรมก็ต้องมีอย่างนั้น หากไม่อย่างนั้นก็รบไม่ได้ นี่คือความต้องการของหลวงพ่อ หลวงพ่อมีพลรบแล้วหรือยัง ? พลรบจะได้จากไหน ? เขาเป็นวิชาแค่ไหน ? เขามีที่อยู่ที่อาศัยหรือไม่ ? มีที่กินที่ใช้แล้วหรือยัง ? มียารักษาโรคให้เขาบ้างไหม ? ใครเป็นแม่ทัพ ? ใครเป็นผู้อำนวยการทางวิชา ?

หลวงพ่อคิดแล้ว หลวงพ่อก็ตอบแก่ตัวเองไม่ได้ แม้แต่รัฐบาลเองมีกฎหมายบังคับให้ประชาชนมาเป็นทหาร ยังเอางานไม่ได้ เราเป็นนักบวชซึ่งไม่มีอะไรในมือเลย แล้วจะทำวิชาปราบมารได้อย่างไร ? นี่คือประเด็นแรก ประเด็นสำคัญต่อมา งานปราบมารที่จะมีขึ้น ใครจะแพ้ใครจะชนะ ? เราต้องเรียนก่อน รบแพ้แล้วผลที่ตามมาคืออะไร ? หากเราชนะก็ไม่มีปัญหาอะไร ? ความรู้ที่จะใช้ในการปราบมารนั้น ไม่ใช่ความรู้ที่ใครจะรู้ได้ง่าย เรามีผู้รู้ระดับเสนาธิการแล้วหรือยัง ? หลวงพ่อท่านคิดไม่ตก ธาตุธรรมท่านก็เตือนทุกวัน ว่าทำวิชาปราบมารได้แล้ว การสั่งการนั้นทำง่าย แต่ผู้ปฏิบัติพร้อมที่จะทำงานแล้วหรือยัง ? ข้าพเจ้าพบมาแล้วมีประสบการณ์มาแล้วเป็นอันดี ไม่มีอะไรง่ายเลย มารมันจะยอมให้เรามีความพร้อมตามที่เราต้องการนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากเรามีความต้องการอะไร ? แล้วเรามีได้ตามต้องการนั้น ป่านนี้เราชนะมารไปแล้ว ไม่ต้องเป็นผู้แพ้อย่างทุกวันนี้แน่นอน เราจะมีอะไรตามต้องการไม่ได้เด็ดขาด เพราะอะไรหรือ ? เพราะมารมันระเบิดออกไปหมด เราจะไม่ได้อะไรทั้งนั้น เราจะขาดเหลือทุกอย่าง จะเปรียบเทียบกับรัฐบาลไม่ได้ รัฐบาลจะเอาอะไรก็ได้ดังใจทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ออกกฎหมายบังคับเอาได้ทั้งนั้น แต่งานปราบมารนั้น เราจะขาดเหลือทุกอย่าง เพราะมารมันระเบิดไปหมด เราอยากได้คน เราก็ไม่ได้ เราอยากได้เงินเพียง ๑๐๐ บาท รับรองว่าไม่ได้แน่นอน

ข้าพเจ้าพบเหตุการณ์อย่างนี้มาแล้ว ระหว่างที่เราทำวิชาปราบมาร จะมีเรื่องร้าวฉานมากระทบใจทุกวัน ความไม่ราบรื่นในชีวิตเกิดมีให้เราได้เห็นทุกวัน เหมือนคนมีกรรม ข้าพเจ้าได้พบเห็นมาแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะมารเขาบันดาลให้เป็นไป เพื่อให้เราแพ้เขา นั่นเอง สารพัดยากเข็ญที่เราจะได้พบในชีวิตของการปราบมาร ข้าพเจ้าปราบมารแล้ว ๑๘ ปี รู้รสชาติเป็นอันดี

กลับมาดูเรื่องของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าพูดได้ทันทีทันใดว่า ข้าพเจ้าเห็นใจหลวงพ่อ หลวงพ่อทำวิชาปราบมาร ข้าพเจ้ามีอะไร ? ข้าพเจ้ายอมยกให้ทั้งหมด จะเอาอะไรขอให้บอกคำเดียว หากข้าพเจ้ามีสิ่งนั้นๆ ข้าพเจ้าจะไม่ปฏิเสธเลย เหตุใดข้าพเจ้าจึงกล่าวอย่างนี้ ? นี่คือประเด็นที่ท่านอยากทราบ การที่เรายอมให้ทุกอย่าง เป็นเพราะเราพบกับความยากในการปราบมารมาแล้ว ว่ามันยากยิ่งกว่าอะไร !?! เราลิ้มรสชาติมาแล้ว ใครทำ ได้ ? เขาผู้นั้นควรได้ทุกอย่างบรรดามีในโลกนี้ ข้าพเจ้าไม่หวงเลย ยกให้ด้วยความยินดี ส่วนเราเองนั้นไม่ขอรับอะไร ? เพราะเหตุว่าเราไม่สามารถที่จะทำงานยากๆ อย่างนั้น ใครทำได้ ? เขาผู้นั้นควรได้สมบัติทุกอย่างบรรดามีในโลกนี้ นี่คือความเห็นของข้าพเจ้า เหตุผลที่ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นเพราะข้าพเจ้ามีประสบการณ์มาแล้ว

ข้าพเจ้าสงสารหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเห็นใจความยากที่หลวงพ่อได้รับ ในสากลโลกในสากลธรรมมียากอยู่อย่างเดียวคือปราบมาร

****  เมื่อหลวงพ่อตัดสินใจปราบมารแล้ว หลวงพ่อขอร้องอะไรแก่พวกเราบ้าง ?  ****

เหตุใดหลวงพ่อจึงกล่าวเช่นนั้น ? เรื่องปราบมารของหลวงพ่อนั้น เท่าที่ข้าพเจ้าติดตามมาตลอด จึงทราบว่า พอหลวงพ่อตัดสินใจจะปราบมารแล้ว ท่านก็บอกแก่ศิษย์ทั่วไปว่า ใครจะช่วยทางใดได้ ? ก็ขอให้ช่วยเถิด งานนี้เป็นงานสำคัญ หากหลวงพ่อชนะแล้ว ก็ชนะกันทั้งหมด แม้คนที่ไม่ช่วยเลยก็ชนะด้วย แม้แต่คนที่เป็นศัตรูของท่านก็ชนะด้วย แม้แต่คนที่ไม่ชอบหลวงพ่อเลยก็ชนะด้วย แม้แต่คนที่อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็ชนะด้วย นี่คือเนื้อความที่ข้าพเจ้าพอจำได้

เหตุใดหลวงพ่อจึงกล่าวเช่นนี้ ? เพราะว่างานปราบมารเป็นงานใหญ่ของธรรมภาคขาวทั้งปวง หากปราบมารคราวนี้ชนะ ทำให้ภาคขาวทั้งปวงชนะทั้งหมด เป็นเอกราชทั้งหมด ไม่เป็นเบี้ยล่างแก่มารอีกต่อไป เหตุผลที่หลวงพ่อบอกให้ช่วยท่าน ก็เพื่อให้กองทัพปราบมารของหลวงพ่อมีกำลัง งานปราบมารจึงจะดำเนินไปได้ หากขาดกำลังไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ของใช้ที่จำเป็นแก่การครองชีพ หากขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ งานปราบมารก็ดำเนินไปไม่ได้ จึงว่าต้องมีกำลังจึงจะทำงานได้ เพราะมารเขาจะต้องทำทุกอย่างให้เราขาดกำลัง เพื่อเราจะได้แพ้เขาในที่สุด

เมื่อหลวงพ่อบอกบุญมายังพวกเราแล้ว เพื่อให้เราช่วยท่าน เพราะท่านทำงานใหญ่ทำงานสำคัญ คืองานปราบมาร ใครที่ไปช่วยหลวงพ่อไม่ว่าจะด้วยทางใด ? เป็นบุญใหญ่เป็นบารมีใหญ่ของเขาผู้นั้น เป็นโชคดีของเขาผู้นั้นที่เกิดมาในชาตินี้ มีวาสนาบารมีได้ร่วมบารมีใหญ่บารมีสำคัญกับหลวงพ่อ ท่านใดมีเงิน ? ก็ไปจองเลี้ยงพระเณร เพราะหลวงพ่อมีพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา จำนวนมาก พร้อมด้วยคณะทำวิชาปราบมารก็มีอยู่ในจำนวนเหล่านั้นด้วย ใครมีเงิน ? ก็ช่วยทางการเงิน ใครมีสิ่งของจำเป็นแก่การดำเนินชีวิต ? ก็บริจาคสิ่งของ ใครมีปัญญา ? ก็ช่วยทางปัญญา ใครมีความรู้ ? ก็ไปช่วยกันทำวิชา ใครถนัดทางใด ? ก็ไปช่วยทางนั้น งานปราบมารของหลวงพ่อดำเนินไปแล้ว เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปี แล้วหลวงพ่อของเราก็มามรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ งานปราบมารจึงมาหยุดลงในปีนั้น

****    เหตุผลที่งานหยุดชะงัก    ****

เนื่องจากไม่มีผู้อำนวยการทางวิชา ไม่มีคนคุมวิชา จะต้องมีผู้รู้มีผู้กำกับ จะทำวิชากันแบบตามอำเภอใจไม่ได้ หลวงพ่อท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อขาดแม่ทัพแล้ว กองทัพก็ระส่ำระสาย ข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า เมื่อไม่มีหลวงพ่อแล้ว กำลังพลรบก็ต่างคนต่างไป ไปประกอบอาชีพใหม่บ้าง ไปอยู่กับลูกหลานบ้าง ไปอยู่บ้านส่วนตัวบ้าง เพราะต้องรับผิดชอบตัวเองแล้ว หากอยู่กับหลวงพ่อ เราทำวิชาได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นใด ? เพราะหลวงพ่อท่านเลี้ยงทั้งหมด หากเปรียบเทียบกับโครงการอวกาศของฝรั่งในโลกของเรา เท่าที่เราติดตามดูข่าว เราจะพบว่า เมื่อหยุดเลิกโครงการ คนงานทั้งปวงก็ต่างคนต่างไป เขาไปหาอาชีพใหม่ บางคนไปเป็นนักร้อง บางคนไปประกอบธุรกิจ ครั้นโครงการอวกาศจะเริ่มใหม่ เรียกคนงานเหล่านั้นให้กลับมาทำงานใหม่ โดยเราจะจ่ายค่าจ้างตามเดิม คนงานทั้งปวงเขาปฏิเสธทันที เหตุผลที่คนงานปฏิเสธคืออะไร ? นี่คือประเด็นสำคัญ เขาให้เหตุผลว่าเขาทำงานดังเดิมไม่ได้แล้ว เนื่องจากความชำนาญถดถอยลงแล้ว เนื่องจากไม่ได้สืบเนื่องงานมานาน การจะฟื้นงานเก่ามาทำใหม่ ฝีมือไม่เฉียบคมเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลของเขา น่าฟังที่สุด

แต่ในงานของความรู้วิชาธรรมกาย หากเราขาดการอนุโลมปฏิโลมวิชาเพียง ๓ วันเท่านั้น เราต้องไปตั้งต้นเรียนใหม่ทั้งหมด เพราะรอยใจวิชาเดิมของเรากิเลสมันเข้ามาลบเลือนหมดแล้ว ทำวิชาให้เพี้ยน ทำวิชาให้เลือนลาง ทำวิชาให้คาบลูกคาบดอก กว่าวิชาของเราจะใช้การได้ ต้องปรับปรุงแก้ไขกันนาน นี่คือประสบการณ์ของข้าพเจ้า ตลอดชีวิตที่เราทำวิชาปราบมาร เราต้องรักษาอารมณ์ตลอดวัน ตัดงานสังคมทั้งหมด เราไม่มีพวกพ้อง เราขาดสังคม หากเราไปงานสังคม ทำให้อารมณ์เราฟุ้ง ส่งผลให้วิชาของเราไม่เดินหน้า มันยากอย่างนี้ ข้าพเจ้าจึงบอกว่าเราทำวิชาปราบมารเหมือนคนมีกรรม ไปไหนไม่ได้ ทำอะไรเหมือนคนอื่นไม่ได้ ต้องรักษาอารมณ์ ต้องบ่มอารมณ์ตลอดชีวิตทีเดียว ได้เวลาต้องทำวิชาอย่างทันใด จะนอนหลับสบายไม่ได้ แม้ตาจะหลับ แต่ใจต้องทำงานทางวิชาทันที

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ภาพถ่ายครูสอนธรรมกายที่หลวงพ่อวัดปากน้ำแต่งตั้ง เมื่อปี 2497


ภาพบน  แถวยืน  (จากซ้ายมือ)
คุณยายเชื้อ , แม่ชีเธียร  ธีรสวัสดิ์ , แม่ชีชัช , คุณนายเพี้ยน , คุณละไม , คุณสมทรง  สุดสาคร , คุณครูตรีธา  เนียมขำ , คุณนวรัตน์  หิรัญรักษ์ , คุณยายมณี

แถวนั่ง  (จากซ้ายมือ)
แม่ชีทองสุข  สำแดงปั้น , แม่ชีถนอม  อาสไวย์ , คุณยายไข่  ชัยพานิช , คุณแม่ท้วม  หุตานุกรม , คุณนายเลี๊ยบ  สิกาญจนานันท์ (วงศ์ซุ่นใช้) , คุณแม่ส้มจีน  ปุรารักษ์ , คุณยายปุก  มุ้ยประเสริฐ


หมายเลขบันทึก: 215542เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2008 15:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท