ปฏิจจสมุปบาทกับการเป็นมัชฌิมาปฏิปทา
คุณลักษณะพิเศษประการหนึ่งของพุทธศาสนา คือ การดำรงอยู่ในหลักแห่งมัชฌิมาปฏิปทา ดังที่ได้กล่าวแล้ว ด้วยหลักปฏิจจสมุปบาทนี้. พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงถึงความเป็นมัชฌิมาปฏิปทา.
มีข้อความในนิทานวรรคสังยุคที่แสดงให้เห็นว่า ด้วยหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ทำให้ดำรงเป็นมัชฌิมาปฏิปทาอย่างไร.ข้อความมีว่า
ดูกรพราหมณ์ โวหารที่ว่า คนนั้นย่อมได้รับผลเอง นี้เป็นส่วนสุด
อันหนึ่ง....ดูก่อนพราหมณ์ โวหารที่ว่าคนอื่นทำเหตุ คนอื่นย่อมได้รับผล นี้เป็น
ส่วนสุดอันที่สองดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่ข้องแวะ
ส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร....ความดับแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
หรือที่ตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์ โวหารที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่นี้เป็นสุดอันที่หนึ่ง...........
ดูก่อนพราหมณ์โวหารที่ว่าสิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่นี้เป็นส่วนสุดอันที่สอง ดูก่อนพราหมณ์
ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร.....ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
และที่ตรัสไว้ว่า
ดูก่อนพราหมณ์ข้อที่ว่าสิ่งทั้งปวงมี นี้เป็นทิฏฐิว่าด้วยความสืบต่อแห่งโลกข้อที่หนึ่ง......... สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่... เป็นข้อที่สอง....สิ่งทั้งปวงมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน....เป็นข้อที่สาม...
สิ่งทั้งปวงมีสภาพต่างกัน ....เป็นข้อที่สี่ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลางไม่ข้องแวะ
ส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร....ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
จากข้อความตัวอย่างข้างต้นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปสู่ข้อสรุปว่า พุทธปรัชญาหาได้ยืนยันความจริงแท้ใด ๆ ไม่ , เพราะนั่นเป็นการสรุปที่ลืมความเป็นจริงประการหนึ่งไป, กล่าวคือ ความเป็นกลาง, ความเป็นกลางในที่นี้หาได้หมายถึงการยอมรับหรือประสานทั้งสองแนวความคิดเข้าด้วยกันไม่, แต่คือการยอมรับความเป็นจริงตามเงื่อนไขแห่งภาวะสัมพันธ์ หรือตามหลักปฏิจจสมุปบาท.
ในข้ออ้างแรกเมื่อยอมรับว่ามีผู้ทำ ก็เท่ากับยอมรับว่า ผู้นั้นมีอยู่ หรือยอมรับถึงผู้อื่นก็เท่ากับยอมกับถึงความมีอยู่ของผู้นั้น, นั่นหาใช่คำตอบที่ถูกต้องในหลักอภิปรัชญาเลยทั้งนี้เพราะว่าสรรพสิ่งเป็นเพียงกระบวนการแห่งเหตุผลที่เกิดขึ้นเท่านั้น. ในข้ออ้างอิงถัดมาที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่เช่นกัน. เราไม่สามารถยืนยันได้อย่างถูกต้องว่า “มี” หรือ “ไม่มี” ดังนั้น คำตอบที่ถูกและตรงที่สุด คือ เป็นผลจากปัจจัยที่เป็นเหตุเป็นผลกัน. แม้ในข้ออ้างอิงประการที่สามก็เป็นเช่นเดียวกัน.
พุทธปรัชญามองว่า ปัญหาความสับสนในเรื่องนี้เกิดจากการที่เรามักจะมองสิ่งต่าง ๆ และต้องการคำตอบว่า “มี” หรือ “ไม่มี” เมื่อเป็นอย่างนี้ เราะจะตอบคำตอบทางอภิปรัชญาด้วยคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างนี้อย่างไร? ถ้าเราตอบว่า “มี” ย่อมหมายถึงว่ามีสิ่งต่างๆ มีอยู่จริง, แต่เพราะสิ่งต่างๆ เป็นเพียงผลรวมของปัจจัยเท่านั้นและมันก็หาได้มีมาก่อนไม่, แต่ถ้าเราตอบว่าไม่มี, ก็มีผลรวมของปัจจัยให้เราเห็นประจักษ์อยู่ เพราะเหตุนี้เอง พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
ท่านกัจจายนะ โลกนี้อิงไว้กับทฤษฎี ๒ อย่าง คือ ความมี และความไม่มี เมื่อเห็นกำเนิดแห่งโลกตามที่มันเป็นด้วยปัญญาอันชอบ ความไม่มีในโลกก็ไม่มี เมื่อเห็นความดับแห่งโลกตามที่มันเป็น ความมีอยู่ในโลกนี้ก็ไม่มี โลกนี้โดยมากติดยึดอยู่ในอุบาย และถูกคล้องขังด้วยการเข้าไปยึดติด ส่วนอริยสาวกย่อมไม่เข้าไปหาไม่ยึด ไม่ติด
วิธีการตอบปัญหาเช่นนี้ของพระพุทธองค์ ทำให้หลาย ๆ ท่านสรุปว่าพุทธศาสนาไม่สนใจที่จะให้คำสอนตอบปัญหาทางอภิปรัชญา. ข้ออ้างที่อ้างกันมากที่สุด ก็คือ ที่ปรากฏในวัจฉโคตตสูตรว่า
วัจฉโคตรปริพาชกได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค....ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โลกเที่ยงหรือ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรวัจฉะ ปัญหาขอนี้เป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์วัจฉโคตรปริพาชก ได้กราบทูลถามต่อว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ โลกไม่เที่ยง หรือ.... โลกมีที่สุดหรือ.....ชีพกับสรีระเป็นอย่างเดียวกันหรือ....ชีพเป็นอย่างหนึ่ง สรีระเป็นอย่างหนึ่งหรือ....หลังจากตายแล้วสัตว์ย่อมเกิดอีกหรือ...หลังจากตายแล้ว สัตว์ย่อมไม่เกิดอีกหรือ....หลังจากตายแล้วสัตว์เกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มีหรือ.... หลังจากตายแล้ว สัตว์ไม่ใช่ทั้งเกิดอีกก็มีไม่เกิดอีกก็มีหรือ?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรวัจฉะ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์
ในจูฬมาลุงกยสูตร แห่งมัชฌิมปัณณาสก์ ได้ปรากฏเรื่องราวคล้าย ๆ กันนี้และมีความรุนแรงถึงขนาดที่พระมาลุงกยบุตร ได้ตั้งเงื่อนไขว่า หากพระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบปัญหาเช่นนี้ ตนจะไม่อยู่เป็นนักบวชต่อไป, และได้กราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า
ถ้าพระพุทธองค์ทราบว่าโลกเที่ยง....ก็ขอจงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่าโลกเที่ยง..........
ถ้าพระพุทธองค์ทรงทราบว่าโลกไม่เที่ยง ....ขอจงทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิดว่า
โลกไม่เที่ยง ....ถ้าพระผู้มีพระภาค ไม่ทรงทราบว่าโลกเที่ยง หรือไม่เที่ยง.... ก็ขอให้ตรัสบอกมาตรง ๆ เถิดว่า เราไม่รู้ เราไม่เห็น
ในจุดนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสว่า เงื่อนไขของการเข้ามาประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้อยู่ที่พระองค์จะตอบปัญหาเรื่องนี้หรือไม่, แล้วทรงยกอุปมาเรื่องหน้าที่ของแพทย์ผู้ฉลาด ที่จะทำการรักษาผู้ที่ถูกยิงด้วยลูกศร, พร้อมกับได้ตรัสถึงเงื่อนไขในการประพฤติพรหมจรรย์ว่า หาได้เกี่ยวกับการตอบปัญหานี้ไม่ เพราะเราจะรู้คำตอบว่าเป็นอย่างไรก็ตาม, ความทุกข์ยังคงมีอยู่ จุดที่โดดเด่นในที่นี้ ไม่ใช่อยู่ที่การตอบปัญหาหรือไม่ แต่อยู่ที่ความฉลาดในฐานะแห่งความเป็นศาสดาที่จะแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สาวก.
เราคงต้องยอมรับอย่างที่พระองค์ตรัสว่า ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ความทุกข์ยังคงมีอยู่และไม่ช่วยกำจัดทุกข์ได้ . อย่างไรก็ตามนี้หาได้หมายความว่า พุทธศาสนาจะไร้คำตอบในเรื่องนี้ เพราะนั่นหมายถึงการที่ระบบความคิดของพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ไม่ได้.
แม้ว่าอาจเป็นความจริงที่ไม่ทรงตอบไปตามที่มีผู้ถาม แต่จริง ๆ แล้ว นั่นเพราะคำถามเหล่านั้นเป็นคำถามที่อิงพื้นฐานทางอภิปรัชญาที่ผิดพลาด. พระพุทธองค์จึงตอบไม่ได้ว่า มีหรือไม่มี พระสารีบุตร เป็นผู้ที่เข้าใจเหตุผลในข้อนี้ชัดเจน ดังนั้นเมื่อท่านจะตอบคำถามของพระมหาโกฏฐิตะ, ที่ได้ถามว่า ทำไมพระพุทธองค์ไม่ทรงพยากรณ์ปัญหาเช่นนี้, ท่านจึงตอบว่า
ความเห็นว่า สัตว์หลังจากตายแล้ว ย่อมเกิดอีก สัตว์หลังจากตายแล้วไม่เกิดอีกสัตว์หลังจากตายแล้วเกิดอีกก็มี ไม่เกิดอีกก็มี...ดังนี้ ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ไม่รู้ไม่เห็นรูป....เวทนา....สัญญา.....สังขาร.....วิญญาณตามความเป็นจริง ไม่รู้ไม่เห็นเหตุเกิดแห่งรูปตามความเป็นจริง ไม่รู้ ไม่เห็นความดับแห่งรูป ....ตามความเป็นจริงไม่รู้ไม่เห็นปฏิปทา อันให้ถึงความดับรูป.....ตามความเป็นจริง
แนวความคิดนี้สอดคล้องกับที่พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบแก่วัจฉโคตรปริพาชกว่า
....ดูก่อน วัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่เห็นรูปโดยความเป็นตัวตน ย่อมไม่เห็นตนว่ามีรูป ย่อมไม่เห็นรูปในตน.....ย่อมไม่เห็นเวทนา.....สัญญา.....สังขาร....วิญญาณ.....เพราะฉะนั้น เมื่อพระตถาคตเจ้าถูกถามอย่างนั้นจึงไม่พยากรณ์ว่า โลกเที่ยง
ดังนั้น เราสามารถที่จะลงความสรุปได้ว่า เหตุผลที่แท้จริง ไม่ใช่เพราะไม่มีคำตอบ แต่เพราะคำตอบอยู่ในฐานะแห่งมัชฌิมาปฏิปทา.
ตัวอย่างที่คล้ายกัน ก็คือ เรื่องกรรมและผู้รับผลของกรรม. เช่นที่ปรากฏในนิทานวรรคว่า อเจลกัสสปะเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทุกข์ตนกระทำเองหรือ....ผู้อื่นกระทำให้หรือ...ตนเองก็ไม่ได้กระทำหรือ. พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธว่า ไม่ให้ยืนยันอย่างนั้น และทรงตรัสว่า
เมื่อบุคคลกล่าวอยู่ว่า นั่นผู้กระทำ นั่นผู้เสวย เราก็กล่าวว่า ทุกข์ตนทำเอง ดังนี้อันนี้เป็นสัสสตทิฏฐิ เมื่อบุคคลถูกเวทนาทิ่มแทง รู้อยู่ว่า ผู้อื่นกระทำ แต่ผู้เสวยเป็นอีกคนหนึ่ง อันนี้เป็นอุจเฉททิฏฐิ ดูก่อนกัสสปะ ตถาคตแสดงธรรมโดยทางสายกลางไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้งสองนั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย.........
ในตัวอย่างนี้ ถ้าเราถือว่า ทุกข์เรากระทำเอง ก็หมายความว่า เรายอมรับว่าเรามีอยู่ในฐานะผู้กระทำ เรามักจะมองว่า เมื่อการยืนยันว่า เรากระทำเองเป็นเท็จ,การที่ผู้อื่นกระทำ ก็ต้องเป็นจริง. ทั้ง ๒ ส่วนนี้ยังเป็นการยืนยันที่ผิดพลาด เพราะจริง ๆ แล้ว การกระทำ, ผู้กระทำ และรวมทั้งผลที่เกิดจากการกระทำ เป็นเพียงขบวนการทางปัจจัยสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น.
อีกตัวอย่างหนึ่งที่คล้ายกัน ที่ปรากฏในอุปริปัณณาสก์, พระภิกษุรูปหนึ่งได้มีความดำริว่า เมื่อมนุษย์มีความเป็นอนัตตา, กรรมที่อนัตตากระทำจะให้ผลแก่ “ตน” ได้อย่างไร? ปัญหาในเรื่องนี้มีพื้นฐานจากการมองว่ามีความเป็นตัวตนอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น จึงเกิดปัญหาว่า กรรมที่อนัตตากระทำจะถูก (ให้ผลแก่ ) ตนนั้นได้อย่างไร. พระภิกษุรูปนี้ยืนยันความมีตัวตนกับความไม่มีตัวตนในเรื่องเดียวกัน.ความผิดพลาดเกิดจากการรวมสมมติสัจเข้ากับปรมัตถสัจ.
หลักมัชฌิมาปฏิปทาที่เป็นผลพวงมาจากหลักปฏิจจสมุปบาท ก่อให้เกิดหลักการที่ยอมรับความเป็นจริงในทางอภิปรัชญา “ตามธรรมชาติที่มันเป็น,” อันเป็นส่วนของ “มัชเฌนธรรม.” ในขณะเดียวกัน ยังก่อให้เกิดผลในทางศาสนธรรม หรือ จริยศาสตร์อีกด้วย ซึ่งเรียกชื่อหลักการนี้ว่า “หลักมัชฌิมาปฏิปทา”. ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้กล่าวไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด ๒ อย่าง ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ คือ การประกอบตนให้มัวเมาในกามสุขทั้งหลาย ที่เป็นการประกอบที่ต่ำ เป็นเรื่องของปุถุชน ไม่ใช่ เรื่องของประเสริฐ ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ และการประพฤติทรมานตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของประเสริฐ ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เอนไปใกล้ที่สุดทั้งสองอย่างนั้น ตถาคตได้รู้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำให้ดวงตาเกิดขึ้น ทำให้ญาณเกิดขึ้น....
ปฏิปทาสายกลางนั้นได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา.....
หลักมัชฌิมาปฏิปทา, แม้จะเป็นผลจากการมองโลกและสรรพสิ่งตามพื้นฐานของมัชเฌนธรรมก็จริง, ทำให้เกิดการใช้หลักปฏิจจสมุปบาทในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า อริยสัจ ดังนั้น ในพระสูตรเดียวกันกับข้างต้น จึงได้เริ่มการแสดงหลักอริยสัจเพื่อชี้ให้เห็นว่า หลักมัชฌิมาปฏิปทาเกิดมาอย่างไร. แม้ว่าพุทธทาสภิกขุจะเรียกว่า จะเรียกหลักปฏิจจสมุปบาท “อริยสัจจ์ในชีวิตประจำวัน” แต่ในที่นี้ถือว่าหลักอริยสัจ คือ “รูปแบบสำเร็จรูปของหลักปฏิจจสมุปบาท.”
ไม่มีความเห็น