ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับนรกและสวรรค์
ในครั้งพุทธกาล
มีพวกเจ้าลัทธิ “นัตถิกทิฏฐิ”
และ
“อุจเฉททิฏฐิ”
เป็นกลุ่มที่มีทรรศนะปฏิเสธปรากฏการณ์ในโลก
นัตถิกทิฏฐิบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลย
อุจเฉททิฏฐิบอกว่า สรรพสิ่งมีอยู่ในตอนนี้
แต่เมื่อแตกทำลายแล้ว ย่อมสูญสิ้นทุกอย่าง
พวกนัตถิกทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิปฏิเสธนรกและสวรรค์ด้วยเช่นกัน
แม้แต่บุคคลผู้นับถือพระพุทธศาสนายังมีข้อสงสัยว่า
นรกและสวรรค์มีจริงหรือไม่? อาศัยการพยากรณ์
(ตอบ) ของพระพุทธเจ้า
ทำให้ท่านเหล่านั้นหมดความสงสัยไปได้
คัมภีร์พระไตรปิฎกแสดงนรกและสวรรค์
ทั้งในฐานะเป็นสถานที่
และเป็นภาวะทางจิตใจ
คัมภีร์โลกศาสตร์แสดงเฉพาะนรกและสวรรค์ในฐานะเป็นสถานที่
และแสดงพิสดารยิ่งกว่าในคัมภีร์พระไตรปิฎก
นี่แสดงให้เห็นว่า
ผู้ศึกษาเรื่องนรกและสวรรค์เริ่มมีความคิดเห็นคลาดเคลื่อนไปจากคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว
ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะในพุทธศตวรรษที่
20
ได้มีการรจนาและศึกษาคัมภีร์ศาสนาอย่างกว้างขวาง
คัมภีร์เหล่านั้นเป็นของลัทธิพราหมณ์ก็มี
เป็นของพระพุทธศาสนานิกายมหายานก็มี
แม้ผู้ศึกษาจะเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
(หินยาน)
แต่เมื่อเห็นข้อความในคัมภีร์ของลัทธิอื่นตรงกับข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นบางส่วนโดยเฉพาะเรื่องนรกและสวรรค์
เมื่อมีโอกาสรจนาคัมภีร์ขึ้น
ย่อมมีการผสมผสานข้อความจากแต่ละคัมภีร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
อย่างไรก็ตาม
แม้จะคลาดเคลื่อนไปจากคัมภีร์พระไตรปิฎกโดยเหตุที่พิสดารเกินไป
แต่ไม่ได้มีความขัดแย้งกันมากนักกลับสนับสนุนส่งเสริมกันและกันจนทำให้ภาพลักษณ์ของนรกและสวรรค์ชัดเจนยิ่งขึ้น
แต่การที่ภาพลักษณ์ของนรกและสวรรค์พิสดารมากยิ่งขึ้นนี้
ไม่ได้หมายถึงว่าจะมีผลดีเสมอไป
อาจจะสร้างแนวคิดเรื่องนรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่เพียงด้านเดียวแก่บุคคลบางคนได้
ทำให้เขาเกิดความยึดมั่นในความคิดเห็น
(ทิฏฐิปาทาน) ว่า
นรกและสวรรค์ในพระพุทธศาสนา
หมายถึงสถานที่เสวยผลกรรมชั่วและกรรมดีของมนุษย์ภายหลังจากตาย
ไม่ได้หมายถึงภาวะทางจิตใจ
ความคิดเห็นอย่างนี้ย่อมไม่เป็นผลดีแก่ใคร
เพราะจะทำให้เขามัวคิดถึงเฉพาะความสุขและความทุกข์ในโลกหน้า
ไม่อยู่กับปัจจุบัน
ในปัจจุบัน
แนวคิดเรื่องนรกและสวรรค์เริ่มคลาดเคลื่อนไปอีกลักษณ์หนึ่งคือ
มีการแสดงเฉพาะนรกและสวรรค์ที่เป็นภาวะทางจิตใจในขณะปัจจุบัน
ไม่ต้องการให้คิดและศึกษานรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่ในโลกอื่นที่จะไปเกิดหลังจากตาย
ทรรศนะอย่างนี้ แม้จะไม่ได้ปฏิเสธตรง ๆ
แต่ก็เริ่มมีความเคลื่อนออกไปแล้ว
ทรรศนะฝ่ายที่มีท่าทีคล้ายจะปฏิเสธนรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่นี้
ยังสนับสนุนให้ศึกษาทฤษฏีภพ-ภูมิ-ปรโลก-โอปปาติกะเฉพาะในขณะปัจจุบันนี้เท่านั้น
โดยอธิบายว่า
1. ภพ คือ
ความมีความเป็นไปอยู่ในขณะปัจจุบันชาตินี้
2. ภูมิ คือ
ระดับชั้นของจิตใจที่เป็นไปอยู่ในขณะปัจจุบันนี้เท่านั้น
3. โอปปาติกะ คือ
การเกิดขึ้นทางจิตใจในขณะปัจจุบันนี้เท่านั้น
4. ปรโลก คือ
วินาที-นาที-ชั่วโมง-วัน-เดือน-ปีที่จะถึงต่อไปข้างหน้า
ทรรศนะอย่างนี้ย่อมมีผลดีแก่ผู้เข้าใจหลักการและเหตุผลในการนำเสนออย่างแจ่มชัดเพราะจะทำให้เขาอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น
มีกำลังใจที่สร้างความสุขขึ้นให้ได้ในขณะปัจจุบันโดยไม่รอถึงชาติหน้าภายหลังจากตาย
แต่ข้อจำกัดของทรรศนะอย่างนี้ คือ
อาจจะทำให้ผู้ศึกษาตามอย่างผิวเผินซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่เก็บเอาไปขยายความเพิ่มเติมในปฏิเสธมากขึ้นก็ได้
เพราะการอธิบายนรกและสวรรค์ในเชิงภาวะทางจิตใจ (นามธรรม)
นี้
สามารถทำให้เห็นประจักษ์และเข้าใจได้ง่ายกว่าการอธิบายนรกและสวรรค์ในเชิงสถานที่
(รูปธรรม)
และเนื่องจากนรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่ไม่มีใครสามารถนำมาแสดงให้เห็นประจักษ์แก่กันและกันได้นี่เอง
จึงทำให้คนรุ่นใหม่อภิปรายถกเถียงกันตลอดมาว่า
“มีจริงหรือไม่ ?
ตั้งอยู่ที่ไหน ?
มีลักษณะอย่างไร ?”
ต่อปัญหานี้ ผู้เขียนเห็นว่า
การที่จะตอบปัญหานี้ให้ชัดเจนที่สุดได้
เราจำเป็นต้องศึกษาทฤษฏีอื่นประกอบด้วย
โดยเฉพาะทฤษฎีกำเนิด 4 ทฤษฏีเทพ
3 ทฤษฏีอภิญญา 6
ทฤษฏีกรรม และทฤษฏีการเกิดใหม่ในพระพุทธศาสนา
กำเนิด 4 คือ
1. ชลาพุชะ หมายถึง
สัตว์ผู้เกิดในครรภ์แล้วคลอดออกมาภายหลัง
2. อัณฑชะ หมายถึง
สัตว์ผู้เกิดในฟองไข่แล้วฟักออกมาภายหลัง
3. สังเสทชะ หมายถึง
สัตว์ผู้เกิดในเถ้าไคลหรือของสกปรกเฉอะแฉะ
4. โอปปาติกะ หมายถึง
สัตว์ผู้เกิดโตเต็มวัยทันทีโดยไม่อาศัยมารดาบิดา
(สังคีติสูตร , ที.ปา. 11/263.
มหาสีหนาทสูตร , ม.มู.
12/654.)
จากการศึกษาตามพุทธฎีกา กำเนิด 4
เป็นเรื่องของการเกิดทางรูปกายหรือรูปธรรม
ไม่ใช่การเกิดทางนามธรรม
โอปปาติกะกำเนิดเป็นกำเนิดของเทวดา สัตว์ นรก
เปรต อสุรกาย
และมนุษย์ยุคต้นกัปทฤษฏีกำเนิด 4
เราจะอธิบายในแง่นามธรรมก็ได้
โดยเฉพาะโอปปาติกะกำเนิด
จะหมายถึงการเกิดความคิดขึ้นภายใจจิตใจซึ่งไม่ต้องอาศัยมารดาบิดก็ได้
เมื่อโอปปาติกะ หมายถึงพวกเทวดา สัตว์นรก
เปรต อสุรกาย และมนุษย์ยุคต้นกัปด้วย
ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ในชั้นนี้ว่า
เทวดาและสัตว์นรกมีอยู่จริง
และบ่งไปถึงนรกซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์นรกและสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกเทวดาว่า
มีอยู่จริงอีกด้วย
โดยเฉพาะในเรื่องเทวดานั้น
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกแบ่งเทวดาออกเป็น 3
ประเภทคือ
1. สมมติเทพ คือ พระราชา พระราชินี
พระราชโอรส พระราชธิดา
2. อุปปัตติเทพ คือ พวกเทวดาโดยกำเนิด
เทวดาในสวรรค์
3. วิสุทธิเทพ คือ พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกพุทธเจ้า
(โสฬสมาณเวกปัญหานิทเทส , ขุ.จู.
30/654)
ถามต่อไปอีกว่า
“เพราะเหตุไร
จึงมองไม่เห็นพวกเทวดาและสัตว์นรก ?”
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า
สัตว์ที่เกิดในโอปปาติกะกำเนิดเป็นพวกกายละเอียด
บุคคลผู้ได้อภิญญามีตาทิพย์เท่านั้นจึงจะมองเห็นสัตว์เหล่านี้ได้
อภิญญา 6 คือ
1. อิทธิวิธี ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ
ได้
2. ทิพพโสต ความรู้ที่ทำให้มีหูทิพย์
3. เจโตปริยญาณ
ความรู้ที่ทำให้กำหนดใจผู้อื่นได้
4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ความรู้ทำให้ระลึกชาติได้
5. ทิพพจักขุ ความรู้ที่ทำให้มีตาทิพย์
6. อาสวักขยญาณ
ความรู้ที่ทำให้อาสวะกิเลสสิ้นไป
(ทสุตตรสูตร , ที.ปา. 11/431.
ทุติยอาหุเนยยสูตร ,
องฺ.ฉกฺก.22/273)
การทำทฤษฎีหลายทฤษฏีมาเชื่อมต่อกันอย่างนี้
เป็นคำตอบยืนยันได้ว่านรกและสวรรค์มีจริงสำหรับปัญหาที่ว่า
นรกและสวรรค์ตั้งอยู่ที่ไหน?
มีลักษณะอย่างไร ?
มีคำตอบบ้างแล้วในคัมภีร์โลกศาสตร์ซึ่งนำแนวคิดจากคัมภีร์อนุฎีกาวิภังคปกรณ์
แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หมดความสงสัยได้ ในทรรศนะของผู้เขียน
การที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายไม่ได้บอกที่ตั้งของเมืองนรกและเมืองสวรรค์ไว้ชัดเจนนั้น
คงเป็นเพราะว่า ในวิสัยของท่านเหล่านั้น
มันไม่มีปัญหาอะไร
นรกและสวรรค์เป็นองค์ประกอบของสังสารวัฏ
สังสารวัฏย่อมไม่มีบนไม่มีล่าง
การที่มนุษย์ยุคปัจจุบันกำหนดเป็นข้างบนและช้างล่าง
ว่าโดยปรมัตถ์แล้ว
เป็นเรื่องสมมติขึ้นเพื่อจะได้สื่อความหมายกันเข้าใจระหว่างชาวมนุษย์โลกด้วยกันเอง
เป็นข้อตกลงของชาวมนุษย์โลกเท่านั้น
พระอริยบุคคลท่านมองเห็นนรกและสวรรค์เป็นประจำ
จึงถือเป็นเรื่องปกติ ไม่มีบนไม่มีล่าง
แต่ข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกแสดงโดยนัยว่า
เมื่อเปรียบเทียบกันกับมนุสสภูมิ
เทวภูมิสูงกว่ามนุสสภูมิ
มนุสสภูมิสูงกว่านรกภูมิสวรรค์จึงต้องอยู่สูงเหนือเมืองนรกแน่นอน
นรกและสวรรค์เป็นข้อเท็จจริงเชิงปริยัติ
เกี่ยวกับนรกและสวรรค์ในฐานะที่เป็นสถานที่นี้
ทรรศนะที่คลาดเคลื่อนไปจากคัมภีร์พระไตรปิฎกทั้งที่เป็นไปในเชิงสนับสนุนแต่พิสดารเกินไปและเป็นไปในเชิงปฏิเสธโดยไม่ต้องการให้ศึกษาตามนี้
ย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนแก่คนรุ่นใหม่อย่างแน่นอน
ผู้ที่มีความคิดเห็นค่อนข้างจะเชื่อมากอยู่แล้ว
เมื่อได้ศึกษาตามทรรศนะที่สนับสนุนนรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่
ยิ่งจะมีความเชื่อมากขึ้นจนกลายเป็น
“ทิฏฐปาทาน”
(ความยึดมั่นในความเห็น)
อธิบายนรกและสวรรค์เฉพาะในแง่ที่เป็นสถานที่หรือเป็นดินแดน
และประฌามทรรศนะที่เห็นผิดไปจากตน
ส่วนผู้ที่ไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้ว
เมื่อได้ศึกษาตามทรรศนะเชิงปฏิเสธ
ยิ่งจะทำให้คลายความเชื่อลงไปจนโน้มเอียงไปข้าง
“นัตถิกทิฏฐิ” คือ
เห็นว่าไม่มีอะไร โลกหน้าไม่มี
ซึ่งจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิประเภทหนึ่ง
เรื่องนรกและสวรรค์จึงไม่ควรนำมาวิจารณ์หรืออธิบายให้คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกมากเกินไป
แต่เป็นเรื่องที่ควรศึกษามาให้รู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ในทางพระพุทธศาสนา
มีลัทธรรมซึ่งหมายถึงธรรมอันดีหรือธรรมของสัตบุรุษ
ถือเป็นแก่นของศาสนา 3 ประเภท
คือ
1. ปริยัติสัทธรรม
สัทธรรมคือคำสอนอันจะต้องเล่าเรียน ได้แก่
พระพุทธพจน์
ข้อเท็จจริงทั้งหลายในคัมภีร์พระไตรปิฎก
2. ปฏิบัติสัทธรรม สัทธรรมคือปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ
ได้แก่ อัฏฐังคิกมรรคหรือไตรสิกขา คือ
ศีล สมาธิ ปัญญา
3. ปฏิเวธสัทธรรม
สัทธรรมคือผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติ
ได้แก่ มรรคผล นิพพาน
เรื่องนรกและสวรรค์จัดอยู่ในหมวดปริยัติสัทธรรม คือ
เรื่องดีงามหรือเรื่องของสัตบุรุษที่ควรศึกษาตามจุดมุ่งหมายของปริยัติคือการก้าวเข้าไปและศึกษาปัญหาข้อเท็จจริงทั้งหลาย
ปริยัติต้องก้าวเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
มีประเด็นปัญหาใดที่น่าสนใจหรือยังหาคำตอบไม่ได้หรือได้ไม่เป็นที่พอใจ
หลักการของปริยัติคือต้องศึกษาประเด็นปัญหานั้นให้ลึกซึ้งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แม้แต่อัฏฐังคิกมรรค (มรรคมีองค์ 8) มรรค ผล
และนิพพาน ก็สามารถจัดเข้าในหมวดปริยัติสัทธรรมได้
แต่เป็นหลักการที่ต้องลงมือปฏิบัติจริง ๆ
หลังจากที่ได้ศึกษามาพอสมควร
และมีปฏิเวธสัทธรรมเป็นจุดหมายที่ดำรงอยู่รองรับผู้ปฏิบัติตามอัฏฐังคิกมรรค
นักปรัชญาทุกสาขาย่อมมีทรรศนะว่า
ความเชื่อและความไม่เชื่อตามเรื่องใด ๆ
ย่อมขึ้นอยู่กับภูมิปัญญา
บริบทของสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล
แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์สูงสุดทางศาสนานั้น
นับว่าเป็นเรื่องที่ควรศึกษาตาม ในเชิงวิชาการ
แม้แต่เรื่องที่ถูกประฌามว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ยังเป็นเรื่องที่ควรศึกษาตาม
เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างไร?
เพราะเหตุไรจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิแต่จุดมุ่งหมายและวิธีการของนักปรัชญาที่ว่านี้ก็มีข้อจำกัดอยู่คือเมื่อผ่านการศึกษามามาก
ย่อมมีโอกาสพลัดตกไปข้าง
“ทิฏฐปาทาน”
ได้ง่าย
ผู้ที่ผ่านการศึกษามามากมักจะยึดมั่นถือมั่นในทฤษฎีเกินไป
จนเกิดเป็นความสำคัญตน
ไม่ยอมรับคำสอนของผู้อื่นโดยดี
ความรู้ตามคัมภีร์อย่างเดียว
ไม่สามารถจะทำให้พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏได้
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบบุคคลผู้ศึกษาแต่คัมภีร์อย่างเดียวโดยไม่หมั่นฝึกอบรมจิตของตนว่า
“เป็นเหมือนใบลานเปล่า”
โดยเคยตรัสเรียกพระภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎกรูปหนึ่งชื่อ
โปฐิละว่า
“มาเถิดคุณใบลานเปล่า ,
นั่งเถิดคุณใบลานเปล่า,
ไปเถิดคุณใบลานเปล่า ,
คุณใบลานเปล่าไปแล้ว
ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระภิกษุรูปนั้นว่า
“ใบลานเปล่า”
เพราะท่านรูปนั้นเรียนรู้ข้อความในคัมภีร์พระไตรปิฎกมาก
แต่ไม่ปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐานนั่นเอง
เพราะฉะนั้นการจะพิสูจน์เรื่องนรกและสวรรค์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเชิงปริยัติให้ประจักษ์ชัด
จึงต้องศึกษา (เน้นปริยัติ)
และลงมือปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8
(เน้นปฏิบัติ) เพื่อให้บรรลุถึงมรรคผล
นิพพาน
เป็นผู้หมดกิเลสมีความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา
และใจ
มีศักยภาพเพียงพอที่จะรู้เห็นสิ่งที่อยู่เหนือสามัญสำนึกของมนุษย์ปุถุชนได้
อ่านแล้วทำให้กลัวไม่กล้าด่าเพื่อนเลยคะกลัวตกนรก