สติปัฏฐานในฐานะสัมมาสติ
สัมมาสติ ความระลึกชอบ หมายถึง ความระลึกที่ถูกต้องตามความเป็นจริงในความเกิดขึ้นและดับไปของสรรพสิ่ง ท่านสอนให้ตั้งสติไว้ในฐานะทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต และธรรม เรียกว่า “สติปัฏฐาน 4” แล้วให้ใช้สติพิจารณาในที่ตั้งทั้ง 4 นี้ เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงของการเกิดและการดับของสรรพสิ่ง หัวข้อทั้ง 4 ของหมวดธรรมดังกล่าว นี้คือ
1. กายานุปัสสนา (การพิจารณากาย)
2. เวทนานุปัสสนา (การพิจารณาเวทนา)
3. จิตตานุปัสสนา (การพิจารณาจิต)
4. ธัมมานุปัสสนา (การพิจารณาธรรม)
การระลึกในที่ตั้งทั้ง 4 ข้างต้นนั้น เรียกว่า “สัมมาสติ” การระลึกหรือการพิจารณา พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในทีฆนิกายสูตรที่ 22 อย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่น บุคคลควรพิจารณาด้วยปัญญาเนือง ๆ ว่า ร่างกายนี้ก็สักว่าเป็นที่รวมของธาตุ 4 เป็นการผสมผสานกันของธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ อันเต็มไปด้วยวัตถุธาตุ เนื้อหนัง กระดูก ลำไส้ พังผืด เลือด น้ำเหลือง ตับ และสิ่งปฏิกูลอื่น ๆ เมื่อโยคีบุคคลเข้าไปสู่ป่าช้า ก็ควรพิจารณาว่า...
ร่างกายที่ตายนี้จะต้องเน่าเหม็นและผุพังไป เป็นอาหารของสุนัข แร้งกา ต่อจากนั้นมันก็จะค่อย ๆ กลายเป็นธาตุเดิมของมันคือ ที่เป็นดินก็ไปสู่ดิน ที่เป็นน้ำก็ไปสู่น้ำ ที่เป็นลมก็ไปสู่ลม และที่เป็นอุณหภูมิหรือไฟก็ไปสู่ไฟ หากพิจารณาเนือง ๆ เช่นนี้ ก็จะทำให้รู้ว่าร่างกายนี้ก็สักว่าร่างกายมันเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นสิ่งที่ต้องเสื่อมและสลายไป
ในการพิจารณาเวทนา (ความรู้สึก) ก็ให้เห็นเป็นเพียงสักว่าเวทนา จิตก็สักว่าจิต ธรรมารมณ์ก็สักว่าธรรมารมณ์ โยคีบุคคลก็สามารถเปลื้องตนออกจากความยึดมั่นถือมั่น และไม่เสียใจเมื่อสิ่งที่รักพลัดพรากจากตนไป ผลที่ได้จากการพิจารณาทั้ง 4 ประการนี้ ผลอันเป็นยอดก็คือการปลดเปลื้องตนออกจากความยึดถือสิ่งทั้งปวงซึ่งเป็นพันธนาการผูกมัดบุคคลไว้ให้ติดอยู่กับโลก
สัมมาสมาธิ ตั้งจิตชอบ (Right Concentration)
สมาธิ แปลว่า ความตั้งมั่นของจิต หรือการตั้งใจชอบ หมายถึง ภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนด ตามคำจำกัดความในพระสูตร มีชื่อเรียกเจาะจงว่า “ฌาน 4” ซึ่งเป็นคำจำกัดความในเชิงยกตัวอย่างมากกว่า เพราะในหลักปฏิบัติบุคคลสามารถเจริญวิปัสสนาได้โดยใช้สมาธิเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า วิปัสสนาสมาธิ อันเป็นสมาธิระดับกลางอยู่ระหว่างขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิเท่านั้น
สัมมาสมาธิเป็นองค์มรรคข้อสุดท้าย และองค์มรรคนี้มีเนื้อหาให้ศึกษามากมายเพราะเป็นเรื่องของการฝึกอบรมจิตในขั้นต่าง ๆ จนถึงขั้นละเอียดลึกซึ้ง เรื่องของจิตใจเป็นเรื่องที่ประณีตและละเอียดอ่อน กว้างขวางและสลับซับซ้อนมาก เพราะเป็นเรื่องนามธรรมการที่จะฝึกจิตก็เป็นเรื่องยาก และยากกว่าการฝึกกาย ดังนั้น สัมมาสมาธิ จึงมีความสำคัญในแง่ของการปฏิบัติอันจะสนับสนุนให้เกิดปัญญาเพื่อนำไปสู่จุดหมายปลายทางคือนิพพานการจะมีจิตตั้งมั่นหรือการตั้งใจชอบนั้น จะต้องผ่านขั้นทั้ง 4 คือ
ขั้นที่หนึ่งได้แก่ วิตก วิจาร ในสภาวะความจริงตามที่เป็นจริง แล้วมีปีติความคิดบริสุทธิ์เกิดขึ้น
ขั้นที่สองได้แก่ การพ้นจากความสุขในความสงบ ความติดอยู่ในความสุขทางกายนั้นยังคงอยู่
ขั้นที่สาม คือ การทำตนให้หลุดพ้นจากความสุขทางกาย ความสมดุลและอุเบกขาก็เกิดขึ้น ขั้นนี้เป็นขั้นของนิพพานหรือปัญญาบริสุทธิ์แท้ ๆ
สมาธิ 3 ระดับ
ในสังคณี อัฏฐกถา (อัฉฐสาลินี) ท่านแบ่งขั้นของสมาธิไว้ 3 ระดับ คือ
1. ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ
2. อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแน่วแน่
3. อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่สนิท
การเจริญสมาธินั้น จะประณีตขึ้นไปเป็นขั้น ๆ หากภาวะจิตที่มีสมาธิถึงขั้นอัปปนาสมาธิแล้ว เรียกว่า “ฌาน” และฌานก็มีหลายขั้นหลายระดับ โดยทั่วไปนิยมแบ่งออกเป็น 2 ระดับ และแต่ละระดับยังแยกย่อยออกได้อีก 4 ขั้น ซึ่งรวมเป็น ฌาน 8 หรือสมาบัติ 8 ได้แก่
1. รูปฌาน 4 คือ
1.1 ปฐมฌาน (ฌานที่ 1) มีองค์ประกอบ 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
1.2 ทุติยฌาน (ฌานที่ 2) มีองค์ประกอบ 3 คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
1.3 ตติยฌาน (ฌานที่ 3) มีองค์ประกอบ 2 คือ สุข เอกัคคตา
1.4 จตุตถฌาน (ฌานที่ 4) มีองค์ประกอบ 2 คือ อุเบกขา เอกัคคตา
2. อรูปฌาน 4 คือ
2.1 อากาสานัญจายตนะ (ฌานที่กำหนดอากาศเป็นอนันต์)
2.2 วิญญาณัญจายตนะ (ฌานที่กำหนดวิญญาณเป็นอนันต์)
2.3 อากิญจัญญายตนะ (ฌานที่กำหนดภาวะที่ไม่มีอะไร ๆ เป็นอารมณ์)
2.4 เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ฌานที่เข้าถึงสภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มี สัญญาก็ไม่ใช่)
การเพียรพยายามบำเพ็ญสมาธินั้น จะใช้กลวิธีใดก็ตามก็เพื่อให้บรรลุถึงความแน่วแน่ของจิต ท่านเรียกว่า “สมถะ” สมถะล้วน ๆ จะนำไปสู่สภาวะจิตที่เป็นสมาธิได้ขั้นสูงสุดได้ก็เพียงขั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะเท่านั้น หากบุคคลผู้ที่บรรลุผลสำเร็จควบทั้งสองอย่างคือสมถะและวิปัสสนา จึงจะสามารถเข้าถึงสภาวะที่ประณีตสูงสุดคือขั้นที่ 9 คือ สัญญาเวทยิตนิโรธหรือนิโรธสมาบัติ เป็นภาวะที่สัญญาและเวทนาหยุดการปฏิบัติหน้าที่และเป็นความสุขขั้นสูงสุด
วิธีการสร้างสมาธิ
วิธีการสร้างสมาธิ หรือวิธีทำให้เกิดสมาธินั้น มีมากมายหลายวิธี การที่มีวิธีการหลากหลายก็เพื่อให้เหมาะสมกับบุคคลแต่ละคน และแต่ละคนย่อมมีอุปนิสัยใจคอแตกต่างกันหากจะศึกษาและพิจารณาถึงวิธีการที่มีอย่างหลากหลายนั้น ก็จะพบว่ามีวิธีการบางอย่างซึ่งเป็นกลาง ๆ เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ในที่นี้จะนำวิธีการสร้างสมาธิมากล่าวไว้เพียง 4 แบบและจะกล่าวถึงเฉพาะหลักการใหญ่ๆ เท่านั้น คือ
1. วิธีการสร้างสมาธิโดยใช้สติสัมปชัญญะ คือ วิธีการสร้างสมาธิด้วยการกำหนดรู้ความเป็นไปเกี่ยวกับร่างกาย เช่น หายใจเข้า หายใจออก อาการของกาย (เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน การก้าวไปข้างหน้า การถอยหลัง เป็นต้น) ให้ระลึกและรู้ตัวอยู่เสมอใช้สติสัมปชัญญะกำหนดรู้ถึงความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ กำหนดรู้จิตใจที่ประกอบด้วยกิเลส หรือไม่ประกอบด้วยกิเลส กำหนดรู้ธรรมทั้งที่เป็นฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว หรือที่ไม่ใช่ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว วิธีการนี้ “สติปัฏฐาน” แปลว่า การตั้งสติให้มั่น และเมื่อตั้งสติไว้ในฐานทั้ง 4 แล้วก็พิจารณาที่ตั้งเหล่านี้ คือ
1.1 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
1.2 เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
1.3 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
1.4 ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
การสร้างสมาธิแบบที่หนึ่ง ผู้บำเพ็ญสมาธิจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งในการกำหนดรู้ กาย เวทนา จิต หรือธรรม ไม่ใช่กำหนดรู้ทีเดียว 4 อย่าง
2. วิธีการสร้างสมาธิด้วยการแผ่ความรู้สึกดีงามไปยังมนุษย์และสัตว์ คือวิธีการนำเอาหลักพรหมวิหารมาสร้างสมาธิ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา โดยเลือกเอาข้อใดข้อหนึ่ง มิใช่แผ่ทีเดียวทั้ง 4 ข้อ การแผ่ความรู้สึกดีงามไปยังมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายโดยไม่จำกัดทิศทาง ไม่แบ่งแยก ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เอาอารมณ์มาเป็นตัวกำหนดการแผ่ ท่านเรียกว่า “อัปปมัญญา” แปลว่า การแผ่ความรู้สึกดีงาม โดยไม่มีประมาณจำกัด
3. วิธีการสร้างสมาธิโดยการเพ่งวัตถุธาตุหรือสีต่าง ๆ ที่เรียกว่า “กสิณ” จุดมุ่งหมายของการสร้างสมาธิตามวิธีนี้ ก็เพียงเพื่อให้จิตใจสงบนิ่ง โดยการเพ่งสิ่งต่าง ๆ เท่านั้น
4. วิธีการสร้างสมาธิด้วยการส่งใจระลึกถึงสิ่งที่ดีงาม เรียกว่า “อนุสสติ” มี 10 อย่างคือ
4.1 การระลึกถึงพระพุทธเจ้า
4..2 การระลึกถึงพระธรรม
4.3 การระลึกถึงพระสงฆ์
4.4 การระลึกถึงศีลที่ตนรักษา
4.5 การระลึกถึงทานที่ตนบริจาค
4.6 การระลึกถึงคุณธรรมที่ทำคนให้เป็นเทวดา
4.7 การระลึกถึงความสงบระงับ
4.8 การระลึกถึงความตาย
4.9 การระลึกไปในกาย
4.10 การระลึกลมหายใจเข้าออก
วิธีการสร้างสมาธิทั้ง 4 แบบ ดังกล่าวข้างต้น เรียกชื่อตามลำดับคือ 1. สติปัฏฐาน 2. พรหมวิหาร 3.กสิณ และ 4. อนุสสติ
ประโยชน์ของการเจริญสมาธิ
การฝึกอบรมสมาธินั้น ย่อมมีจุดมุ่งหมายในประโยชน์ต่าง ๆ กัน ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลายว่า สมาธิภาวนา (การเจริญสมาธิ ย่อมให้ประโยชน์ ) 4 ประการ คือ
1. การอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร)
2. การได้ญาณทัสสนะ
3. การมีสติสัมปชัญญะ
4. ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
คำว่าสติปัฏฐาน 4 คือ