เมื่อพิจารณาดูตามความในบาลีต่อไปนี้ มีอยู่ใน สุตตันตปิฎก ติกนิบาต ปฐโม ภาโค เล่ม ๑ หน้า ๓๐๔ ว่า
"วิญฺญาณสฺส นิโรเธน ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโน ปชฺโชตสฺเสว นิพฺพานํ วิโมกฺโข เจตโส อหุ"
ความว่า ความพ้นไปแห่งจิต ของพระขีณาสพ เหมือนเปลวเพลิงที่ดับ ไป เพราะ ดับไปแห่งวิญญาณ ดังนี้
ศัพท์ว่า ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโน เป็นคุณบทแปลว่า "พ้นพิเศษ เพราะเหตุสิ้นตัณหา" แต่เอาเป็นชื่อพระขีณสพ เพราะท่านได้คุณสมบัตินั้นเพื่อต้องการความสะดวกฟังง่ายขึ้น คราวนี้กลับไปดูคำแปลนั้นเสียอีกหนหนึ่งว่า
ความพ้นไปแห่งจิตของพระขีณาสพเหมือนเปลวเพลิงที่ดับไป เพราะดับไปแห่งวิญญาณ ดังนี้
ที่เข้าใจกันว่า จิตกับวิญญาณเป็นอันเดียวกันนั้นในที่นี้จะได้เห็นว่ามีอยู่ทั้ง ๒ วิญญาณใช้กิริยาว่า ดับ (นิโรธ) จิต ว่า พ้น (วิโมกข์) จะเหมือนกันหรือต่างกันคงจักทราบได้และในที่นี้แสดงว่า เพราะเหตุวิญญาณดับ จิตของพระขีณาสพ(พระอรหันต์) จึงพ้นไป วิญญาณนั้นเป็นสังขตนามธรรม ในพวกนามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านยกมาพูดไว้แต่วิญญาณขันธ์ ถึงดังนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นอันพูดหมดทั้ง ๔ ขันธ์ด้วย
เมื่อพูดถึงวิญญาณดับแล้ว นามขันธ์นั้นๆ จะอยู่ได้อย่างไร ก็ต้องดับไปตามกันหมด แม้ไม่ปรากฏเป็นถ้อยคำ ก็หมายหมดทั้ง ๔ ขันธ์ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ควรทำความเข้าใจว่าเพราะ รูปขันธ์ ตาย นามขันธ์ ๔ เหล่านั้นจึง ดับ เพราะ นามขันธ์ ๔ เหล่านั้น ดับ จิตของพระขีณาสพจึง พ้นไป เมื่อจิตของพระขีณาสพพ้นไปจากสังขตนามธรรมสิ้นเสร็จเช่นนี้แล้ว สภาพแห่งอสังขตธาตุของท่านก็เกิดปรากฏเต็มที่ พร้อมด้วยอริยผลเข้าเป็นเครื่องกำกับ ไม่กลับเกิดในโลกอีกต่อไป
ส่วนจิตของคนสามัญ เมื่อตายแล้วต้องกล่าวว่า วิญญาณย่อมถือปฏิสนธิเกิดอีกในโลกต่อไปด้วยอำนาจสังขตธรรมที่เจือปนดังกล่าวแล้ว ตามความในพระพุทธภาษิตที่ยกมากล่าวนี้เห็นได้ว่า จิตพ้นไป จากโลกนี้เท่านั้น หาได้ดับสูญหายไปไหนไม่ พระอหันต์ก็เป็นบัญญัติลงที่จิต จิตนั้นเล่าก็เป็นบัญญัติลงที่อสังขตธาตุ อสังขตธาตุก็เป็นบัญญัติลงในธรรมธาตุ ซึ่งเป็นของเดิม เป็นธาตุที่ไม่ตาย เพราะฉะนั้นเราก็พยากรณ์ได้ว่า พระอรหันต์ตายแล้วไม่สูญ เรื่องนี้มีนัยอันสุขุมลุ่มลึก เห็นได้ยากในเมื่อไม่พิจารณาให้ถึงใจ
ในสมัยครั้งพุทธกาล ใครๆ เมื่อเกิดความสงสัยเข้าไปเฝ้า ทูลถามถึงเรื่องนี้อยากทราบว่ามีคติเป็นอย่างไร พระองค์ทรงแสดงยกคติแห่งเปลวไฟที่ดับมาเปรียบเทียบให้ฟังเสมอ
เท่าที่ได้พบเห็นเช่นที่มาอีกแห่งหนึ่งว่า
“อจฺจิยถาวาตเว เคน ขิตตํ อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ เอวํ มุนี นาม กายา วิมุตฺโต อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ เอวํ มุนี นาม กายา วิมุตฺโต อตฺถํ ปเลติ น อุเปติ สงฺขํ” ดังนี้
ความว่า เหมือนเปลวไปที่ถูกลมพัดโดยแรงย่อมดับไป ไม่นับว่าตั้งอยู่อย่างไร ที่ไหน มุนี (พระอรหันต์) ที่พ้นแล้วจากนามกาย(นามขันธ์ ๔) ก็อย่างนั้น ย่อมดับไป ไม่นับว่าไปตั้งอยู่อย่างไร ที่ไหน ดังนี้
ถ้าพระอหันต์พ้นจากอัตตภาพนี้แล้วสูญไป อย่างความเข้าใจของคนบางจำพวกแล้ว เหตุใดจึงไม่ทรงแสดงว่าสูญไว้ให้ชัดความเล่า เข้าใจว่าเพราะพระองค์เป็นสัพพัญญูแท้จริงทีเดียว เป็นเอกอัครมหาบัณฑิตโดยเที่ยงแท้ ความเป็น...ของพระองค์ย่อมบังคับพระวาจาไม่ให้ผิดจากความเป็นจริง ถ้าพระองค์ตรัสว่าสูญแล้ว ความรู้ของพระองค์เองในที่ทั้งปวงจะขัดกันขึ้นทำให้ฟั่นเฝือ ผู้รู้ตริตรองแล้ว จะไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นสัพพัญญูโดยจริงแท้
การที่ทรงยกเอาคติแห่งไฟเข้ามาเปรียบเทียบนั้น ทำให้เห็นว่าคติของพระอรหันต์คล้ายกันกับคติแห่งไฟมาก จึงควรยกไฟขึ้นพิจารณาก่อน ไฟเท่าที่เรารู้จัก ก็คือ ร้อนอย่างหนึ่ง เปลวอย่างหนึ่ง แสงสว่างอย่างหนึ่ง ๓ อย่างนี้ไม่เหมือนกัน ก็ที่เรียกว่าไฟนั้นหมายเอาอย่างไหน เข้าใจว่าหมายเอาความร้อนเรียกว่า อัคคี ไฟ ส่วนเปลวและแสงสว่างเป็นอาการของไฟ หรือคุณภาพของไฟ อาการย่อมเป็นของเกิดดับ แม้พุทธภาษิตที่ยกมาพูดนั้น พระองค์ก็ตรัสว่า เปลวไฟดับ เหมือนกัน อาการของไฟจะกล่าวว่าสูญได้อยู่แล แต่ธาตุไฟซึ่งเป็นตัวประธานจะสูญด้วยหรือ
ถ้าธาตุไฟสูญ ธาตุดินและธาตุน้ำ ก็อยู่ในคติแห่งของสูญเป็นอย่างเดียวกัน ของที่สูญไปแล้วไม่กลับมีอีกได้ แต่เราเห็นเกิดอยู่ในที่นั้นๆ โดยปกตินั้นมาจากไหน เป็นอย่างไร ไฟเมื่ออาการดับหมดแล้วก็ไม่ปรากฏด้วย จักษุ คือ ตาเนื้อ ทั้ง ๒ ของท่านได้ แต่ชนผู้มีปัญญาจักษุยังเห็นอยู่ว่ามี แต่จะชี้ให้เห็นว่าเป็นรูปอย่างไร ตั้งอยู่ที่ไหนนั้นยาก เพราะ ไฟไม่ใช่วิสัยของจักษุ เราจะต้องทราบได้ด้วยกายสัมผัสเพราะฉะนั้นไฟที่ดับจากอาการแล้ว เป็นของมีคติอันนับว่าอย่างไรไม่ได้ ก็เพราะไม่เห็นอาการให้หมายรู้กันนั้นเอง
นี่แหละฉันใดพระอรหันต์ที่พ้นจกโลกนี้ไปแล้ว ก็มีคติอันถึงซึ่งอันนับว่าเป็นอย่างไร ไม่ได้ ก็เพราะสิ้นอาการที่สามัญสัตว์โลกจะพึงเห็น มีแต่อาการอัน พระอริยเจ้าจะพึงเห็น ได้ด้วย ปัญญาจักษุ ของท่านเท่านั้น ฉันนั้นแล จะกล่าวว่า “สูญ” นั้นไม่ได้เลยทีเดียว ถ้าสูญแล้วจะบัญญัติเรียกสิ่งนั้นว่าอสังขตธาตุหรืออมตธรรมนั้นก็ผิด อสังขตธาตุที่ได้ความบริสุทธิ์เป็นนิพพานแล้วย่อมเป็นธรรมธาตุที่เที่ยงถาวรและไม่ตาย แต่ขันธ์ ๕ นั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ถาวรก็ต้องแปรปรวนแตกดับไป เมื่อเช่นนั้นขันธ์ ๕ เท่านั้นเป็นของตายสูญ พระอรหันต์หาได้สูญด้วยไม่
พระอรหันต์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ยังตั้งอยู่ พระอรหันต์ก็เกี่ยวเนื่องอยู่กับขันธ์ ๕ ถ้าไม่เกี่ยวเนื่องกันแล้ว ท่านจะครองขันธ์ ๕ อยู่ทำอะไรเล่า ออกไปเสียมิดีกว่าหรือ ไม่พักรอให้กายตาย เพราะความจริงมีอยู่ว่า “ภาราหเว ปญฺจกฺขนธา” ขันธ์ทั้ง ๕ แล เป็นภาระหนักจะต้องบริหาร จะบริหารเอาประโยชน์อะไรเล่า แต่นี้ออกไปไม่ได้ง่ายอย่างนั้น หากจะได้ก็ต้องฆ่าตัวตายเท่านั้น เรื่องนี้เข้าใจว่า สังขตธรรม คือ นามขันธ์ ๔ เหล่านั้น เป็นลักษณะอาการแห่งอสังขตธาตุอย่างที่พูดมาแล้วแต่ต้นๆ แยกให้ออกจากกันยากในเมื่อเหตุตั้งอยู่ นามขันธ์ ๔ ซึ่งเป็นลักษณะอาการแห่งอสังขตธาตุนั้นอาศัยผัสสะจึงเกิดขึ้น ผัสสะ นั้นเล่าก็อาศัย อายตนะ มีตาเป็นต้นจึงเกิดขึ้น อายตนะ นั้นเล่าก็อาศัย รูปขันธ์ คืออัตตภาพร่างกายนี้แหละตั้งอยู่ ก็เมื่อรูปขันธ์ยังไม่แตกตาย อายตนะก็ยังตั้งอยู่ได้ ก็เมื่ออายตนะยังมีอยู่ผัสสะก็ยังมี เมื่อผัสสะยังมีอยู่ นามขันธ์ ๔ ก็ยังมี เมื่อนามขันธ์ ๔ ยังเป็นไปอยู่ พระอรหันต์ก็ยังเกี่ยวเนื่อง แต่ต้องทำความเข้าใจให้มั่นว่าพะอรหันต์นั้นไม่ใช่ขันธ์ ๕ เพราะฉะนั้น จึงว่าพระอรหันต์จะออกไปเสียง่ายๆ ก่อนที่รูปขันธ์จะแตกตายตามประสงค์นั้นไม่ได้
ในเมื่อเหตุยังตั้งอยู่เหมือนเปลวและแสงสว่างของดวงประทีป จะดับไปก่อนเหตุนั้นไม่ได้ ก็ครั้นรูปขันธ์กล่าวคือ อัตตภาพร่างกายอันนั้นถึงความพิบัติตายลง เพราะสิ้นไปแห่งเหตุแล้วเมื่อใด เมื่อนั้นนามขันธ์ ๔ ก็ดับไปตามหมดสิ้น เมื่อนั้นพระอรหันต์จึงเป็นอสังขตธาตุเต็มที่พระอรหันต์หาได้สูญไปไหนไม่ ดังว่ามานี้แล
เรื่องพระอรหันต์ตายสูญ หรือไม่สูญ วิญาณดับ จิตไม่สูญ ตามที่ได้พูดมามากมายถึงเพียงนี้ หากจะพูดว่ายังไม่แจ่มแจ้งชัดเจนยังมืดมนมัวซัวอยู่อีกมากก็ตาม ก็พอเป็นเงื่อนเงาเลาทางให้แก่ผู้ที่สนใจในทางนิพพานได้บ้างแล้ว การแจ่มแจ้งชัดเจนนั้นเป็นเพราะอำนาจบารมี การอบรมสร้างสมของผู้อ่าน ผู้ฟังด้วยก็ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะผู้แสดงผู้เขียนอย่างเดียว ถ้าเช่นนั้น ได้พูดกันมามากแล้วก็ควรจะเอวังจบกันเสียเท่านี้
ไม่มีความเห็น