ธรรมสัจจะ กับ สัจธรรม
ธรรมสัจจะ เป็นคำที่บัญญัติกันใช้ใหม่ ซึ่งหมายถึง สิ่งที่เป็นความจริงเฉพาะเรื่อง เฉพาะเหตุการณ์ เฉพาะเรื่องเท่านั้น เป็น Particular ไม่สากล ไม่เป็น Universal
สัจธรรม โดยธรรมดาเรานำคำมาต่อกันคือ สัจจะกับธรรม ในบาลีส่วนมากจะมีคำเดียวคือ สัจจะ หรือ มิเช่นนั้นก็มีธรรมะ เช่น ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ อหึสา สญฺญโม ทโม สเว วนฺตมโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจฺจติ สัจจะและธรรมะมีอยู่ในท่านผู้ใด ผู้นั้นจัดว่าเป็นสัตบุรุษหรือผู้ประเสริฐ
อะไรก็แล้วแต่จะว่าไปในวรรคต่อไป แต่จะไม่มีคำต่อกันว่า สจฺจธมฺโม หรือ สจฺจธมฺ เพราะเรานำมาผูกศัพท์ใช้ นำมาเชื่อมโยงกันใช้ หมายถึงสิ่งที่เป็นความจริงสากล
แต่คำหนึ่งที่จะให้หมายถึงความจริงเฉพาะเรื่องเฉพาะเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเฉพาะเหตุการณ์...ก็บัญญัติคำว่า “ ธรรมสัจจะ” มาใช้ตัวอย่าง พระพุทธพจน์ที่ว่า ไม่ควรพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ของผู้อื่นแม้มาก เห็นประโยชน์ของตนแล้วก็ควรขวนขวาย ขวนขวายในประโยชน์ของตน อย่างนี้ดูเหมือว่าจะเป็นการสอนให้คนเห็นแก่ตัว คือว่าไม่ควรพร่าประโยชน์ของตัวเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นแม้จะเห็นว่ามากมายสักเท่าไรก็ตาม รู้ประโยชน์ของตนแล้วก็ควรจะขวนขวายในประโยชน์ของตน พระพุทธดำรัสแบบนี้ท่านตรัสเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี
มีเรื่องนิทานวจนะเล่ามาก่อน คือเมื่อพระพุทธเจ้าจวนจะปรินิพานพระทั้งหลายอื่นจับกลุ่มกันคอยแวดล้อมพระพุทธเจ้า จับกลุ่มกันวิพากย์ วิจารณ์ ร้องห่มร้องไห้ แสดงความเศร้าโศกเสียใจ ในการที่พระ
พุทธเจ้า จะต้องนิพพานไป
มีพระรูปหนึ่งท่านคิดว่าตลอดเวลาที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านยังไม่นิพพาน เราควรจะขวนขวายในประโยชน์ของตน บรรลุอรหัตผลเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็ปลีกตัวออกมา ไม่สุงสิงกับใคร พระรูปนั้นสมมุติชื่อว่า พระอัตตทัตถะ อัตตทัตถะ แปลว่าประโยชน์ของตน เห็นพระอัตตทัตถะ แล้วก็รู้สึกว่าไม่มีความรักในพระพุทธเจ้า ก็ได้นำความนั้นไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าพระรูปนี้ไม่มีความอาลัยรักในพระองค์
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกมาถาม ได้ความตามที่เล่ามา มีความคิดอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไรจึงทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาว่าดีแล้วภิกษุ ดีแล้ว ทำอย่างนี้แหละถูกต้องแล้ว ผู้ที่เคารพบูชาเรา ต้องการจะบูชาเราก็ควรจะทำอย่างภิกษุรูปนี้แล พระพุทธจ้าก็ตรัสพระพุทธพจน์ที่ว่า อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ นหาปเย อตฺตทตฺถมภิญฺญาย สทตฺถปสุโต สิยา ไม่พึงพร่าประโยชน์ของตนเพื่อประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก รู้ประโยชน์ของตนแล้วพึงขวนขวายในประโยชน์ของตนอย่างนี้
ทีนี้ประโยชน์ของตนที่ท่านหมายถึงในที่นี้ก็คือ นิพพาน ท่านต้องการจะให้ถึงนิพพานโดยเร็วที่สุดเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์อยู่เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เพราะฉะนั้นเรารีบทำความเพียรเพื่อเอาอรหัตผลให้ได้ เพื่อเป็นเครื่องสักการะพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นการบูชาที่แท้จริง เป็นการเคารพที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านต้องการอย่างนี้ ท่านไม่ต้องการให้ใครมาแวดล้อมพระองค์ ไม่ต้องการให้ใครมามัวบูชาสักการะพระองค์โดยไม่ทำหน้าที่ของตน
--->> ผมคิดว่าแม้พระพุทธเจ้าจะนิพพานไปแล้ว แต่เวลานี้เราทำสิ่งแทนพระองค์คือ พระพุทธรูป ขึ้นมามากมายก่ายกองใหญ่โตมโหฬาร วิจิตรพิสดารหลายแบบหลายชนิด ต้องการให้คนบูชา ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่และไปทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ต้องการอย่างนี้ไหมผมคิดว่าท่านจะตอบปฏิเสธ
ถ้าโดยปฏิปทา โดยแนวทางของพระองค์..พระองค์จะตอบปฏิเสธ พระองค์จะตอบว่า อย่างมามัวนั่งบูชาฉันอยู่เลย อย่ามาสวดอ้อนวอนฉันอยู่เลย หน้าที่อะไรที่เป็นหน้าที่ของตัวก็ทำหน้าที่ไปเถิด ทำหน้าที่ของตัวไปเถิด อย่ามามัวสวดอ้อนวอนฉันอยู่เลย ถ้าพระพุทธเจ้าสามารถจะกลับมาได้และมาให้เห็นอะไรต่ออะไรที่เราทำกันอยู่เวลานี้ ใหญ่โตมโหฬาร วิจิตรพิสดาร แปลก ๆ ใหม่ ๆ ต่าง ๆ ทำไมเราไม่สืบเจตนารมณ์ของพระศาสดา ที่ต้องการให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องให้ดีงาม แทนการที่จะมาเคารพกราบไหว้บูชาสักการะพระองค์อยู่
ตัวอย่างก็มีก่อนที่จะนิพพาน หากประชาชนทั้งหลายมาสักการบูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ของหอมมากมายครืดไปหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์เอย....อย่างนี้ ๆไม่ชื่อว่าบูชาตถาคตหรอก ไม่ชื่อ ว่าเป็นการบูชาอย่างยิ่ง แต่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมปฏิบัติชอบ ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน โหติ สามีจิปฏิปนฺโน อนุธมฺมจารี ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ผู้นั้นแหละชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ไม่เห็นแก่พระองค์ พูดกันอย่างสามัญว่า ความเห็นแก่ตัวท่านไม่มีแล้ว ท่านเห็นแก่ผู้อื่น ต้องการประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น อะไรที่เป็นประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ท่านก็ทำอย่างนั้น แต่สาวกรุ่นหลังเข้าใจเจตนารมณ์อันนี้ของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือเข้าใจ แต่ทำเป็นไม่เข้าใจเพื่ออะไรบางอย่างที่แฝงอยู่
อันนี้คือธรรมสัจจะกับสัจธรรม ธรรมสัจจะเป็นเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี พระพุทธเจ้าท่านตรัสเฉพาะภิกษุรูปนั้นปรารภภิกษุรูปนั้นแล้วก็ตรัสอย่างนี้ เฉพาะภิกษุรูปนั้น เฉพาะเรื่องนั้น หรือว่าข้อความในกาลามสูตรที่เราชอบอ้างอิงถึงกันอยู่อันนั้น พระพุทธเจ้าตรัสกับชาวกาลามะ ดูเหมือนจะไม่ใช่เทศนาทั่วไปที่จะเทศน์กับใคร ๆ เหมือนอย่างอริยทรัพย์ เหมือนอย่างอนุปุพพิกถา เหมือนอย่างไตรลักษณ์หรือปฏิจจสมุปบาท หรือกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นสากลและพระองค์ตรัสอยู่เสมอ ๆ แก่คนทั้งปวง อันนี้เรียกว่าเป็นสัจจธรรม อริยสัจ กฎแห่งกรรม ปฏิจจสมุปบาท ไตรลักษณ์ เหล่านี้เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งสากล มีความหมายครอบคลุมทั่วไปหมดกับคนทุกคน
ขอยกตัวอย่างอีกอันหนึ่งที่เป็นธรรมสัจจะ คือวินัยพระ วินัยพระเป็นจริงเหมือนกัน แต่เป็นธรรมสัจจะ จริงเฉพาะเรื่อง เฉพาะกรณี เฉพาะพระ เฉพาะกลุ่มพระเท่านั้นที่จะต้องปฏิบัติตามนั้น แต่ถ้าไม่ต้องการจะปฏิบัติก็ออกมาจากหมู่เสีย พอออกมาจากหมู่แล้วก็ไม่ต้องทำตามวินัยนั้น เพราะวินัยเป็นความจริงเฉพาะกรณี เฉพาะหมู่ เฉพาะกลุ่ม ถ้าเราไม่ต้องการจะทำตามวินัยที่ท่านวางเอาไว้เพื่อหมู่คณะ ถ้าเราไม่ต้องการจะปฏิบัติตามบัญญัติหรือระเบียบของสมาคม ก็ออกมาเสียจากสมาคม เราก็ไม่ต้องทำ
-->> ดังนั้นการอ่านพระไตรปิฎกมามากนั้น สมควรที่จะแยกให้ออกว่า พระสูตรหรือพุทธพจน์แบบใดเป็นธรรมสัจจะ และแบบใดเป็นสัจธรรม เพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้งและเข้าใจที่มาที่ไปตลอดจนเหตุผลของข้อธรรมนั้นๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วเราจักไม่นำข้อความบางตอน บางคำ บางประโยค มากล่าวอ้างเพื่อเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงตามที่ควรจักเป็นตามเจตนาของการตรัสเทศนาในพระพุทธพจน์นั้นๆ
ขอให้เจริญในธรรมที่พระศาสดาทรงตรัสไว้ดีแล้ว...
******************************************************************************
ข้อมูลที่ใช้ในการเรียบเรียง : "สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่ เพื่อความถูกต้อง" โดย วศิน อินทสระ
ไม่มีความเห็น