พระพุทธเจ้าได้ประกาศหลักธรรมไว้มากมาย
และหลักธรรมต่าง ๆ นั้นล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น
ถ้าหากบุคคลรู้จักนำหลักธรรมนั้น ๆ มาปฏิบัติ
มิใช่เพียงการจดจำหรือท่องบ่น
แต่หลักธรรมทั้งหมดนั้นต้องอาศัยหลักธรรมพื้นฐานคือ
ความไม่ประมาท
เพราะความไม่ประมาทนั้นจะทำให้บุคคลมีความเพียรพยายาม
ศึกษาและปฏิบัติธรรมอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอ
ความไม่ประมาทนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสเปรียบเทียบไว้ในพระไตรปิฎกสังยุตตนิกาย
เล่ม ๑๕ หน้า ๑๒๒ ว่า
“รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายที่สัญจรไปบนแผ่นดิน
ชนิดใด ชนิดหนึ่ง
รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมถึงการรวมลงในรอยเท้าช้าง
รอยเท้าช้างย่อมกล่าวกันว่า เป็นเลิศกว่ารอยเท้าเหล่านั้น
เพราะเป็นของใหญ่ ข้อนี้อุปมาฉันใด.......
ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒
คือ
ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้าคือ
ความไม่ประมาท
ความไม่ประมาท
ความไม่ประมาท หมายถึง การมีสติ
ระลึกได้อยู่ว่า ปัจจุบันตนเองกระทำอะไรอยู่
ทำแล้วจะเกิดผลอย่างไร ทำในสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่
รวมทั้งความรอบคอบ
ระมัดระวังในสิ่งที่กระทำอยู่ให้เป็นไปในทางที่ควรอยู่เสมอ
ซึ่งตรงกันข้ามกับความประมาท
คือ ความชะล่าใจ การขาดความระมัดระวัง
การไม่ทำความดีติดต่อกัน จึงมักกล่าวกันว่า
“ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย”
ในอดีตพระพุทธเจ้าทรงเห็นภัยแห่งความประมาทนี้
จึงได้ชี้ทางอันเป็นมงคลชีวิตที่สำคัญ คือ
ความไม่ประมาทอันทำให้บุคคลรู้และระลึกได้ถึงสิ่งที่ควรกระทำของตน
เพื่อความสุขแห่งตนดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก
ขุททกนิกาย เล่ม ๒๕ หน้า ๑๖
ว่า…
“ความไม่ประมาทเป็นทางเครื่องถึงอมตนิพพาน
ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย....
ชนเหล่าใดประมาทแล้ว ย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้ว
บัณฑิตทั้งหลาย ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ...
หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความหมั่น มีสติมีการงานที่สะอาด
ผู้ใคร่ครวญแล้วจึงทำ ผู้สร้างระวัง ผู้สำรวมระวัง
ผู้เป็นอยู่โดยธรรม และผู้ไม่ประมาท”
-->> นักปราชญ์ได้ยกย่องความไม่ประมาทนี้ว่าเป็นที่รวมแห่งพระพุทธพจน์ทั้งหมด
ทั้งนี้เพราะความไม่ประมาทเป็นพื้นฐาน
ให้บุคคลมีความเพียรพยายาม ศึกษาและปฏิบัติธรรมอื่น ๆ
อย่างสม่ำเสมอ ความไม่ประมาทนี้ แบ่งได้เป็น
๔ ประการคือ
๑. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดทางกาย
๒. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดทางคำพูด
๓. การระมัดระวังที่จะไม่ประพฤติผิดด้วยใจคิด
๔. ไม่ประมาทในความชั่ว คือ มองเห็นว่าเป็นสิ่งเล็ก ๆ
น้อย ๆ ไม่สำคัญแล้ว กระทำลงไป
เพราะสิ่งเล็กน้อยอาจเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ได้ เช่น
การพูดล้อเล่นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท เป็นต้น
บุคคลจึงไม่ควรประมาท
เพื่อความสุขของตนเองในอนาคตทั้งที่มีชีวิตอยู่และหลังจากสิ้นชีวิตไปแล้ว
เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าพรุ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อย่างปกติหรือไม่
อนาคตเราจะเจ็บป่วยหรือไม่
สิ่งที่ไม่ควรประมาท
สิ่งที่ไม่ควรประมาทนี้ มี ๕ ประการคือ
๑. ไม่ประมาทในเวลา
๒. ไม่ระมาทในวัย
๓. ไม่ประมาทในการงาน
๔. ไม่ประมาทในการศึกษา
๕. ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม
เมื่อบุคคลไม่ประมาท ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นได้ยาก ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน
พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๒๕ หน้า ๑๐๓ ว่า
“ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตไม่ประมาท”
ลักษณะของความประมาทและความไม่ประมาท
ลักษณะของผู้ที่มีความประมาทและผู้ที่ไม่ประมาทนี้ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้บันทึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ในหนังสือขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ หน้า ๒๘๑ ว่า
“โอ้หนอเราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงวันหนึ่งคืนหนึ่ง
ดังนี้ก็ดี, โอ้หนอ เราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงเวลากลางวัน
ดังนี้ก็ดี, เราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้ เพียงชั่วขณะที่ฉัน
บิณฑบาตเสร็จมื้อหนึ่งดังนี้ก็ดี, เราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้
เพียงชั่วขณะที่ฉันอาหารเสร็จเพียง ๔-๕ คำ เราพึงใส่
ใจถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด....เราเรียกว่ายัง
เป็นผู้ประมาทอยู่ “.....” โอ้หนอ เราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้
เพียงชั่วขณะที่ฉันอาหารเสร็จเพียงคำเดียว ดังนี้ก็ดี เรา
อาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะที่หายใจเข้า แล้วหายใจ
ออก หรือชั่วหายใจแล้วเข้า, เราพึงใส่ใจคำสอนของพระผู้
มีพระภาคเจ้าเถิด การปฏิบัติตามคำสอนควรทำให้
มาก .... เราเรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว”
การฝึกตนเป็นผู้ไม่ประมาท
การฝึกตนเป็นผู้ไม่ประมาทนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๔ ประการ คือ
๑. จงละกายทุจริต จงเจริญกายสุจริต และอย่าประมาทในการละกายทุจริต และการเจริญกายสุจริตนั้น
๒. จงละวจีทุจริต จงเจริญวจีสุจริต และอย่าประมาทในการละวจีทุจริต และการเจริญวจีสุจริตนั้น
๓. จงละมโนทุจริต จงเจริญมโนสุจริต และอย่าประมาทในการละมโนทุจริต และการเจริญมโนสุจริตนั้น
๔. จงละมิจฉาทิฏฐิ จงเจริญสัมมาทิฏฐิ และอย่าประมาทในการละมิจฉาทิฏฐิ และการเจริญสัมมาทิฏฐินั้น
ในการฝึกตนให้เป็นผู้ไม่ประมาทนี้ การระวังใจถือว่าสำคัญที่สุด เพราะใจเป็นผู้สั่งกายและ วาจา ซึ่งการทำใจให้เป็นผู้ไม่ประมาทนั้นในพระไตรปิฎกอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต เล่ม ๒๑ หน้า ๑๕๕ กล่าวไว้ว่ามี ๔ ประการ คือ
๑. มีสติเครื่องรักษาใจโดยสมควรแก่ตนว่า จิตของเราอย่ากำหนัดในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด
๒. จิตของเราอย่าขัดเคืองในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง
๓. จิตของเราอย่าหลงในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
๔. จิตของเราอย่ามัวเมาในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา
เมื่อบุคคลมีสติ จิตย่อมเกิดความมั่นคงไม่หลงไปตามภาวะแวดล้อม ความไม่ประมาทย่อมเกิดขึ้น
ประโยชน์ของความไม่ประมาท
บุคคลผู้ไม่ประมาทนี้ ถือว่าเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงประโยชน์สูงสุดในชีวิตได้ เพราะความมีสติไม่ประมาทสามารถทำให้บุคคลรู้จักเลือกหลักธรรมต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเหมาะสมพระพุทธเจ้าได้ตรัสในพระไตรปิฎก สังยุตตนิกายเล่ม ๑๕ หน้า ๑๒๒ ว่า
“บุคคลผู้ปรารถนาอยู่ซึ่งอายุ ความไม่มีโรค วรรณะ สวรรค์
ความเกิดในตระกูลสูง และความยินดีอันโอฬารต่อ ๆ ไป
พึงบำเพ็ญความไม่ประมาท
บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ ความไม่ประมาทในบุญกิริยาทั้งหลาย
บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ คือ
ประโยชน์ภพนี้ และประโยชน์ภพหน้า
เพราะยึดไว้ได้ซึ่งประโยชน์ ผู้มีปัญญาจึงได้นามว่า “บัณฑิต”ฯ”
ด้วยความไม่ประมาท เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้บุคคลรู้จักนำหลักธรรมต่าง ๆ มาใช้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ประมาท แม้กระทั่งก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสเป็นปัจฉิมวาจา ดังข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๐ หน้า ๑๕๔ ว่า
“เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”
เรื่องนี้ ดีที่สุดเลยครับ...
ดีมากเลย
หลักธรรมโอวาท 3
หลักธรรมโอวาท 3