บันทึกการเดินทางของคนที่อยากไปเที่ยวแต่ไม่พร้อมเพราะเล่นตัวมากไป ไม่มีกระเป๋าไม่มีเสื้อผ้าแม้แต่แปรงสีฟันก็ม่าย..มี
มึคนเขาชวนไปเที่ยวเขื่อนรัชประภาที่สุราษฎร์ธานี ด้วยความที่ขี้เกียจขับรถตอนกลางคืนเลยปฏิเสธ สมัครพรรคพวกเลยไปยุเจ้าตัวเล็กจนมาร้องห่มร้องไห้ว่าอยากไป ต้องคุยกันอยู่นานว่า พ่อขับรถไม่ไหวบ้าง ไม่ได้เตรียมกระเป๋าบ้าง จนสุดที่รักเจ้าลูกสาวคนเดียวยอมแพ้เลิกงอแงไป พอตะวันคล้อยเลิกงานก็ออกเดินทางจากรัตภูมิ ไปกินเลี้ยงที่พัทลุง(กินจริง ๆ ก็มีคนเลี้ยงลูกพี่ที่รักเออรี่ไปหนึ่งคน) สองทุ่มกว่าทีมที่จะไปเที่ยวเขื่อนก็แอบมากระซิบว่าไม่ไปจริง ๆ หรือ ขับรถตามกันไปสามคัน สิบคน สนุกน่ะ คุณสามีได้สุราเข้าไปหน่อยนึงชักกระดี๊กระด๊า ทำจะขับไหวขึ้นมา เอาน่าเสื้อผ้าไม่มีไม่เป็นไร โลตัสพัทลุงเพิ่งเปิดได้สองวันไปอุดหนุนเขาหน่อย เป็นอันว่าสามคนพ่อแม่ลูกได้ออกเดินทางตามคาราวานคนอยากเที่ยวไปด้วยความทุลักทุเล(เจ้าลูกสาวกลัวถูกหลอกไม่ยอมนั่งรถตัวเอง ไปนั่งคันอื่นเฉย)
แต่ด้วยคนขับสามคันอายุรวมกันเฉลี่ยแล้วประมาณ 50 ปี(ขึ้นไปด้วย) เลยต้องจอดนอนกันที่ปั้มน้ำมันทุ่งสง กางเต้นท์นอนกันในปั้ม 1 หลัง นอนท้ายกระบะ 1 คัน ในรถเก๋งอีก 2 คัน เป็นครั้งแรกที่ได้นอนค้างคืนในรถที่ปั้มน้ำมัน( แย้..ดีใจ มาคันเดียวไม่กล้าน่ะนี่ ) เจ้าลูกสาวก็อึดน่าเห็นใจอาบน้ำครั้งสุดท้ายตั้งแต่เช้าก่อนมาโรงเรียนกับแม่ ได้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดตัวเข้าหน่อยก็หลับสบายไป เหลือแม่กับพ่อที่ร้อนจนนอนไม่หลับ ( อย่าเข้าใจผิดร้อนเพราะอากาศเฉย ๆ อย่าคิดมาก ) กว่าจะหลับได้ก็ปาเข้าเกือบตี 3 หลับ ๆ ตื่น ๆ พอหายง่วง จนตีห้าตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน เข้าร้าน 7 11 ร้านประจำยามเดินทางเพราะไม่เคยท้องเสียกับอาหารเขาเลย ได้กาแฟ+มาม่า ยามหัวรุ่งที่เต็มไปด้วยหมอก บรรยากาศดี๊ดี (อย่า...อย่าอิจฉา ) ร้านข้าวต้มโต้รุ่งเขาก็มี แต่กินไปแล้วตอนตีหนึ่งก่อนนอน (ของเขาอร่อยดี ..ไม่แพงด้วย..ฮิฮิ..แบบคนรักเที่ยวต้องรู้จักประหยัดไง) พลพรรคคันอื่น ๆ ลุกขึ้นมาอาบน้ำในห้องน้ำของปั้มกันทุกคน เน้นน่ะว่าทุกคน มีแต่คันนี้คันเดียวที่ไม่ยอมอาบ เป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอม เดี๋ยวจะดังเพราะเป็นข่าวเหมือนนักร้องสาวคู่หนึ่งที่ถูกแอบถ่ายขณะอาบน้ำในโรงแรม สงสารคนดูน่ะ ไม่ใช่เพราะอาย
หกโมงเช้าออกเดินทางไปตามถนนสายเอเซีย (ทางหลวงหมายเลข41) ถึงสี่แยกเคียนซาเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางเข้า อำเภอย่านตาขุน ถึงตลาดย่านตาขุนเลี้ยวขวาเข้าสู่ที่ทำการเขื่อนรัชประภา เวียนรอบเขื่อนเสียหนึ่งเที่ยวเพื่อดูความใหญ่โตของสันเขื่อน แล้วลงเรือหางยาวขนาด 15คนนั่ง มุ่งหน้าสู่แพที่พักที่จองไว้(ต้องจองน่ะค่ะไม่จองอดนอนจริง ๆ ด้วย เต็มทุกวันหยุดเลยค่ะ) นั่งเรือประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง เป็นแพเปิดใหม่ แบบเรามาเปิดบริสุทธิ์ทีเดียว เจ้าของแพใจดีมาก ๆ ที่พักสะอาด บริการดี อาหารอร่อย ๆ วิวสวย น้ำใส ชื่อแพพันทิวา ( ไม่ได้ค่าโฆษณาหรอกของเขาดีจริง ๆ )
ถึงที่พักประมาณ 11 นาฬิกา ระหว่างรออาหารเที่ยง สิ่งแรกที่ทำคือใส่ชูชีพแล้วกระโดดลงน้ำที่หน้าแพซิค่ะ ก็ 29 ชั่วโมงแล้วที่ไม่ได้อาบน้ำ ยังกลัวปลาแถวนั้นตายเลย จัดการซักเสื้อซักผ้าเป็นการใหญ่ ใครไม่ลงไม่เป็นไร คนนั่งดูเยอะ ก็น้ำลึกตั้ง 30 - 40 เมตร สีเขียวใสแจ๋ว อย่างกับมรกตทีเดียว (อย่าค่ะ..อย่ากลัว ชีวิตอิสระเสรีเหนืออื่นใด มั่นใจเมื่อใส่ชูชีพ ...ก็ว่ายน้ำได้ทนมากระยะทางไม่เกิน 4 เมตร ไม่มีกลัว.. ) เจ้าลูกสาววัย 9 ขวบ ได้ชูชีพก็ทำท่าจะไม่ยอมขึ้นจากน้ำทีเดียว ( ว่ายน้ำไม่เป็นสักจ๋อมเลย..แต่ไม่กลัวน้ำ ) ซักไปซักมาเอ้า..กางเกงขายาวของคุณผู้ชายหายไปไหน แง....เพิ่งได้มาใหม่ด้วย ใครพบเห็นช่วยเก็บมาคืนด้วยน่ะค่ะเผื่อจะลอยขึ้นมาใหม่ (หวังในสิ่งที่ไม่มีหวัง) แดดดี มีไม้แขวนไว้บริการเพียบ เอ๊ะนั่น ลิงตัวใหญ่ของใครแขวนอยู่บนขื่อเอ่ย...ไม่ใช่ของบ้านนี่แน่ ๆ อารายจะบิ๊กไซส์ขนาดนั้น
กินอาหารเที่ยงอิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนซิ จะเฉยอยู่ไย บางคนจับจองชานหน้าที่พักหลับสบายทีเดียว ที่พักเป็นเรือนไม้ไผ่หลังเล็กๆ หลังหนึ่งก็มีห้องนอนที่มีหน้าต่าง ซ้ายขวา 2 บาน ด้านหน้าเป็นผนังกระจกทั้งแผงเลยเห็นวิวตลอดเวลาที่อยากดู และมีชานพักต่างระดับขนาดเตียงคู่ นอนได้สบายมาก ทุกหลังลอยอยู่บนแพไม้ท่อนใหญ่ ๆ ที่ลอยขึ้นมาจากพื้นล่างใต้น้ำ ทางเขื่อนอนุญาตให้นำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ไม้อื่น ๆ ต้องซื้อมาจากที่อื่น เขาไม่อนุญาตให้ตัดไม้ตามเกาะ ( ที่จริงเป็นเขาต่างหาก พอน้ำเต็มเขื่อนเลยกลายเป็นเกาะไป) ทุกหลังเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินหน้าที่พัก ค่าบริการทั้งที่พักและอาหารไม่แพงเลยจริง ๆ
ตกเย็นนั่งเรือไปเที่ยวชมเกาะแก่งต่าง ๆ สวยสมกับที่ได้ยินมาจริง ๆ นั่งไปก็นึกว่าอยู่ในทะเลทุกที นี่ละฝีมือมนุษย์ สร้างได้ทุกอย่างที่อยากสร้างจริง ๆ คิดแล้วก็อดสงสารสัตว์ป่าที่หนีน้ำไม่ทันเนอะ อย่าเศร้า อย่าเศร้า ทุกชีวิตมีกรรมเป็นของตน กรรมใครกรรมมัน ต้องระวังหนทางกรรมของตนกันเอาเองนิ กรรมข้าพเจ้าก็ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอยู่เสมอ หากเคยทำกรรมใดกับใครไว้ขออโหสิกรรมด้วยเถอะ จะได้เป็นสุขเป็นสุขกันทุกคน(ตน)
เป็นอันว่ากลับมาจากชมกุ้ยหลินเมืองไทยก็กินอาหารเย็น แล้วเข้านอนด้วยอากาศหนาวมาก เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพรรคพวกเขานั่งโม้ จิบกาแฟกันจนเที่ยงคืน อิจฉาอ่ะ (แต่ตอนนั้นอยากนอนมากเลยช่างมัน) ตื่นมาตอนดึกได้ยินเสียงเดินไปมานอกกระท่อมน้อย ตามด้วยเสียงแกรกกรากข้างหน้าต่างริมที่นอน โตะใจหมด..ฟังไปฟังมา ไม่รู้ใครมาแอบเอาเรือยางที่ข้างกระท่อมลอยน้ำพายหายไปกับความเงียบ เอ้า...ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะตื่นแต่เช้าออกไปพายเรือ จะได้คืนไหมนี่ โธ๋..อนิจจา รู้งี้พายเสียตั้งแต่ตอนบ่ายก็ดีนิ..คิดมากนอนไม่หลับ หงุดหงิดโจรขโมยเรือ ออกมานอกกระท่อม โอ้โห... ดาวเต็มท้องฟ้าเลย เคยเห็นแบบนี้ที่ภูกระดึงทีนึง สวยมาก ๆ ถึงแม้ดาวที่เขื่อนจะน้อยกว่าและดวงเล็กกว่าที่ภูกระดึงอยู่มาก แต่ก็ยังสวยงามและมากกว่าดาวที่บ้านที่หาดใหญ่เป็นร้อยเท่าเชียว (ไม่ได้โม้) เลยขนหมอนกับผ้าห่มออกมานอนที่นอกชาน เอ ..เมื่อตอนบ่ายได้ยินทีมที่มาด้วยกันแย่งกันจองจะนอนนอกชานนี่นา ไม่ยักจะเห็นสักคน ไม่แน่จริงนี่นา...คนแน่จริงจัดแจงล้มตัวลงนอนดูดาวได้สักพัก....เงียบมาก....มืดด้วย.....ไม่มีใครสักคน.........อูยหนาวชะมัด...........คิดดีแล้วหรือเราที่มานอนอยู่ริมน้ำคนเดียวแบบนี้เกิดหลับจริง ๆ แล้วมี........ว้าย กลับเข้าไปนอนในกระท่อมตามเดิมดีกว่า เปิดผ้าม่านดูจากด้านในอุ่นใจดี...แฮะ ๆ รู้แล้วทำไมพวกที่จองนอนข้างนอกหายกันหมดเลย
รอจนแสงอรุณแรกเบิกฟ้ารีบล้างหน้าแปรงฟัน ใส่ชูชีพ เดินตามหาเรือยาง ไม่ม่..ริมกระท่อมหลังไหนก็ไม่มี มันอยู่ไหน...โน้นเลย...ใครกันพายไปจอดไว้อีกฟากซึ่งเป็นแพใหม่ยังไม่เปิดบริการ ไม่มีทางเดินเชื่อม ขโมยไปได้ เราก็ขโมยกลับได้ น้องผู้หญิงที่ไปด้วยกันอีกคนเชียร์ใหญ่ให้ไปเอากลับมา ข้าพเจ้าเลยสวมวิญญาณโจรจำเป็นว่ายน้ำข้ามฝั่งไปปีนขึ้นเรืออย่างทุลักทุเล ดีที่มีขอนไม้ใหญ่มีรูพอยึดเกาะไต่ขึ้นจากน้ำได้กว่าจะขึ้นเรือได้เล่นเอาขาเขียวเลย
หลังจากพายเรือเล่นจนหนำใจแล้วก็เหลือบไปเห็นผู้ที่นำเรือไปเมื่อคืนนั่งกอดเข่าอยู่หน้าแพกลับมาไม่ได้มองเรือตาละห้อยเชียว ด้วยความรู้สึกผิดจึงบอกให้น้องผู้หญิงอีกคนที่กำลังพายเรือเล่นอยู่ช่วยไปรับกลับที เป็นอันหายกัน
เล่นน้ำ กระโดดน้ำกันจนชุ่มปอด ป้า ๆ ทั้งหลายที่ไปไม่มีใครอยากกลับเลย เจ้าของแพก็ใจดีมาก ๆ บอกว่าพรุ่งนี้เป็นวันเปิดแพอย่างเป็นทางการ กินฟรีอยู่ฟรี แง...อยู่ไม่ได้พรุ่งนี้ต้องพานักเรียนไปทำบุญเดือนสิบรับตายายที่วัด ไม่ไปไม่ได้ผอ.เอาตายเลย คนอื่น ๆ ขึ้นจากน้ำไปแต่งตัว เอากาแฟมาดื่มกันที่หน้าที่พักรอข้าวต้มยามเช้า เลยขอบริการโอวัลติน จากสามีสุดที่รักก็อยากเลียนแบบฝรั่งในทีวีมั่ง พี่ท่านใจร้ายไม่เอาให้ (จำไว้วันหน้าจะไม่พาไปเที่ยวเลยคอยดู วันพระไม่ได้มีหนเดียว) แต่โชคดีน้องสาวคนสวยทั้งรูปงามทั้งน้ำใจไปเอามาบริการให้ครบทั้ง 4 คนเลยได้จิบโอวัลตินขณะนั่งแช่อยู่บนขอนไม้ในน้ำดั่งใจอยาก
อูย...หนาว.....ถึงเวลากลับบ้านทุกงานเลี้ยงย่อมมีการเลิกลา ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก บอกลาเจ้าของแพ ก็เดินทางกลับบ้าน...บ้านใครบ้านมัน ....พบกันใหม่เมื่อใจต้องการ...ขอบคุณสำหรับสิ่งดี ๆ ที่ยังหลงเหลือให้ชื่นชมในโลกใบนี้
อยากไปบ้างจังครับ อิอิ
อยากไปก็เก็บกระเป๋าก้าวเดินกันเลยอย่าคิดมาก ภาระและงานการไม่เคยมีวันหมด อย่ารอจนเดินไม่ไหวล่ะ...เมืองไทยมีที่ดี ๆ อีกเยอะ
ไปที่ไหนแล้วจะมาเขียนให้อ่านอีก ขอบคุณที่มาเยี่ยมมาก ๆ
เห็นด้วยที่สุด ภาระงานไม่มีวันหมด อย่าคิดว่าเก็บเงินไปเที่ยวเมื่อพร้อม เพราะเมื่อถึงวันนั้นเงินที่เก็บไว้ล้นกระสอบก็ไปไม่ได้เพราะสังขารไม่ให้... ดังนั้น ตอนนี้ถ้าพอมีเงิน มีเพื่อนที่รู้ใจบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ย้ำ..ไม่ต้องเป็นคนสำคัญก็ได้... ไปกันเลย อย่าวางแผนนานเดี๋ยวจะอดไม่รู้ด้วยนะ... บังเอิญ (บังเอิญ.. ไม่ตั้งใจที่จะบังเอิญเลย) ไม่มีครอบครัว ชีวิตเลยมีแต่ทำเพื่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่... มีความสุขมากค่ะ จะไปไหนมาไหนไม่ต้องรายงานใคร ไม่ต้องขออนุญาตใคร ไม่ต้องรอว่ามีใครรอเราอยู่... มีโอกาสเที่ยวตลอด .. แต่แอบเที่ยวนะไม่อยากบอกใคร ตอนนี้กำลังเงี่ยหูฟังว่าใครเคยไปเที่ยวที่ไหน มีที่ไหนดี ๆ บ้างจะได้ไปเที่ยวอีก... เขื่อนรัชชประภา ไปมาแล้วค่ะ สวยจริง ๆ... ไปเป็นกลุ่ม ขับรถตามกันไป 2 คัน มันมาก ตอนไปมีคนที่กำลังศึกษาอยู่ด้วย สุดท้ายกลับจากเขื่อนได้ข้อสรุป... ทางใครทางมัน... รู้สึกอิสระยิ่งกว่าวันนั้นของเดือนค่ะ...
บรรยากาศดี๊ดี (อย่า...อย่าอิจฉา )
มาบอกว่า ขออนุญาต อิจฉา ๆๆ (นิดๆ ) อิ อิ อิ
เพิ่งได้เริ่มเข้ามาอ่านค่ะ คุณเตี้ยเสี่ยวเหม่ย เขียนเล่าบันทึกได้สนุกนะคะ
สีเขียวใสแจ๋ว อย่างกับมรกตทีเดียว (อย่าค่ะ..อย่ากลัว ชีวิตอิสระเสรีเหนืออื่นใด มั่นใจเมื่อใส่ชูชีพ ...ก็ว่ายน้ำได้ทนมากระยะทางไม่เกิน 4 เมตร ไม่มีกลัว.. ) ใช่ค่ะ ชีวิตอิสระเสรีเหนืออื่นใด มั่นใจเมื่อใส่ชูชีพ..... อิ อิ อิ
ขอบคุณที่เขียนบันทึกนี้นะคะ........................