นำบทความที่ลงมติชน วันที่ 25 ตุลา 51 มาให้อ่านค่ะ
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ทบทวน
สายพิน แก้วงามประเสริฐ
ผ่านวันสำคัญทางประวัติศาสตร์มาไม่นาน คือวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ตำราเรียนประวัติศาสตร์แทบไม่อยากบันทึกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น หรือถ้าบันทึกไว้ก็บันทึกแบบเสียไม่ได้ว่าเกิดการนองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เป็นเหตุทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร แต่ไม่มีรายละเอียด ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ว่าเพราะเหตุใดคนไทยถึงได้เผชิญหน้ากัน เกิดการเข่นฆ่ากันครั้งใหญ่สุดในเมืองหลวงของประเทศไทย
ผ่านเหตุการณ์นั้นมา 30 กว่าปี สังคมไทยยังไม่เคยทบทวนว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้น แล้วทำอย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งเราไม่ได้ทั้งให้คนรุ่นต่อมาได้ศึกษาทบทวนหรือถกเถียงเพื่อให้เกิดการใช้วิจารณญาณกันสักเท่าไร
อีกไม่กี่วันก็จะครบรอบ 35 ปี เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเรายกย่องว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญของชาติ เนื่องจากส่งผลให้ประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้มีรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2517 หลังจากที่รัฐบาลในเวลานั้นงดเว้นการใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นเวลานาน
หลังเหตุการณ์นี้สิทธิเสรีภาพของประชาชน นิสิต นักศึกษาเบ่งบาน เกิดความตื่นตัวในการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพเพิ่มมากขึ้น น่าจะทำให้ประเทศไทยเดินไปได้อย่างสวยงามมั่นคง พราะความเป็นประชาธิปไตย ควรส่งผลให้เกิดความมั่นคงทางการเมือง ย่อมทำให้ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข
แต่ห่างเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มาเพียงไม่กี่ปี ความแตกแยกทางความคิดของผู้คนในสังคม ตลอดจนความหวาดระแวงที่มีต่อกัน ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันครั้งใหญ่ ที่กลายเป็นบาดแผลทาง ประวัติศาสตร์ที่เกิดการเข่นฆ่ากันในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ผลของเหตุการณ์นี้สืบเนื่องต่อมาอีกหลายปี ที่ทำให้ความแตกแยกทางความคิดกลายเป็นการแบ่งขั้ว ความเป็นประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ จนต้องหันไปจับอาวุธต่อสู้กันเองอยู่หลายปี
ในที่สุดก็พบว่าการใช้ความรุนแรงไม่อาจทำให้ความแตกแยกทางความคิดยุติลงได้ การเรียนรู้จึงเกิดขึ้น แล้วพบว่าวิธีการหันหน้าเข้าหากันอย่างสมานฉันท์ จะทำให้ความสูญเสียลดน้อยลงไป และการหันมาร่วมมือร่วมใจกัน น่าจะทำให้ประเทศไทยดำเนินต่อไปได้อย่างสวยงาม
16 ปีต่อมา ประเทศไทยกลับเข้ามาสู่วังวนเช่นเดิม หลังเกิดการปฏิวัติรัฐประหารไม่นาน เกิดการชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง แล้วจบลงด้วยการที่รัฐเลือกใช้ความรุนแรง จึงทำให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ ชีวิตผู้คนจำนวนไม่น้อย กลายเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่า เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
หลังเหตุการณ์นี้เกิดกระแสเรียกร้องให้มีกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แทนฉบับที่ร่างภายใต้คณะปฏิวัติรัฐประหาร จึงทำให้เกิดรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 ซึ่งได้รับการยอมรับในระยะแรกว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากฉบับหนึ่ง
แต่ประเทศไทยก็ไม่อาจยินดีปรีดากับสิ่งเหล่านี้ได้นาน เพราะความแตกแยกทางความคิดของผู้คนในสังคม ณ พ.ศ. ปัจจุบัน รุนแรงมากกว่าครั้งใด ๆ ที่แบ่งให้คนในสังคมไม่ว่ากลุ่มใด อาชีพใด แทบจะถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือถ้าคิดไม่เหมือนเราก็ไม่ใช่พวกเรา และมองกันเหมือนเป็นศัตรูที่ไม่อาจประนีประนอมหรือสมานฉันท์กันได้ ต่างฝ่ายต่างมุ่งเน้นเอาชนะคละคลานกัน ถือว่าตัวเป็นฝ่ายดี ฝ่ายถูก และรักชาติแต่เพียงฝ่ายเดียว
การประกาศครั้งแล้วครั้งเล่าถึงชัยชนะ ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายก็ตาม แต่กลับไม่คิดว่ายิ่งมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ย่อมเป็นชัยชนะท่ามกลางความพ่ายแพ้ของประเทศชาติ
น่าเศร้าใจอยู่ไม่น้อยที่ก่อนหน้านี้ แม้แต่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านที่ได้ชื่อว่าการเมือง ความเป็นประชาธิปไตยยังไม่ก้าวหน้าเทียบเท่าไทย ถึงกลับเอ่ยปากว่า ไม่เข้าใจว่าการเมืองไทยเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่คนไทยยังคงแบ่งฝักฝ่ายเพื่อเอาชนะคละคลานกัน ทำให้ดูเหมือนกลับว่าแต่ละฝ่ายไม่อยากให้ประเทศดำเนินต่อไปได้ เหมือนนานาอารยประเทศ
ล่าสุดเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 มีผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยปิดล้อมรัฐสภา เพื่อไม่ให้รัฐบาลได้เข้ามาแถลงนโยบาย ดังนั้นในช่วงเช้าตำรวจจึงได้เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร โดยการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งทำให้คนได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง เมื่อรัฐบาลเข้าไปแถลงนโยบายได้แล้วปรากฏว่าฝ่ายพันธมิตรได้ใช้โซ่ล่ามประตูรัฐสภา ทำให้สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรี ส่วนหนึ่งไม่สามารถกลับออกไปได้
การสลายการชุมนุมด้วยการใช้ความรุนแรงจึงเกิดขึ้น ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับผู้ชุมนุม จนกระทั่งมีผู้บาดเจ็บล้มตาย ซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ยังมีเหตุการณ์สำคัญหลายครั้งหลายครา ที่เกิดการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงกับ เจ้าหน้าที่ของรัฐ แล้วผลสุดท้ายจบลงด้วยการใช้ความรุนแรง
แม้ว่าครั้งนี้ยังไม่อาจทำให้เหตุการณ์จบลงก็ตาม แต่เราจะพบว่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมา ไม่เคยทำให้คนในสังคมไทยเกิดการเรียนรู้ ทบทวนความผิดพลาดในอดีต ที่ควรแก่การระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้สถานการณ์เช่นในอดีต ที่ถือเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์เกิดขึ้นอีก
การไม่รู้จักทบทวนเท่ากับว่าการเรียนประวัติศาสตร์ทั้งในโรงเรียนและในสังคมล้มเหลว เพราะไม่อาจสอนให้คนไทยใช้บทเรียนจากประวัติศาสตร์ได้จริง ๆ อีกทั้งยังพบการสร้างเงื่อนไขที่ควรจะรู้อยู่แก่ใจว่าอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรง ตลอดจนความไม่พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเท่าที่ควรจะทำ อย่างยิ่งยวดของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เมื่อเป็นดังนี้จึงควรเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ต้องหันมาทบทวนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ให้เป็น บทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคมไทย และไม่จำเป็นต้องทำให้ประวัติศาสตร์เดือนตุลาคมซ้ำรอย กลายเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ของเดือนตุลาคม 2551ไว้ให้ลูกหลานต้องทบทวน จดจำอยู่ร่ำไป
เห็นด้วยค่ะ วอนประวัติศาสตร์อย่าซ้ำรอยเลย