เพิร์ค จัดอันดับสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองของไทยสูงเป็นอันดับ 2 รองจากอินเดีย สำหรับอันดับปท.เอเชีย ชี้ความเสี่ยงทางการเมืองสูงเป็นภัยคุกคาม กระทบถึงสังคมและเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมือง หรือเพิร์ค ในฮ่องกงประเมินความเสี่ยงทางการเมืองของประเทศ 16 ประเทศในเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2552 ระบุ ไทย อินเดีย และมาเลเซีย ครองอันดับสูงสุดของประเทศที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงทั้งทางการเมืองและสังคม
ทั้งนี้เพิร์คได้ประเมินจากปัจจัยต่างๆ อาทิ ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเฉียบพลัน ภัยคุกคามจากลัทธิเคลื่อนไหวเชิงสังคม ความเปราะบางจากผลกระทบที่ได้รับจากการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลประเทศอื่นๆ แล้วนำมาให้คะแนนโดยประเทศที่ได้ 0 ถือว่ามีความเสี่ยงน้อยที่สุด ไปจนถึง 10 คือประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด
เพิร์คจัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 2 ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดในเอเชียที่ 6.28 คะแนน เนื่องจากเห็นว่าความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศน่าจะลากยาวต่อไปจนถึงปี 2552 และบ่อนทำลายสถาบันหลักของประเทศ
ขณะที่อินเดียครองอันดับ 1 ที่ 6.87 คะแนน เพราะความไม่แน่นอนถึงผลการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า และความเสี่ยงที่อาจเกิดความวุ่นวายและการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธ ส่วนมาเลเซียอยู่ในอันดับ 3 จากปัญหาการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง และสภาพการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะทำให้มีฝ่ายค้านที่เข้มแข็งขึ้น
อินเดีย ไทย และมาเลเซีย ไม่ได้เปราะบางต่อผลกระทบด้านลบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกในขณะนี้ แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญกว่านั้นคือปัญหาภายในประเทศ สำหรับประเทศเหล่านี้วิกฤตเศรษฐกิจเพียงแต่จะทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้วเลวร้ายลงไปอีกเท่านั้น นายโรเบิร์ต บอร์ดฟุต กรรมการผู้จัดการเพิร์คระบุ
สำหรับประเทศและเขตเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงและมีความเสี่ยงทางการเมืองน้อยที่สุดคือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม
ขณะที่สหรัฐซึ่งเป็นต้นกำเนิดของวิกฤตครั้งนี้จะมีความอ่อนแอลงทั้งในทางเศรษฐกิจและจิตวิทยา บทบาททั้งในด้านการเมืองและการทหารของสหรัฐจะลดต่ำลง และจะลดความกร้าวร้าวในการผลักดันนโยบายของสหรัฐต่อประเทศต่างๆ ลงด้วย นอกจากนี้สหรัฐยังต้องพึ่งพาพันธมิตรสำคัญในภูมิภาคเอเชียอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลียมากขึ้นด้วย
สำหรับจีนซึ่งได้รับคะแนน 5.33 ในปี 2552 รัฐบาลจะต้องพยายามรักษาพลวัตรในการเติบโตทางเศรษฐกิจและกระตุ้นความต้องการภายในประเทศเพื่อรับมือกับการส่งออกที่ลดน้อยลง
ที่มาจากการฟังข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ และ
สวัสดียามเช้าค่ะ
สวัสดีครับ ขอบคุณสาระดีดีครับ