จิตสำนึกสาธารณะ กับศรัทธาทางศาสนาและศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะมีวิธีวิเคราะห์ให้เห็นความหลากหลายและวางแนวการพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเหมาะสมต่อกลุ่มประชาชนพลเมืองอย่างไร ?
เมื่อวานนี้มีอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังทำวิจัยให้กับสถาบันพระปกเกล้า เพื่อหาความรู้และพัฒนาข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาบทบาทของการเมืองและการบริหารท้องถิ่นในการทำงานแนวประชาคม เน้นการทำงานสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วยจิตสำนึกสาธารณะ โดยมีคำถามการวิจัยสำคัญ ๒ ประเด็น คือ
๑. ในกลุ่มคนที่ทำงานส่วนรวมเรื่องต่างๆในแนวประชาคมและทำงานด้วยจิตสาธารณะ ซึ่งมีอยู่ในชุมชนตามท้องถิ่นต่างๆ และมีการทำงานต่อส่วนรวมอยู่นอกองค์กรภาครัฐ เป็นการทำให้ชีวิตส่วนรวมของสังคมเข้มแข็งขั้น เราจะสามารถพัฒนาองค์กรท้องถิ่นและการพัฒนาภาคการเมือง การบริหาร ของท้องถิ่น ให้ทำงานสนับสนุน และส่งเสริมให้แพร่หลายมากขึ้นได้อย่างไร ?
ตัวอย่างการรวมกลุ่มกันของคนที่เขามีจิตสาธารณะ รวมทั้งมีความสำนึกต่อการเป็นพลเมืองที่มีหน้าที่ต่อการสร้างความเป็นส่วนรวมของสังคมและถิ่นฐานที่อยู่อาศัยด้วย เช่น กลุ่มอาสมัครทำงานสังคมในเรื่องต่างๆเพื่อคนด้อยโอกาส กลุ่มทำงานสิ่งแวดล้อม กลุ่มอนุรักษ์ เครือข่ายเคลื่อนไหวทางัสงคมตามประเด็นต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น
๒. ส่วนหนึ่งของคนทำงานแนวนี้ อาจเป็นคนของภาครัฐและบุคลากรขององค์กรท้องถิ่น ที่สามารถทำงานในแนวทางใหม่ๆและเปิดกว้างออกไปสู่ภาคประชาชน ถือว่าเป็นบุคลากรภาครัฐที่ทำงานกับชุมชนและประชาชนในแนวราบ สอดคล้องกับความจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศในอนาคต เราจะมีแนวทางส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาองค์กรท้องถิ่นให้เอื้อต่อการเกิดคนทำงานในแนวนี้ให้มากขึ้นได้อย่างไร ?
โดยมีบริบทและเงื่อนไขแวดล้อมที่สำคัญมาให้ช่วยขบออกมาจากทรรศนะของผมด้วยว่า หากการมีแนวนโยบายและแนวการทำงานดังกล่าว ให้วางอยู่บนรากฐานของสังคมไทย โดยเฉพาะศาสนา และศรัทธาต่อสถาบันทางสังคม โดยเฉพาะต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะต้องมองอย่างไรที่จะทำงานในแนวทางนี้ให้หลักคิดต่างๆสอดคล้องและเชื่อมโยงกันให้สังคมเข้มแข็ง
ก็เหมือนการสัมภาษณ์ปลายเปิด ซึ่งเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ จากทรรศนะ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของนักวิชาการตามที่นักวิจัยสุ่มเลือกไปตามหลักเณฑ์ทางวิชาการ เพื่อนำไปวิเคราะห์ประเด็นเชิงเนื้อหาและประเด็นหลักการ (Contents analysis and Thematic analysis) แต่บรรยากาศการคุยก็เป็นการแลกเปลี่ยนสนทนา สลับกับการตอบเหมือนสอบสัมภาษณ์ กึ่งๆสบายกึ่งๆแข็งๆ แต่ก็ได้เรียนรู้เหมือนเป็นเพื่อนกันทางวิชาการไปด้วย
ผมได้แบ่งให้เห็นแนวในการพิจารณาให้เห็นว่า บนพื้นฐานของความศรัทธานั้น ต้องเห็นลักษณะของคนมีส่วนร่วมและแสดงออกในสังคมต่อแนวคิดเรื่องบุญกุศลและความศรัทธา ใน ๒ ลักษณะและ ๒ วิถีก่อน แล้วจึงจะสามารถเห็นแนวการทำงานที่ต้องเน้นพัฒนาความเป็นหน่วยบริการขององค์กรท้องถิ่นสำหรับกลุ่มประชาชนที่ยังมุ่งเป็นผู้บริโภคบริการของส่วนรวมและเป็นผู้ตาม พร้อมกับพัฒนาการเรียนรู้ทางสังคม กับเน้นบทบาทการเป็นผู้สนับสนุนสำหรับปัจเจกและกลุ่มประชาชนที่มีภาวะความเป็นพลเมืองผู้มีจิตสาธารณะและลุกขึ้นมามีส่วนร่วมทำความจำเป็นของส่วนรวม ในวิถีประชาคม
ควรพิจารณาให้เห็นการมีส่วนร่วมที่สะท้อนวิธีคิดและวิถีปฏิบัติที่ต่างกัน เพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เหมาะสม คือ...........
การทำบุญกุศลด้วยสำนึกสาธารณะกับบุญกุศลแบบติดกรอบตัวตน : ในกิจกรรมทางศาสนาและการทำบุญกุศลนั้น ผู้คนที่ทำกิจกรรมเพื่อเป็นบุญกุศลสำหรับตนเอง มุ่งทำเพื่อตนเอง สร้างความเป็นตัวกูของกูและสะท้อนความเป็นผู้มีจิตสาธารณะแคบลง ในลักษณะนี้ก็เป็นแบบแผนหนึ่ง ซึ่งเป็นการทำบุญกุศลก็จริง แต่ไม่จัดว่าเป็นการทำออกมาจากความมีจิตสาธารณะ ตัวกิจกรรมอาจเป็นส่วนรวมอยู่ในตัวเอง แต่การปฏิบัติไม่ได้สนใจด้านที่เป็นส่วนรวม ทว่า สนใจด้านที่เป็นความดีและความสุข ความพอใจแก่ตนเอง การบรรลุเป้าหมายในจินตภาพตนเอง
ปัจเจกและกลุ่มประชาชนพลเมืองอย่างนี้ ต้องเน้นการพัฒนาหน่วยบริการ และพัฒนาการมีส่วนร่วมให้ผสมผสานการเรียนรู้ทางสังคม ให้มากขึ้น
อีกแบบแผนหนึ่ง ในทุกแห่ง ทุกท้องถิ่น ทุกชุมชน ก็จะมีปัจเจกและการรวมตัวของกลุ่มคนอีกแบบหนึ่ง ที่เห็นความเป็นส่วนรวมและความเป็นชีวิตของสาธารณะของศาสนาและกิจกรรมที่ทำเพื่อเป็นบุญกุศล อีกทั้ง เห็นความอันหนึ่งอันเดียวกันว่า ปัจเจกจะสามารถบรรลุเป้าหมายชีวิตและเกิดความสุขแก่ตนเองได้นั้น ต้องไปช่วยกันสร้างความเป็นส่วนรวมสำหรับการอยู่ร่วมกันของผู้คนให้มีความสุข
ที่บ้านผม หรือที่ชุมชนอำเภอพุทธมณฑล และหลายชุมชน มีการทำกิจกรรมที่เป็นการทำบุญกุศลอีกในแบบแผนหนึ่ง ที่มีคนช่วยระดมพลังกันดูแลกิจกรรมศาสนาและการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพราะมาจากวิธีคิดว่าทำเพื่อตนเอง ทว่า มุ่งทำเพื่อจรรโลงและสืบทอดสิ่งดีให้แก่ส่วนรวม ทำเพื่อดูแลส่วนรวม
การทำบุญกุศลอย่างเดียวกัน ทว่า ออกมาจากวิธีคิดและวิธีปฏิบัติของตนเองที่มุ่งต่อกิจกรรมทางศาสนาในฐานะการสร้างความเป็นส่วนรวม อย่างนี้ เป็นการทำบุญกุศลและทำนุบำรุงพระศาสนาด้วยจิตสำนึกสาธารณะ ปัจเจกและกลุ่มคนอย่างนี้ ต้องสนับสนุนให้เขามีบทบาทการทำหน้าที่ต่อส่วนรวมและจัดกลไกรองรับอีกแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถเป็นเครือข่ายบริการสาธารณะร่วมกับท้องถิ่น ในสิ่งที่เขาจะทำได้ดีกว่า และสังคมท้องถิ่นก็จะมีความหลากหลยและเข้มแข็งมากขึ้น
ความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยสำนึกสาธารณะกับศรัทธาที่ติดกรอบตัวตน : สังคมไทยมิกิจกรรมและความเคลื่อนไหวทั้งสังคมหลายครั้งที่เห็นถึงความเป็นกลุ่มก้อนและพร้อมเพรียงกันอย่างมหาศาล เช่น การใส่เสื้อเหลืองแสดงความศรัทธาต่อพระมหากษัตริย์ แต่เราจะเห็นว่า ผู้คนมากมายเกินจินตนาการเหล่านั้น ทำไมมีพลังไม่ทัดเทียมสำหรับแก้ปัญหาความขัดแย้ง หรือวิกฤติเล็กๆน้อยๆร่วมกันในสังคมได้
กรณีอย่างนี้ อาจพิจารณาได้อย่างหนึ่งว่า พลังมหาชนที่แสดงความศรัทธาในลักษณะดังกล่าว เห็นการแสดงความศรัทธาเป็นการทำความดีให้แก่ตนเองอย่างหนึ่ง แต่ยังเชื่อมโยงกับสำนึกต่อส่วนรวมไม่ได้เช่นเดียวกัน ก็ต้องมองเพื่อยกระดับการพัฒนาการมีส่วนร่วมขึ้นจากความเป็นจริงของสังคมในลักษณะดังกล่าวนี้
แต่ความเคลื่อนไหวของสังคม ชุมชน และกลุ่มคนหลากหลายอีกจำนวนหนึ่ง ก็จะเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์คือความเป็นส่วนรวมของผู้คนทุกคน ดังนั้น การทำหน้าที่ต่อส่วนรวมด้วยพลังแห่งความศรัทธา ก็จะเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของการแสดงอุดมคติและความศรัทธา กับความมีจิตสำนึกต่อส่วนรวม จิตสำนึกสาธารณะ ลักษณะอย่างนี้ก็มีอยู่จริงในชุมชนและท้องถิ่นต่างๆ เช่นกัน การสนับสนุนขององค์กรท้องถิ่นก็จะต้องเป็นไปอีกแนวทางหนึ่ง
ผมเคยออกแบบกระบวนการวิจัยสร้าง อาสามัครพลเมืองสูงวัย เพื่อเป็นรูปแบบการทำงานเครือข่ายชมรมผู้สูงอายุระดับจังหวัด ของเมืองกาญจนบุรี เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้แต่เล่นกับวิธีคิดที่ใหญ่และสวนกระแสสังคม เนื่องจาก สังคมและผู้คนส่วนใหญ่ กับผู้สูงวัยโดยทั่วไป มักมีวิถีปฏิบัติที่น่าจะเปลี่ยนแปลงได้แล้วสองอย่างคือ
สังคมและผู้คนมักเดินเข้าไปหาผู้สูงอายุ เพราะผู้สูงอายุมักมีบารมี มีอำนาจ มีความสำเร็จ มีลูกหลาน มีเงินทองสะสม หากเข้าไปทำงานชุมชน ก็มักเข้าไปหาผู้สูงอายุพอเป็นพิธีเพื่อขอการสนับสนุน เข้าไปขอให้บริจาคทำบุญเพื่อชาติหน้า เหล่านี้เป็นต้น ทำอย่างไรจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุได้เพียงแค่นี้
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มผู้สูงอายุในท้องถิ่น บางทีก็เป็นข้าราชการเกษียณ เป็นนักธุรกิจ เป็นเจ้าสัวในภูมิภาค หากรวมกลุ่มเพื่อจัดองค์กรเพื่อผู้สูงวัย เพียงรวมตัวกันได้คนสองคนเท่านั้น บารมีมากมาย ก็จะทำให้คนทั้งอำเภอ หรือทั้งจังหวัด หรือบางทีทั้งภูมิภาคของประเทศ ก็ไม่กล้าขัดใจหรือขึ้นเสียงให้เป็นการขัดแย้งแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับสังคมและวัฒนธรรมไทย
ดังนั้น การหารูปแบบ ให้เกิดวิธีทำงานต่อส่วนรวมด้วยอาสาสมัครพลเมืองสูงวัย หรือกลุ่มจิตอาสาของผู้สูงอายุ ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการได้วิธีคิดและแนวปฏิบัติใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงออกจากสิ่งที่เคยเป็นมา
ครั้งหนึ่ง ผมจัดกลุ่มพลเมืองอาสาอาวุโส ไปดูงานและเรียนรู้ชุมชน รวมทั้งการทำงานของกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดกาญจนบุรี ปรากฏว่า ที่นั่นมีกิจกรรมของผู้สูงอายุที่สอดคล้องกับแนวคิดที่เราต้องการทำ คือ กลุ่มอาสาสมัครผู้สูอายุ ที่รวมตัว พัฒนาตัวเอง จนเป็นเครือข่ายกระจายออกไปดูแลผู้สูงอายุในชุมชนได้ตั้งหลายเรื่อง
และโครงการหนึ่งคือ การออกไปสำรวจ เรียนรู้ชุมชน เข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุยากไร้และมีปัญหาขั้นวิกฤติ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ องค์กรท้องถิ่น อสม เครือข่ายผู้นำชุมชน และกลุ่มอาสาสมัครผู้สูงวัย เขามีโครงการหนึ่ง ซึ่งทำและยกระดับขึ้นเป็นโครงการทำเพื่อเทอดพระเกียรติในหลวง คือ โครงการระดมทำบ้านเพื่อผู้สูงอายุยากไร้ ถวายให้ในหลวง ทำได้ตั้ง ๓ หลังสำหรับผู้สูงอายุยากไร้ ๓ คน
จากนั้นก็มีการอาสาแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนและดูแลกัน ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองและบรรลุความจำเป็นพื้นฐานของตนเองและด้วยตนเองได้ระดับหนึ่ง เป็นสุขภาพพอเพียงอย่างหนึ่ง
ลักษณะอย่างนี้ จัดว่าเป็นการปฏิบัติเพื่อศรัทธาครับ และเห็นความเป็นส่วนรวมของสถาบันหลักของสังคม ความศรัทธา และการปฏิบัติเพื่อแสดงพลังความศรัทธาดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นอีกอย่างหนึ่งคือเป็นการปฏิบัติด้วยจิตสำนึกสาธารณะ
สิ่งที่อยู่ในอุดมคติและเป็นความศรัทธา อันได้แก่ในหลวง ก็จะทรงเหน็ดเหนื่อยและถูกอ้อนวอนน้อยลง ประชาชนก็มีกำลังใจกำลังศรัทธา พึ่งตนเอง ร่วมสร้างสังคมให้เข้มแข็งขึ้นเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระน้อมเกล้าในหลวง และเกิดการเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเองอย่างพอเพียง สนองต่อแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย
โดยวิธีคิดวิธีพิจารณาอย่างนี้ ก็จะทำให้เรามารถระบุกลุ่มคนเพื่อพัฒนาแนวทำงานกับส่วนรวมให้เหมาะสม ได้สอดคล้องกับความหลากหลายของสังคมได้มากยิ่งๆขึ้น
องค์กรท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐที่อยู่ในพื้นที่ชุมชนต่างๆ ก็ควรจะมีบุคลากรและแผนกที่สามารถทำหน้าที่พัฒนาการมีส่วนร่วมของชุมชนในลักษณะดังกล่าวนี้ให้เหมาะสม หรืออาจเริ่มพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือ สนับสนุนให้กลุ่มและองค์กรที่ทำงานแนวจิตสาธารณะ เป็นหน่วยประกอบการและจัดการธุรกิจเชิงสังคม ซึ่งก็จะทำให้องค์กรท้องถิ่นเป็นกลไกปฏิรูปแลเปลี่ยนแปลงสังคมให้เข้มแข็งที่ระดับฐานราก