หลังจากที่กลับมาจากเชียงราย ก็เข้าออฟฟิศก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยกลับเข้าบ้าน แต่เมื่อก้าวเข้าเขตชายคาออฟฟิศแล้วรู้สึกแปลกใจที่พนักงานกะเช้ายังไม่มาทำงาน
ดูนาฬิกาเวลาเลยกำหนดมาชั่วโมงกับอีกสิบนาทีแล้ว และก็เสียสติทำให้ลืมตัวพลอยโมโหเล็กน้อยว่า "ทำไมถึงเหลวไหลอย่างนี้..."
จากนั้นพยายามติดต่อไปยังพนักงานแต่ก็สายไม่ว่างตลอดเกือบครึ่งชั่วโมง จิตที่เคยคิดต่อว่าพนักงานก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ กลายเป็นความห่วงเกรงว่าจะเกิดอุปัทวเหตุอะไรสักอย่างเพราะประวัติพนักงานไม่เคยเหลวไหล
สักพักใหญ่ได้รับการติดต่อมาจากพนักงานอีกว่า น้องที่จะเข้าเวรเช้ามาไม่ได้เพราะถูกกระชากกระเป๋า...
ตกใจมาก และเป็นห่วงพนักงานมาก เพราะตัวเราเองยังเคยประสบเหตุลักษณะนี้มาแล้ว เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้วก็คิดหาทางออกให้กับพนักงาน วันนี้คงให้หยุดงานไปก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันใหม่
ในใจคงจะช่วยเหลือด้านการเงิน, ขวัญกำลังใจ และการย้ายที่พักให้ปลอดภัย
แต่อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา พนักงานที่ประสบเหตุโทรเข้ามาอีกทีนี้จะขอลาออก เพราะทำอะไรไม่ถูก จะกลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัดอย่างเดียว ไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย
สรุปแล้วก็บอกให้พนักงานเข้ามาคุยกันก่อน แนะนำข้อคิดต่าง ๆ มากมายก็แล้ว ไม่มีอะไรดีขึ้น สภาพจิตใจแย่ลงอย่างเห็นชัด คิดถึงแต่แม่เท่านั้น ในที่สุดก็ให้เขียนใบลาออกไม่ลงวันที่ และใบลาโดยกำหนดวันเป็นเวลา 7 วัน และที่พนักงานนั้นมีความกลัวมากคือ เหตุการณ์ที่มากกว่าการจี้ชิงธรรมดา แต่โชคดีมีคนผ่านมาผู้ร้ายจึงรีบขึ้นรถหนีไป
โดยให้พักเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อน ถ้าเข้าที่เข้าทางแล้วค่อยกลับมาทำงาน แต่ถ้าต้องการลาออกก็จะลงวันที่ให้ภายหลัง ตามความต้องการของพนักงานเอง...
นอกจากนี้ได้ให้ข้อคิดไปว่า เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว และก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีเหตุอะไรเกิดอีกแล้ว แต่ถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่เกิด เราจะเป็นทุกข์ และเมื่อเราเล่าสู่พ่อ-แม่ฟังท่านก็เป็นทุกข์ และทุกข์มากกว่าเรา อยากให้นำเอาสิ่งที่เกิดในอดีตเป็นประสบการณ์สำหรับปัจจุบัน และเป็นแนวทางสำหรับอนาคต แต่ถ้ายึดมั่นแต่อดีตก็จะเสียอนาคต...
จากสถานการณ์ข้างตนเลยมานั่งคิดต่อว่าถ้าเป็นตัวเราเองเราจะพิจารณาโดยใช้หลักธรรมข้อใดเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา
สติ: ความระลึกได้, สัมปชัญญะ: ความรู้ตัว โดยมีสติรู้เท่าทันจิตใจ โดยมีสติแยกแยะปัญหาและเหตุการณ์
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเวทนาขันธ์ เป็นเหตุที่เกิดกับจิต โดยมีจิตวิตกกังวล รู้สึกเป็นทุกข์ ที่เรียกว่า ทุกขเวทนา
ผู้เขียนจึงคิดว่าน่าจะปล่อยวาง สิ่งที่เกิดและผ่านไป ตั้งมั่นระวังภัย และหาทางป้องกันด้านอื่นต่อไป แล้วก็ไม่ลืมที่จะสู้ต่อไปเพื่อวันข้างหน้า... ศรีสวัสดี...
สวัสดีเจ้าค่ะ
ขันติ เถอะ ขันติ เจ้าค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ น้องจิแวะมาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ สบายดีไหมเจ้าค่ะ ..หนูจิ
ครับ... ผมลืมข้อนี้ไปได้อย่างไร...นอกจากนี้ต้องมีความอดทน... ขอบคุณมากครับ
ใช้ธรรมมะ ข้อปลอกมะพร้าวได้มั้ยค่ะ
เก็บตกค่ะ ไม่รู้ทำไมบันทึกก่อนเม้นไม่ได้ อิอิ
บันทึกนั้นเขียนไว้ดีมากเลยค่ะ
มาให้กำลังใจค่ะ
อ่ะนะ คุณใยมด... ต้องใส่ถุงมือใช่ไหมครับ :-)
ขอบคุณหลักธรรมดีๆนำไปใช้แก้ปัญหาชิวิตได้
ยามมีปัญหาเลวร้าย
สวัสดีค่ะ
ตามมารับข้อคิดที่ดีๆ
ขอบคุณทุกความเห็นครับ... ขอให้มีความสุขครับ
มีสติ...มีสติ...ปล่อยวาง...ปล่อยวาง....
สวัสดีค่ะ แวะเข้ามาอ่านการใช้หลักธรรม นึกถึงตอนสาวๆแฟนไปเดินกับผู้หญิง นั่งร้องไห้ฟูมฟาย เพื่อนบอกว่าเธอต้องปล่อยวางมั่งนะ เราก็เชื่อไม่สนใจปล่อยเลยอยากจะไปกับใครก็ไป ตอนหลังแฟนเลยแต่งงานไปกับสาวอื่น...นานเข้าเราก็ลืมได้...เลยได้เข้าใจหลักธรรมว่า...การปล่อยวางไม่ใช่การปล่อยไม่สนใจ...ต้องสนใจคือมีสติ แต่ต้องปล่อยให้มีเวลาในการคิดอย่างรอบคอบ
ใช่ครับ การปล่อยวางไม่ใช่การปล่อยไม่สนใจ แต่เป็นอาการอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ นะครับ ขอบคุณ ดร. พจนา - แย้มนัยนา มากครับที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน