ข้าพเจ้าทำความรู้จักกับสภาวะสองสิ่งนี้ ... ระหว่างคำว่า “สันติภาพ” และ “การเบียดเบียนตนเอง” เป็นการทำความเข้าใจที่ไม่ได้พยายามเชื่อมโยง หรือพยายามหาความหมายใดใด แต่เป็นการทำความเข้าใจในระดับภูมิรู้ที่ตนเองพอมีอยู่บ้าง...
ข้าพเจ้าได้มองเห็นทั้งความพยายามที่ก่อให้เกิดสันติภาพ แต่...น้อยนักที่จะเห็นถึงความพยายามลดการเบียดเบียนในตนเอง แต่ต่างมุ่งไปเฉพาะการกั้น หรือป้องกันการถูกเบียดเบียนจากสิ่งอื่น หรือพยายามให้สิ่งอื่นๆ มาเบียดเบียนตนเองให้น้อยที่สุด จนเกิดเป็นสภาวะที่เรียกว่า กลไกการป้องกันตัว หรือ Defense Mechanism เพื่อน้อมไปสู่สภาวะการหลอกตนเองว่า ได้มีการพยายามป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการถูกเบียดเบียนจากสิ่งต่างๆ รอบนอก เพราะเชื่อว่า หากลดการถูกเบียดเบียนจากสิ่งรอบนอกแล้ว ความมีสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ แต่หารู้ไม่ว่ากระบวนการที่ตนกำลังดำเนินอยู่นั้น กำลังกลายตัวไปเป็นสภาวะที่เรียกว่า “เกิดการเบียดเบียนตนเองเกิดขึ้น”
การเบียดเบียนในตนเอง... เกิดเป็นรูปร่างแห่งสภาวะนั้นได้อย่างไร
การที่เราปล่อยให้เราเองนั้น มีสภาวะแห่งจิตใจที่หนักอึ้งและขุ่นมัวนั้นนั่นแหละ คือ สภาวะที่เราหาใช่การปลดปล่อยตนเองออกจากพันธนาการทั้งปวงไม่ หากแต่เป็นสภาวะที่กำลังเหนี่ยวนำให้ “จิต” เกิดการยึดอยู่ในอารมณ์ และเรื่องราวที่ตนเองไปสัมผัสสัมพันธ์ด้วย ... เมื่อใดที่กลไกการป้องกันตัวใช้ไม่ได้ผล สภาวะจิตที่เกิดขึ้นก็จะเดี้ยง...และแบกรับทางอารมณ์อย่างไม่รู้ตัว และ “จิต” นี้จะค่อยๆ เสพสภาวะอารมณ์นี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป พอรู้ตัวอีกที...เกิดสภาวะ “จิตหมอง – จิตขุ่นเกิดขึ้นแล้ว”....
เพราะอะไร จึงได้เป็นเช่นนี้...
เนื่องจาก...การที่เราไร้ซึ่งสติ ที่จะตามทันสภาวการณ์ที่เข้ามากระทบ ความกระทบนั้นมาได้ในหลากหลายรูปแบบ ผ่านเรื่องราวในชีวิตประจำวันเรานี่แหละ ... เมื่อสติอ่อนกำลัง ... โอกาสที่จะเกิดปัญญา หรือการดึงปัญญาออกมาใช้นั้นก็มีน้อย รู้ตัวอีกที...ก็เป็นสภาวะ... “จิตถลำไปในอารมณ์” อย่างเรียบร้อย...
เปรียบแล้วก็เหมือนกับการก้าวเดินของเรา...ที่เดินไปตามทางเรื่อยๆ ขาดการสังเกต ขาดการรู้ตัว...ปล่อยตนเองเพลิดเพลินไปกับการเดิน พอรู้ตัว...ตกหลุมไปแล้ว กว่าจะตะกายขึ้นมาได้นี่บางคนก็สะบักสะบอมพอสมควร บางรายก็ถลอกปอกเปิกเลยก็มี...
ดังนั้น การทำความรู้ตัว... รู้สึกตัวตลอดเวลา เป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัยที่สุด... ปลอดภัยจากความพลาดที่จะนำไปสู่การเกิดการเบียดเบียนตนเอง เมื่อไรก็ตามที่เราละการเบียดเบียนตนเองได้เบาบางลงได้บ้าง... สภาวะแห่งความเป็นสันติภาพก็จะบังเกิดขึ้นในจิตใจเราแบบเป็นอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องวิ่งไปควบคุมหรือจัดการให้เกิดสันติภายนอกเลย...
Note: เพิ่มเติม
สภาวะการณ์เบียดเบียนที่เกิดขึ้น มักมาในรูปของอารมณ์ นั่นคือ การปล่อยตนล่องลอยไปตามอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจของเรา ... ตัวที่เป็นผู้เสพทางอารมณ์นั้นมักเป็น "จิตใจ" ... และโดยส่วนใหญ่ ก็มักเป็นอารมณ์ทางลบ... เหนี่ยวนำสู่สภาวะก่อตัวหรือก่อรูป เป็นพลังงานด้านลบเกิดขึ้น และพร้อมที่จะสาดใส่บุคคลอื่น...ผ่านทางน้ำเสียง ท่าทาง และรัศมีกาย หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็น "สภาวะแห่งการถูกคุกคามทางอารมณ์" เกิดขึ้น...
.........................................
ผมว่า...
หลาย ๆ คนขาด "สติ" เพราะมองข้าม เนื่องจากเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้มี "ปัญญา" ที่สูงส่งแล้ว...
แต่เป็น "ปัญญา" ที่แค่เกิดจากการท่องจำหรืออ่านจากตำรา หาได้เป็น "ปัญญา" ที่เกิดจากการฝึกฝนตนเองไม่...
การน้อม "ใจ" เข้าหาตัวเราต่างหากครับที่จะทำให้เกิด "สันติ" ...
ขอบคุณมากครับ...
D-A-V-I-D says:
เพราะเป็นการเชื่อมโยงสอง step"""
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
สอง step ยังงัยคะ
D-A-V-I-D says:
ธรรมะ กับ psycho
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
ธรรมะล้วนๆ นะคะ
เหนือที่สุดขึ้นไป จาก psycho คือ ธรรมะ แต่ก็สอง step อย่างที่คุณ D-A-V-I-Dว่า ทำให้นึกถึงงานเขียนของท่านพุทธทาสขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
คือคำว่า สันติภาพ คนมองไปเรื่องภายนอกเสียมากกว่า
เป็นการทำสันติภายนอก
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
จริงๆ แล้วการลดวามขัดแย้ง ต้องทำให้คนรู้จักธรรม
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
ซึ่ง ธรรม นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาเลย
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
คนมักเข้าใจว่า เมื่อพูดถึงธรรม แล้ว ต้องหมายถึง พุทธะเสมอไป
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
อย่างที่คุณ...(นับถืออิสลาม) หรือ คุณ...(นับถือคริสต์) เข้าใจในเรื่องต่างๆ ได้ดีในระดับหนึ่ง ก็เนื่องมาจากเริ่มมองเห็นธรรม สัมผัสธรรมได้
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาเลย...หากแต่เป็นปัญญาญาณที่เกิดขึ้น...
อันมาจากการเรียนรู้ ที่มาจากสภาวะจิตที่มีสมาธินั่นเอง
บารมี คือ กำลังใจอันงดงาม says:
ด้วยความไม่เข้าใจ..คนจึงวิ่งไปนำเรื่อง จิตวิทยาตะวันตกมาแก้เรื่องความขัดแย้ง เพื่อให้เกิดสันติ
ตามทฤษฎีต่างๆ
หวัดดีคะ..นึกว่าใคร..คนเก่งจากยโส..นีเองเคยฟังพูดที่R2Rที่กรุงเทพ..
คนเรานี่นะ ถ้าหากปล่อยใจไปกับอารมณ์ เขาเรียกว่าเป็นคนหลง
ยิ่งปล่อยอารมณ์ไปมากก็ยิ่งหลงมาก
หลงทั้งสุข หลงทั้งทุกข์
แล้วการหลงสุขนี่แก้ยากกว่าหลงทุกข์เสียอีก
ของหวาน ๆ นี่พาโรคร้ายมาให้มาก
ของหวาน ๆ ทำให้คนอ้วน คนที่อ้วนย่อมมีโรคมากตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั้น
ของหวาน ของอร่อยที่กินตามใจอยาก เมื่อครั้นหลุดเข้าไปในปากย่อมเป็นการ "เบียดเบียนตนเอง..."
ยิ่งกิน ยิ่งอร่อย ก็ต้องยิ่งใช้สอยและจับจ่าย
รูป รส กลิ่น เสียง และโผฐฐัพพะนั้น เป็นเครื่องจูงใจให้สัตว์ทั้งหลาย "หลง" อยู่ในโลก
ยิ่งหลงมากก็ยิ่งเบียดเบียนตนเองมาก
เบียดเบียนจิตนี้ เบียดเบียนร่างกายนี้ ให้ทำงาน ให้หาเงิน ให้ก้าวเข้าไปสู่วังวนแห่งความวุ่นวาย เพราะหาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ
หากเราละซึ่งสุขก็เท่ากับการปล่อยวางซึ่งทุกข์
สันติภาพของใจก็จะเกิดขึ้น
สันติภาพของใจนั้นคือ "ความสงบ"
ความสงบคือความสุขแท้ของกายและใจ