พาชมวัดเทียนมุ พระราชวังเมืองเว้ พิพิธภัณฑ์จาม หมู่บ้านหินอ่อน :ท่องเที่ยวเวียดนามกลางวันที่ 2


          เขียนผ่านไปแล้วสองบันทึกสำหรับการท่องเที่ยวเวียดนามกลาง

การเลือกซื้อของที่ระลึกจากเวียดนามกลางอย่างคุ้มค่า

การเดินทางจากเมืองสองแควสู่เวียดนามกลาง (มุกดาหาร-สะหวันนาเขต-เว้)

ถ้าจะชมภาพแบบจุใจเกี่ยวกับวัดเทียนมุ พระราชวังเมืองเว้  พิพิธภัณฑ์จาม หมู่บ้านหินอ่อนตามไปชมได้ที่นี่ค่ะ

http://picasaweb.google.co.th/kulkanit/302#

                เมื่อคืนพักโรงแรมที่เมืองเว้  ชื่อโรงแรม  Hue  Queen  Hotel  เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว มีอินเตอร์เน็ตอยู่ด้านล่างให้ใช้ฟรี สองเครื่อง

ถ่ายจากห้องพักในยามเช้า

ไกด์บอกว่าคนเวียดนามนั่งทานไข่ข้าว (คือไข่ที่กำลังจะฟักเป็นลูกไก่จ้ะ)

ขอประกบสาวเวียดนามสักหน่อย

 

เนื่องจากชาวเวียดนามเพิ่งจะเรียนรู้ระบบจราจร  แยกนี้จึงเรียกว่า"แยกวัดใจ"  ทั้งมอเตอร์ไซด์  จักรยานขับขี่กันได้น่ากลัวมากทีเดียว  ไม่มีกลัวรถยนต์กันเลย

เดี๋ยวจะพาไปเที่ยววัดเทียนมุ (Thien Mu)หรือวัดนางฟ้า        วัดเก่าแก่ที่สำคัญของเมืองเว้   ตำแหน่งที่สร้างวัดตามหลัก    ฮวงจุ้ยเรียกว่ามังกรคุกเข่า  ถือว่าจะเจริญรุ่งเรือง

สองรูปด้านบนนี้ได้จากภาพโปสการ์ดแล้วนำมาสแกน ได้เห็นมุมสูงของวัดสวยงามมากเลย 

เจดีย์นี้มีเจ็ดชั้น เป็นการบูชาพระอรหันต์เจ็ดองค์  มีแปดเหลี่ยมแสดงอำนาจความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์  ตอนแรกตกแต่งด้วยทองคำแต่ฝรั่งเศสได้นำทองคำไปหมดแล้ว

ฟังไกด์ลูกครึ่งไทย-เวียดนามบรรยาย  ผู้เขียนก็จดบันทึกไปด้วย ถ่ายรูปไปด้วยตลอดเวลา

ทางเข้าเพื่อไปกราบพระ ศิลปะคล้ายจีน

รถที่พระได้ไปประท้วงจุดไฟเผาตัวเอง  รายละเอียดมัวแต่คุยจำได้เท่านี้ค่ะ

การลูบหัวเต่ามีความหมายว่า...ให้อายุยืนยาวเป็นสาวสองพันปี

ถ่ายรูปหมู่เป็นที่ระลึก

ด้านหน้าของวัดจะเจอร้านค้า   มีแม่ค้าสูงอายุแต่งตัวแบบเวียดนามขายขนม ขายมันต้ม  แต่ถ้าเป็นสาวๆก็แต่งกายตามสมัยนิยม   ที่สำคัญขอเตือนว่า... ร้านค้าแถวนี้แม่ค้าร้ายกาจมากๆ หากแม้ท่านหลงเข้าไป จะเจอการฉุดกระชากแขนอย่างน่ากลัว  ที่นี่บางร้านรับเงินไทย  แต่บางร้านรับเฉพาะเงินดอง  แต่ถ้าท่านใดอยากสัมผัสบรรยากาศก็ลองเดินเข้าไปดูได้ค่ะ แต่ของที่ระลึกจะแพงกว่าตลาดดงบาพอสมควรค่ะ

สำหรับพระราชวังเมืองเว้  พิพิธภัณฑ์จามและหมู่บ้านหินอ่อนติดตามอ่านได้จากช่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างค่ะจะ          ทะยอยใส่เรื่อยๆ

หมายเลขบันทึก: 223408เขียนเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2008 23:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (19)

สวัสดีครับ อาจารย์น้องลูกหว้า

วันนี้มาก่อนเที่ยงคืนแฮะ อิๆ

ไม่ได้ลองแต่งชุดเวียดนามบ้างเหรอครับ

ไปปีที่แล้วแต่สงสัยจะคนละที่

เพราะรถมอเตอร์ไซด์เยอะมาก

แต่ได้ล่องเรือทานข้าว

บรรยากาศโรแมนติกมากอ่ะ

อิอิ

แต่ไม่อยากไปต่างประเทศแล้ว

ที่ไหนก้อสู้เมืองไทยไม่ได้

สวัสดีครับ

ตามมาเที่ยวอีกเช่นเคย

น่าเที่ยวมากครับผม

ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ เมืองเว้เพื่อน ๆ ไปเที่ยวบอกว่ามีหมู่บ้านชาวจีนโบราณน่าเที่ยวและเรียนรู้มากค่ะ สุนันทา ไปฮานอยเมือง 3 ปีก่อน คิดถึงเมืองไทยแทบแย่ และรู้สึกเลยว่า "รักเมืองไทยค่ะ"

เอาดอกไม้มาฝาก

สวัสดีครับ , เอื้อยผู้งาม -

ไม่ค่อยได้ทักทายเอาเสียเลย,  แต่ดีใจที่เห็นรอยยิ้มอันอิ่มเอมในใบหน้าผ่านบันทึกนี้

เวียดนามน่าท่องเที่ยวมาก  ผมเองก็ใฝ่ฝันอยากไปเหมือนกัน  คาดว่าภายในปีสองปีนี้ก็น่าจะมีโอกาสได้ไปเยือน

เท่าที่เคยรู้มาบ้างจากประวัติศาสตร์  เห็นว่าเวียดนามประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ประมาณ 54  กลุ่ม  ใหญ่สุดดูเหมือนจะเป็น "กินห์"  (kinh)  หรือที่เราเรียกว่า "เหวียด"  นอกนั้นก็เป็นกลุ่มไต  ไท  จีน เขมร  จัมปา  ฯลฯ

...

มีความสุขมาก ๆ นะครับ..

สุขภาพแข็งแรง ๆ

สวย

น่าเที่ยว

อิจฉา

โอ้ยยยยยยย ตาร้อน

อิอิ

แหม..ทรงผมใหม่สวยจังเลยครับ...เล่นเอาสาวเวียดนามหมองไปเลย..ฮิฮิ..

  • P พี่ธวัชชัย...แบบว่าชุดเวียดนามคงเหมาะกับพวกเค๊ามากกว่าค่ะ   ไม่กล้าจ้ะ
  • P คุณณัชชา เห็นด้วยนะคะ ว่าที่ไหนก็สู้ประเทศเราไม่ได้ค่ะ
  • แต่หว้าก็ถือว่าไปเปิดโลกทัศน์เน๊าะ เพราะเราเป็นอาจารย์ ก็คงต้องได้ไปศึกษาดูงานบ้าง
  • P คุณ pompier  ตามไปเที่ยวได้ทุกวันค่ะ  หว้าเก็บข้อมูลไว้มากทีเดียวค่ะ ทั้งรูป ทั้งเกร็ดความรู้ต่างๆ ไปเขียนได้หลายบล็อกทีเดียว
  • P คุณสุนันทา  หว้ายังไม่เคยไปฮานอยเลยค่ะ ส่วนหมู่บ้านจีนโบราณก็ไม่ได้ไป     แต่ก็มีที่เที่ยวอื่นให้เราไปสัมผัสอีกหลายแห่งค่ะ  คอยตามอ่านนะคะ
  • P  หวัดดีจ้ะ น้องพนัส   พี่ก็รู้มาคร่าวๆจากไกด์จ้ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลมาประกอบ   คิดถึงนะคะ
  • P  คนหน้าตาดีมาอีกแล้ว อิอิ...ตามต่อไปนะคะ
  • P คุณเกษตร(อยู่)จังหวัด....แหม  ๆๆๆๆ ชมเข้าไปแต่คงสู้คนข้างๆคุณไม่ได้หรอกเน๊าะ
  • พาเที่ยวพระราชวังเว้หรือวังหลวงแห่งเมืองเว้  สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2347  ของราชวงศ์เหงียน ถือเป็นหนึ่งในสามมรดกโลกของเวียดนาม
  • พระราชวังเว้มีกำแพงโดยรอบที่วัดความยาวได้ราว 2.5 กิโลเมตร  แบ่งเป็นส่วนหน้า  ส่วนกลาง และส่วนเป็นที่ประทับจักรพรรดิ    ในสมัยสงครามถูกทำลายอย่างมากที่เห็นนั้นได้รับการบูรณะค่อนข้างมาก
  • หากผ่านประตูเที่ยงวัน (Cua Ngo Mon) ซึ่งเป็นสถานที่ขายบัตรมีลักษณะเหมือนอุโมงค์  ก็จะพบสะพานน้ำทองที่ทอดตรงเข้าสู่พระราชวังไท ฮวา หรือที่เรียกว่า ท้องพระโรง  ใช้ต้อนรับพระราชวงศ์ชั้นสูงและฑูต
  • ท้องพระโรงนี้ใช้ต้อนรับพระราชวงศ์ชั้นสูงและฑูต  ที่นี่มีเสาไม้สีแดงต้นใหญ่มากมาย  ทั้งหมดเขียนลายมังกรสีเหลืองด้วยเทคนิคงานเครื่องรักเขียนสีแบบเวียดนาม
  • ตรงกลางมีบัลลังค์เคลือบด้วยทองคำ  สมัยหลังๆมีผู้ครองนครถูกฝรั่งเศสสั่งให้ยกบัลลังค์แล้วสลบไปเลย...
  • สำหรับไม้ที่ทำเสาได้ยินไกด์เรียกว่า ไม้ lim ไม่มีใครใช้มีลักษณะแข็งเหมือนหิน
  • ไกด์พาไปชมแผนผังของพระราชวัง  ผู้เขียนก็ก้มหน้าจดตลอด  รูปด้านล่างมีช่างภาพเวียดนามถ่ายไว้ แล้วก็ขายที่หน้าพระราชวังใบละ ยี่สิบบาท
  • ถัดไปเป็นพิพิธภัณฑ์ ไม่แน่ใจว่าใช่รูปนีหรือเปล่า  ของที่นำมาจัดวางมีจำนวนไม่มากนัก  เป็นข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ แต่นักท่องเที่ยวเยอะ แออัดมาก เลยอยู่ไม่ค่อยนาน
  • สถานที่ด้านล่างถูกห้ามถ่ายรูปมีรูปของกษัตริย์แต่ละพระองค์  แต่ก็แอบถ่ายด้านนอกไว้นิดนึง  ได้รับการบอกเล่าว่ากษัตริย์แต่ละองค์จะมีนางสนมประมาณ 800 คนได้  ถ้าคำนวณแล้วหนึ่งปียังเจอไม่ครบเลย  เพราะฉะนั้นในหนึ่งคืนจะมีนางสนมถวายงานสี่คน  เคยมีนางสนมที่ถวายงานคืนนั้นตั้งครรภ์ทั้งสี่คนก็มี
  • เนื่องจากมีนางสนมมากทำให้มีตำหนักมากมายในนี้  และทำให้ต้องมีขันทีมาทำหน้าที่คอยดูแล อาบน้ำให้กับนางสนม เนื่องจากถ้าเป็นผู้หญิงอาจเกิดการกลั่นแกล้งชิงดีชิงเด่นกันได้

 

  • จากนั้นพาไปชมพิพิธภัณฑ์จามที่เคยรุ่งเรืองในอดีต  ถ้าท่านใดชื่นชอบโบราณวัตถุต่างๆ ต้องแวะมาเยี่ยมชมที่นี่
  • ไกด์บอกว่าถ้าลูบท้องแล้วอธิษฐานจะได้ในสิ่งที่ขอ ก็เลยต้องลองซะหน่อย  เพราะผู้เขียนบูชาท่านอยู่แล้ว
  • ถูกใจจริงๆเลย สวยงาม มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
  • มีภาพแท็กซี่เวียดนามมาฝาก  คนขับใส่เชิ้ตขาวผูกเน็คไทด์สีเขียวดูสะอาดตาน่านั่งจริงๆ

ขอบพระคุณค่ะพ่อที่มาเยี่ยมชม

  • หลังจากนั้นเราไปเยี่ยมชมหมู่บ้านหินอ่อน  ร้านนี้มีทัวร์เข้ามาไม่ได้ขาดทีเดียวเป็นร้านใหญ่มากๆ  มีงานแกะสลักหินอ่อนทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กให้เลือกช็อป
  • สวยแค่ไหนก็ไม่ได้แอ้มเงิน นักเศรษฐศาสตร์อย่างเราหรอก อิอิ...อาศัยถ่ายรูปดีกว่า
  • มีงานสวยงามมากๆ ที่นำมาฝากเป็นแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะแบตหมดพอดีค่ะ
  • เลือกงานชิ้นเด่นๆมาฝากค่ะ แต่ไม่มีปัญญาเอากลับ
  • ลืมบอกไปว่าจากเมืองเว้ เราเดินทางผ่านเมืองดานังมาสู่  เมืองฮอยอัน...(Hoi An Town)  เรามาถึงหมู่บ้านหินอ่อนด้านบนตอนเย็นแล้ว   จากนั้นก็ไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ภัตตราคารที่สวยงามน่าประทับใจ
  • มาถึงทุกคนก็ไปนั่งที่โต๊ะอาหารแต่ผู้เขียนและคู่หู(อ.จงกล) เราเน้นเก็บบรรยากาศของร้านดีกว่า
  • จากนั้นก็เข้าประจำที่ รออาหารมาเสิร์ฟ
  • วันนี้อาหารดูน่าทานกว่าเมื่อวาน   การจัดโต๊ะก็ดูดี  ร้านเมื่อวานดูไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่  เหยือกน้ำยังเป็นคราบเลย...
  • เห็นอาหารแล้วมือไม้สั่น...ภาพเลยเบลอไปหน่อย  วันนี้อร่อยแล้วค่ะ แต่ไม่เจออาหารเวียดนามแบบบ้านเราเลย...
  • ทราบมาว่าบรรดา...เฝอ   แหนมเนือง  อาหารเหล่านี้ที่เวียดนามเขาจะเป็นรถเข็น ไม่ก็นั่งขายกันริมฟุตบาท พวกอาหารในภัตตราคารไม่เจอตะกร้าผักสดแบบบ้านเราเลยค่ะ
  • ชามนี้ก็คล้ายๆบะหมี่บ้านเรา แต่รสจืดๆเลยใส่พริกขี้หนูซอยที่เขาเตรียมมาให้(ประมาณว่ารู้ใจนักท่องเที่ยวชาวไทยดี)
  • ค่ำนี้ที่ฮอยอัน เราพักกันที่โรงแรม HOAI  THANH   โรงแรมดูโบราณๆสมกับชื่อเมืองโบราณ  กลิ่นโรงแรมค่อนข้างอับ  แต่ก็พออยู่ได้ ระดับ 3 ดาว
  • วันนี้ได้ทิปเด็กยกกระเป๋าอันหนักอึ้งของสองสาวไป 4,000 ดอง  เจออ.จงกลบ่นใหญ่เลยว่าให้มาก   แต่พอกลับมานั่งคิด พี่ๆ หนูให้ไปเนี่ยเทียบเป็นเงินไทยก็ ประมาณ  8  บาทนะพี่ อิอิ...
  • บันทึกต่อไปในวันว่างจะเล่าถึงหมู่บ้านฮอยอันที่ถ่ายทำละคร  ฮอยอันฉันรักเธอ  ของช่อง 3 และสุสานไคดินที่สุดแสนจะทุลักทุเลค่ะ    แต่...ก็เป็นสถานที่ที่ประทับใจที่สุด
  • คืนนี้...อาจารย์ท่านอื่นก็ล้วนเข้านอนกันแล้ว เหลือแต่ผู้เขียนกับอ.จงกลซึ่งดิ้นรนจะหาซื้อซิมการ์ดมาใส่มือถือสำหรับโทรกลับเมืองไทย
  • เราออกไปเดินหาร้านมือถือกัน  เข้าไปเจอคนขายชาวเวียดนาม  เมืองนี้คนพูดไทยได้น้อยกว่าเว้มากนัก
  • ผ่านไปสองสามร้านเขาก็จะรับแต่เงินดอง  แล้วชี้ให้เราไปแลกเงินที่ธนาคาร
  • ว่าแล้วก็เข้าไปติดต่อที่ธนาคาร ก็คุยกันภาษาอังกฤษและก็ไม่สามารถแลกได้  แต่เธอเขียนแผนผังให้ไปแลกที่ไปรษณีย์ซึ่งอยู่ไกลมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
  • เลยเกือบหมดหวัง  แต่ก็ลองเดินไปถามอีกร้านที่สี่...
  • ก็เช่นเคย  ซิมราคาประมาณ 140 บาท เราจะให้เขา 160  บาทด้วยซ้ำ   โชคเข้าข้างเราที่มีแม่ค้าเวียดนามที่ขายของที่ระลึกเขามีเงินไทยเต็มกระเป๋าเลย มาช่วยพูดว่าได้กำไรนะ  ทางร้านเลยยอมรับเงินไทย เขาจะได้กำไร 20 บาท
  • พอดีเงินไทยมีแต่แบงค์ 500 เลยขอแลกเงินบาทแบงค์ย่อย  เพื่อซื้อซิมการ์ด 160 บาท  เลยทิปแม่ค้าที่ให้แลกเงินไป 20 บาท เขาดีใจมากเลย...
  • จากนั้นไปสมทบกับไกด์หนุ่มชื่อ น้องใหม่ กะอ.ชัชวาลย์  รวมเป็น อ.จงกล รวมเป็น สี่คน      ได้ฉายากันว่า  แกงค์  F4    เราไปเดินเล่นในเมืองกัน ขอบอกว่าที่ตลาดยามค่ำคืนของฮอยอันนั้นรับแต่เงินดอง  และดอลล่าร์ค่ะ
  • เดินไปก็ไปเจอร้านขายซิมอีก  ร้านนี้รับเงินดอง  ต้องขอขอบพระคุณอ.ชัชที่อนุเคราะห์เงินดองให้เราซื้อซิมอีกหนึ่งอัน   ดั้นด้นหาซื้อซิมกันเจอฝนตกหนักมากวิ่งกลับโรงแรมตัวเปียกปอนกันไปหมด.....
  • คืนนั้น...ตั้งใจว่าจะโทรกลับมาเมืองไทยหาใครบางคน  แต่...เนื่องจากเปลี่ยนซิมไปมาระหว่างของไทยและซิมเวียดนาม  เลยเริ่มเบลอ...โทรเท่าไหร่ก็ไม่มีสัญญาณ  ต้องออกมาเดินมาสัญญาณนอกห้องยามดึกก็เปล่าประโยชน์    คืนนั้นซิมสองอันก็ไม่ได้ใช้เลย  นอนไม่หลับเลยเรา
  • มารู้ตัวอีกวันหนึ่งว่า....  ที่ไม่มีสัญญาณก็เพราะว่าเราเอาซิมเมืองไทยมาใส่หน่ะสิ  อิอิ....
  • อ่านครบ 2 ตอนพอดีเลยค่ะ อาจารย์
  • อิ่มใจจัง
  • เหมือนไปเที่ยวเองเลยค่ะ
  • อิอิ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท