จากการสำรวจและเจอช่างทอผ้าในเขตเมืองชลบต ซึ่งในปัจจุบันเมืองชลบตเดิมมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่อำเภอชนบท อำเภอแวงใหญ่ อำเภอบ้านไผ่ อำเภอพล อำเภอมัญจาคีรี อำเภอแวงน้อย และอำเภอหนองสองห้อง พบว่าพื้นฐานการทอผ้าของคนแถบนี้ในสมัยก่อนเป็นผ้าทอแบบสองตะกอเท่านั้น
ผู้คนแถบนี้มีกลุ่มชนสองกลุ่มคือ กลุ่มคนลาวซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และ กลุ่มฟากซี(ฟากชี)อยู่แถบตะวันตกของเมืองแถบแวงน้อย มัญจาคีรีซึ่งพูดภาษาออกไปทางชัยภูมิหรือทำเนียงแปร่งไปทางไทเลย ซึ่งคนคนลาวเรียกกลุ่มคนที่พูดภาษาเช่นนี้ว่า ไทฟากซี(แม่น้ำชี)
การทอผ้าของกลุ่มชนทั้งสองกลุ่มในเขตเมืองชลบตนี้ผลิตผ้าไหมมัดหมี่แบบสองตะกอเท่านั้นไม่พบว่ามีผ้าโบราณที่ทอจากพื้นที่แถบนี้เป็นผ้าทอแบบสามตะกอเลย จะพบเพียงผ้าหน้านางหรือผ้าปูมในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาเท่านั้น ซึ่งช่างทอแถบเมืองพล ชนบททอขายให้กับนายหน้าที่เอาผ้าไปขายเชียงใหม่อีกทอดหนึ่ง
คุณสมบัติที่ดีของผ้าสองตะกอแบบโบราณนั้นมีหลายประการ ทั้งนี้จึงเป็นที่นิยมของผู้คนแถบนี้อาทิ ผ้าสองตะกอสามารถเก็บตะกอ(เก็บเขา) ได้ง่ายหาซื้อง่ายในพื้นที่ ผ้าไหมมัดหมี่สองตะกอให้ผ้าที่มีลวดลายสีสันเท่ากันทั้งสองด้าน ผ้าไหมสองตะกอมีการขัดกันพอดีเมื่อทอด้วยไหมพื้นบ้านทำให้เส้นใยขยายตัวส่งผลให้ผ้านุ่มน้ำหนักเบาง่ายต่อการซักและการดูแล
ส่วนผ้าสามตะกอที่โปรโมทกันว่าเป็นอัตตลักษณ์ผ้าเมืองชลบตนั้นเห็นที่จะขอฟันธงเป็นแค่การโปรโมตทางการตลาดและการประดิษฐ์วัฒนธรรมของข้าราชการหรือหน่วยธุรกิจในพื้นที่เท่านั้น ชุมชนไหนจะวิ่งตามตลาดก็ต้องหาเงินซื้อฟืมที่มีสามตะกอ งานนี้ใรได้ประโยชน์ก็พอรู้ ส่วนเขาแบบสองตะกอเห็นที่ขึ้นหิ้งให้ปลวกกินให้สิ้น(เพราะมันไม่ใช่อัตตลักษณ์ของประดิษฐวัฒนธรรมร่วมสมัยนั้นเอง)
สวัสดีครับ
เคยไปดูผ้าที่ชนบท ส่วนใหญ่เป็นผ้่าสามตะกอ อย่างที่ว่า
ถ้าใช้ทอเป็นผ้านุ่งทั่วไปก็ไม่สู้จำเป็น
นับว่าเป็นเอกลักษณ์ใหม่ก็ได้มั้งครับ
สงสัยเหมือนกันว่า ผ้าไหมทางเหนือบางแห่งอาจรับจากอีสานไป
เพราะไม่ค่อยเห็นทอไหมทางเหนือมากนัก
สวัสดีค่ะน้องอ๊อต
เข้ามาทักทาย ด้วยระลึกถึง และชื่นชม
เอกลักษณ์ อันดีงามของพื้นถิ่น
...
อัตตลักษณ์ ของ แต่ละสิ่งอย่าง
ล้วนแตกต่าง แต่ขอให้
สร้างงาน บนพื้นฐาน และมีจรรยาบรรณ
...
เอาใจช่วย เป็นกำลังใจในการงานค่ะ
ไม่ได้แวะมาเสียนานค่ะ
สิ่งที่นำมาเขียนเล่านี้เป็นความรู้ที่นักพัฒนาและชาวบ้านเองน่าจะได้รู้ จะได้เท่าทันความเปลี่ยนแปลง
วัฒนธรรมประดิษฐ์ของทางการนี่น่ากลัวนะคะเพราะมันทำลายรากเหง้าความรู้เดิมจนแทบหาต้นตอไม่เจอ