เราอาจจะกล่าวได้ว่าแม้วิธีการอธิบาย สัจธรรม และพิธีกรรม มีความแตกต่างกัน แต่ในส่วนของศีลธรรมหรือจริยธรรมนั้น จะมีลักษณะสอดคล้องกันและใกล้เคียงกันมาก
ศาสนาแห่งการกระทำและการอ้อนวอน
แม้พุทธศาสนาจะได้รับการกล่าวถึงว่า เป็นศาสนาแห่งการกระทำ(กรรมวาทหรือกริยาวาท)และเป็นศาสนา แห่งการเพียรพยายาม(กริยาวาท) ไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอน แต่ก็มีคำสอนและการประพฤติมากมายเกี่ยวกับการสวดมนต์ แม้การสวดมนต์จะมิใช่เพื่อการอ้อนวอน แต่ความมุ่งหวังของการสวดมนต์ก็เพื่อมุ่งให้คนมุ่งไปสู่การประพฤติและละเว้นความชั่ว การสวดมนต์จึงเป็นแต่เพียงนำคนไปสู่ไปสู่ความดีเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน แม้ศาสนาอิสลามจะมีคำสอนแห่งการสวดอ้อนวอนและการสรรเสริญพระเจ้า ถึงแม้ว่าการสวดอ้อนวอนดังกล่าวจะมีคุณค่าในแง่ของความดีอยู่ แต่จุดมุ่งหมายหลัก ของการสวดอ้อนวอน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำในแนวของการละหมาดหรือการดุอาอฺ(การขอพร)นั้น ก็เพื่อโน้มน้าวคนห่างไกลจากความชั่วและหันมาประพฤติแต่ความดี(อัล-กุรอ่าน 29 : 45 ) และในความเป็นจริงแล้ว ศาสนาอิสลาม อาจจะถือว่าเป็นศาสนาแห่งกรรมวาทและกริยาวาท โดยแท้ เพราะคำสอนของศาสนาอิสลามเน้นไปสู่การปฏิบัติ และเป็นการปฏิบัติที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ และหากผู้ใดละเลย หรือละเว้น ศาสนาก็จะมีคำอธิบายในพฤติกรรมดังกล่าวในเชิงตำหนิ หรือถือว่าเป็นบาป
ทั้งสองศาสนามีชีวทัศน์ต่อการดำเนินชีวิตในโลกนี้ใกล้เคียงกัน อิสลามมองว่าชีวิตในโลกนี้ เป็นชีวิตที่ไม่ยั่งยืน เป็นโลกที่มนุษย์มาอยู่เพียงชั่วคราว แต่ชีวิตในโลกหน้ายั่งยืน ชีวิตในโลกนี้เป็นชีวิตกับการเพาะปลูก ส่วนชีวิตในโลกหน้าเป็นชีวิตแห่งการเก็บเกี่ยว(อัล-กุรอ่าน 18: 46,104, 40 : 39)
ส่วนพุทธศาสนานั้น แม้จะมีคำสอนเรื่องการเวียนวายตายเกิด ว่าทุกคนเป็นไปตามกฎแห่งกรรม และมีเรื่องเล่าในพระคัมภีร์ไตปิฏกมากมายที่กล่าวถึงชีวิตของคนที่ต้องเกิดและตาย แต่โดยหลักการแล้วพุทธศาสนามีความเห็นว่า หากคนเรามีความห่วงใยในชีวิตหลังจากโลกนี้ ก็ควรจะทำชีวิตให้ดีงามจนมั่นใจตนเองว่าจะต้องไปโดยไม่ต้องกังวลและหวาดหวั่นต่อโลกหน้า (ส.ม.19/1572/487) ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ จึงจะเห็นได้ว่าทั้งสองศาสนาแม้จะเน้นหรือไม่เน้นชีวิตในโลกหน้าก็ตาม แต่ทั้งสองศาสนาก็เน้นให้ปฏิบัติดีที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เหมือนกัน ความดีของศาสนาจึงอยู่ในโลกนี้เหมือนกัน ความดีของศาสนาจึงอยู่ที่ว่า ความสามารถในการโน้มน้าวให้ศาสนิกของตนยึดมั่นอยู่ในการกระทำความดีในขณะที่อยู่ในโลกนี้มากน้อยแค่ไหนมากกว่า การมองศาสนาหนึ่งว่าเป็นศาสนาแห่งการสวดอ้อนวอนไม่ใช่ศาสนาแห่งปัญญานั้นมิน่าจะนำมาเป็นประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่า การสวดอ้อนวอนนั้น สามารถโน้มน้าวผู้เชื่อนั้นห่างไกลจากการกระทำความชั่วและหันมาประพฤติในความดีมากกว่า หากเรานำเอาจริยวัตรของศาสดาทั้งสองมาพิจารณา เราจะเห็นว่า ศาสดาทั้งสองมีจริยวัตรที่คล้ายคลึงกันอยู่ เช่น การพยายามล้มล้างความเชื่อถืองมงายต่างๆ แม้พระพุทธเจ้า จะเน้นถึงความไร้ผลของพิธีกรรมเหล่านั้น โดยเฉพาะพิธีบูชายัญต่างๆและมิได้มุ่งหวังจากปัจจัยภายนอก ท่านศาสดามุฮัมมัดเองก็ชี้ให้ชาวอาหรับเห็นถึงความงมงายในการบูชารูปเคารพต่างๆในคาบสมุทรอารเบีย.......(ติดตามตอน 5 ต่อไป) ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์
ภาพการประชุมศาสนาโลกครั้งแรกจัดที่ประเทศไทย
สวัสดีค่ะ
ทั้งสองศาสนามีชีวทัศน์ต่อการดำเนินชีวิตในโลกนี้ใกล้เคียงกัน อิสลามมองว่าชีวิตในโลกนี้ เป็นชีวิตที่ไม่ยั่งยืน เป็นโลกที่มนุษย์มาอยู่เพียงชั่วคราว แต่ชีวิตในโลกหน้ายั่งยืน ชีวิตในโลกนี้เป็นชีวิตกับการเพาะปลูก ส่วนชีวิตในโลกหน้าเป็นชีวิตแห่งการเก็บเกี่ยว
ดีใจ พี่ครูคิมช่วยตอบแทนแล้ว
คิดเหมือนกันเดี๋ยะ
เลยสบาย เข้ามานั่งยิ้ม ๆ เฉย ๆ (^__^)
ขอบคุณสำหรับบันทึกที่มีประโยชน์เช่นนี้นะคะ
สวัสดีเจ้าค่ะ น้าเบดูอิน
วันนี้สบายดีไหมค่ะ หลานแวะมาเยี่ยม หนูวาดรูปเสร็จแล้วแวะไปดูหน่อยนะค่ะว่าหนูจะโดนเด้งมาอีกหรือเปล่า อิอิ รักษาสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ คิดถึง+ห่วงใย อิอิ..หนูจิ
เจริญพร โยมเบดูอิน
แม้จะมีความรู้มากสักเพียงใดก็ตาม
ถ้าหากไม่มีความศรัทธาในศาสนาเป็นหลักแล้ว
ก็จะพบกับความหลงผิดในที่สุด
เจริญพร
สวัสดีครับพี่สาว มาเร็วจัง ขอให้สุขภาพแข็งแรงและโชคดี
สวัสดีครับพี่ปู (ขอเป็นน้องชายได้ไหมครับ)ขอบคุณครับขอให้พี่ปูโชคดีครับ
สวัสดีหลานจิ เดียวจะไปดู ขอบคุณมากที่เป็นห่วง แหม้..พวกเราน่ารักจัง
เรียนท่านพระปลัด ความเห็นถูกที่สุดท่าน ความจริงผมอยากสนทนาธรรมกับท่านมาก
ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ
ขอบคุณที่ให้เกียรตินี้นะคะ น้องเบดูอิน
(^_____^)
ขอบคุณที่ให้ความรู้ดีๆ จะคอยติดตามนะคะ
-พี่ปูผมตามไปรับเกียรติจากพี่แล้วครับ
-สวัสดีครับคุณจำปา แหม้..กลิ่นหอมมาทีเดียว ขอบคุณมาก
ได้อ่านเรื่องที่มีประโยชน์กับทั้งสองศาสนา
สวัสดีค่ะ ตั้งใจเข้าอ่านทุกตอนแต่ไม่เคยแสดงความเห็น
น้าจ๋าจ๋า ไม่มีอะไรค่ะ แวะมาด้วยความคิดถึงเด้อจ้า รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ...หนูจิ
☺สวัสดีค่ะ
☺แวะมาเยี่ยมและแวะมาอ่านค่ะ
☺ขอให้มีความสุขค่ะ
-สวัสดีคุณวิษณุและคุณประคอง ขอบคุณมาก ขออภัยอินเตอร์เน็ท ผมมีปัญหาเลยเข้ามาช้า
-หนูจิจ๋าจะ (ขอเป็นเด็กสักวัน) แวะมาเยี่ยมน้าก็ดีใจมากอากาศหนาวรักษาสุขภาพด้วย
สวัสดีหนูรี ดีใจมากที่แวะมาเยี่ยม ผมแวะไปอ่านบันทึกของหนูแล้ว ขอให้มีความสุขเช่นกัน
สวัสดีเจ้าค่ะ น้าเบดูอิน
หนูแวะมาบอกน้าว่า สุพรรณหนาวอ่ะ แงๆๆๆ อิอิ รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ...หนูจิ
สวัสดีท่านขจิต ผมอยู่กรุงเทพฯครับอากาศร้อนมาก(ฮ้าๆ)ขอบคุณมากๆครับ
อ้าว..หลานจิไปทำอะไรที่สุพรรณ ว่างๆก็เอาบทกลอนมาฝากบ้างเน้อ
น้าจ๋าน้าหลานนี้มีถิ่นฐาน
อยู่ตำบลศรีสำราญแสนหรรษา
สองพี่น้องคืออำเภอที่โตมา
ส่วนสุพรรณนี้หนาภูมิลำเนา
หลานนี้เกิดจังหวัดกาญจนบุรี
เสียงหลานนี้เลยเหน่อเหล่อไม่เหมือนเขา
เรียนบางลี่วิทยาโรงเรียนเก่า
แล้วเอนท์เข้าศิลปากรอักษรศาสตร์
ปล. คิดถึงๆๆๆๆ อิอิ...หนูจิ
อ้าว..งั้นเรอะ...