Praepattra
ผู้ช่วยศาตราจารย์ Praepattra Kiaochaoum

ธรรมใกล้ตัว : อ่านใจตนเอง


"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควร ยึดมั่น ถือมั่น"

ใกล้วันหยุดยาวอีกแล้วค่ะ (ดีใจจังเลย) อากาศกำลังเย็นสบาย จนหนาวแบบนี้  หลายคนก็คิดหาความสุขใส่ตัว  โดยการวางแผนเตรียมตัวไปเที่ยวกับเพื่อนๆหรือครอบครัวกันในสุดสัปดาห์นี้  ใช่ไหมค่ะ 555 การได้ผ่อนคลายความเครียดจากการเรียน การงาน  การได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น  การได้อยู่กับคนที่เรารัก  คิดๆแล้ว มีความสุขจังเลยค่ะ  อยากให้ถึงวันหยุดเร็วๆ  จะได้กิน เที่ยว เล่น สุข สบาย

เห็นไหมค่ะ กิเลส ตัณหา พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันทีเลยค่ะ

“ดูกาย ดูใจ รู้ปัจจุบัน ด้วยใจที่เป็นกลาง”  อย่างที่หลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช บอกไว้นะคะ

วันหยุดแบบนี้ไปไหนๆคนก็เยอะค่ะ  แย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว เดินทางก็เหนื่อย แล้วมันสุขตรงไหนเนี่ย...ถ้าชีวิตต้องดิ้นรนกันขนาดนี้ ถ้าชีวิตเอาความสุขไปผูกกับสิ่งเหล่านี้

ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาความสุขที่ไหนให้เหนื่อยหรอกค่ะ

สุขได้ง่ายๆ เห็นได้ง่ายๆ ที่ใจเราเองนี่แหละค่ะ  “ดูจิต  ด้วยความรู้สึกตัว”

ใครอ่านแล้วอยากไปภาวนากับเราที่นี่  ใส่ชุดขาว แล้วมาเจอกันนะคะ

1. http://gotoknow.org/blog/goodproject/223875  โครงการปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อของแผ่นดิน (4-6 ธ.ค.)

2. http://www.ybat.org/new_paaa.html   ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย  (4-5 ธ.ค.)

  บุญรักษา  ธรรมคุ้มครองค่ะ

 

ธรรมใกล้ตัว  ฉบับที่ ๐๑๕ พฤหัสบดีที่ ๐๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว

อีกแล้วซิคะ... : )  เดี๋ยวเข้าสุดสัปดาห์นี้ หลายคนก็จะได้หยุดยาวติดกันสามวันอีกแล้วนะคะ

ช่วงเดือนเมษาฯ พฤษภาฯ นี่ วันหยุดเพียบเลยจริง ๆ ทำงาน ๆ ไป เดี๋ยวก็หยุดอีกแล้ว

แต่ก็แปลกดีนะคะ ไม่เห็นมีใครเคยบ่นว่าเบื่อวันหยุดกันเลย... : )

 

อาจเพราะส่วนใหญ่เรามัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน เสมือนวิ่งแข่งกับเวลาตลอดสามร้อยกว่าวัน

พออยู่ ๆ มีช่วงวันที่เขาสมมติให้ "หยุด" วิ่งได้ชั่วครู่

ความรู้สึกที่ได้วางภาระ และเป็นอิสระชั่วคราว ก็เลยพลอยนำมาซึ่งความสุขและโล่งสบายดีแท้

 

ว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับใจของเรานี่เองนะคะ

ไม่รู้มีใครเคยสังเกตบ้างหรือเปล่านะคะว่า

ใจของเราเองก็ วิ่ง วิ่ง และวิ่ง... ไม่เคยหยุดไม่เคยนิ่งอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน

เจออะไรผ่านเข้ามาในขอบข่ายของการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือความนึกคิด

ก็พลันวิ่งออกไปอุ้มรับมาเป็นภาระให้ใจแทบจะทุกเสี้ยววินาที และโดยไม่รู้ตัวเสียด้วย

กว่าจะนึกได้อีกที ก็เลยเต็มไปด้วยคำว่า เศร้า เหงา โกรธ ท้อแท้ อิจฉา อยาก ไม่อยาก ฯลฯ

เต็มหัวอกสลับกันไปสลับกันมาอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งวันและทั้งปี

 

เคยฟังหลวงพ่อปราโมทย์ท่านว่า

เราพากัน "วิ่งหาความสุข" และ "วิ่งหนีความทุกข์" กันทั้งชีวิต...

แต่เรากลับไม่เคยรู้กันจริง ๆ เลยนะคะว่าเรากำลังวิ่งหนีอะไรอยู่ และกำลังจะวิ่งไปไหน

จะมีสักกี่คนในโลกนะคะ ที่คิดตั้งคำถามและใส่ใจหันมาหาคำตอบกันจริง ๆ จัง ๆ ว่า

ก็แล้วสุขที่เราวิ่งหา และทุกข์ที่เราวิ่งหนีนั้น 

มันอยู่ที่ไหน และต้นเหตุมันมาจากอะไรกันแน่?

 

พุทธศาสนาสอนเราว่า คนเราทุกข์เพราะหลง "ยึด"

และที่เรายึด ก็เพราะเรา "ไม่รู้"

ไม่รู้ความจริงของธรรมชาติที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมแปรปรวนไป

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับลงไปเป็นธรรมดา

 

จะไปบังคับบัญชาให้มันเป็นอยู่อย่างนี้อย่างนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

แต่เราก็ยัง "ยึด" อยากให้สุขนั้นคงอยู่ อยากให้ทุกข์นั้นหายไป

ดิ้นรนอยู่อย่างนี้ชั่วนาตาปีไม่มีเหนื่อยหน่าย

 

...ก็ในเมื่ออะไร ๆ ก็เป็นไปอย่างที่ใจอยากไม่ได้ แปรปรวนไปตลอดเวลา

แล้วมันจะมีอะไรเล่า ที่ควรค่าให้น่ายึดถือเป็นของของเราอย่างแท้จริง

 

เคยมีเพื่อนคนนึงโทรมาระบายให้ฟังค่ะว่า แมวสุดที่รักที่เลี้ยงไว้หายไปจากบ้าน

ปลอบเท่าไหร่ก็ไม่หายโศก อารามโหมดธรรมะเข้าสิง เลยเปรยกับเพื่อนไปว่า

"มันก็มาอยู่กับเราแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ มันไม่ใช่ของของเราจริง ๆ หรอก..."

เพื่อนส่งเสียงสูงกลับมาว่า "ไม่ใช่ของชั้นได้ยังไงเล่าาา...

ก็ชั้นซื้อของชั้นมากับมือ แล้วมันจะไม่ใช่ของของชั้นได้ยังไง (โฮ...)"

อ่า... ก็จริงของคุณเพื่อนเธอนะคะ... (-_-")

 

แต่คำว่า "ของของเรา" ในความหมายของพุทธศาสนา

ไม่ได้หมายความตามกฎหมายซื้อขายครอบครองและการเป็นเจ้าของอย่างนั้นหรอกนะคะ : )

 

ในความหมายของพุทธ ซึ่งเป็นความจริงอันเดียวกันกับธรรมชาติของสรรพสิ่ง

ถ้าสิ่งใดเป็น "ของของเรา" จริง สิ่งนั้นก็ควรจะอยู่ในการบังคับควบคุมของเราได้

ยื้อยุดไม่ให้มันแปรปรวนกลายสภาพไปได้ อยู่กับเรา เป็นของเราตลอดไปได้

เป็นไปอย่างที่ใจเราอยากให้มันเป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาได้

 

ว่าแต่ว่า... มันมีอะไรในโลกนี้ที่เป็นอย่างนั้นบ้างไหมนะคะ… ?

 

แม้แต่ร่างกาย และลมหายใจของเราเอง...

แม้แต่ความสุข ความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในแต่ขณะหนึ่ง ๆ เอง...

แม้เราจะร้องไห้คร่ำครวญน้ำตานองแทบจะกองเป็นมหาสมุทรปานใด

เราก็ไม่สามารถบังคับให้คนป่วยหาย คนตายฟื้น คนรักไม่จากลา ตีนกาไม่ขึ้นหน้า

เป็นสุขตลอดเวลา หรือแม้แต่โศกาตลอดไป ฯลฯ ได้

ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติของการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป โดยตัวของมันเอง

โดยที่เราไม่มีสิทธิ์ไปเป็นผู้กำกับให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้เลย

แต่ที่ทุกข์... ก็เพราะจิตมันไม่ยอมเห็นและยอมรับความจริงข้อนี้อย่างแท้จริงนี่ล่ะค่ะ

 

หลายครั้ง พระพุทธเจ้าท่านจึงมักมีพุทธวิธีในการสอน ด้วยการตรัสถามผู้ที่ท่านไปโปรด

ด้วยรูปแบบคำถามที่กระตุ้นให้ผู้ฟังน้อมคิดพิจารณาโดยแยบคาย

เพื่อให้เห็นความจริงของลักษณะทั้งสามนี้ และละวางความเห็นผิดลงได้ตามลำดับ

ถ้าใครลองเปิดพระไตรปิฎกอ่านดู จะพบคำถามลักษณะนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวค่ะ

พระพุทธองค์มักตรัสถามในทำนองที่ว่า...

 

"[สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น กายนี้ ฯลฯ] เที่ยงหรือไม่" (ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า...)

 

"สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์" (เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า...)

 

"สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ควรหรือที่จะไปยึดมั่นถือมั่นว่า นั่นเป็นเรา นั่นของเรา?"

(ไม่ควร พระเจ้าข้า...!)

 

เพราะทุกสิ่ง เมื่อเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยแล้ว ย่อมต้องแปรปรวน และดับลงไปทั้งสิ้น

ถ้าเราเอาใจไปผูกไว้กับสิ่งที่มีการแปรปรวนเป็นธรรมชาติ

ด้วยหวังว่ามันจะอยู่อย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ตลอดไป

ใจก็ย่อมดิ้นรน เป็นทุกข์ เพราะการแปรปรวนไปของสิ่งเหล่านั้น

 

พระพุทธองค์จึงทรงสรุปลงตรงคำสอนที่ว่า...

"สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควร ยึดมั่น ถือมั่น"

 

ฟังวันนี้ตอนนี้ ก็อาจรู้สึกงั้น ๆ นะคะ อาจพยักหน้าหงึก ๆ แต่กิเลสยังท่วมตัวเหมือนเดิม

...ไม่แปลกอะไรหรอกค่ะ : ) เราก็ต้องเรียนอนุบาล ก่อนจะเข้าใจอะไรระดับดอกเตอร์เสมอ : )

 

เพียงแต่ต่างกันก็ตรงที่ การเรียนแบบพุทธศาสนา จับหลักได้แล้วก็ทิ้งตำราได้เลย

เพราะบรมครูของเรา ท่านไม่เน้นให้เราอ่านหนังสือและท่องจำ

แต่ท่านเน้นให้ อ่านใจตนเอง

 

แล้วให้อ่านอะไร... ก็อ่านอะไร ๆ ที่เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเราเองนี่ล่ะค่ะ อย่างใจนี้...

พอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา ไปกระทบกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วเกิดปฏิกิริยาทางใจขึ้น

เช่น แวะแผงหนังสือ เห็นอั้มใส่ทูพีซลงปกหนังสือสตาร์ ก็อซซิป  ชำเลืองมองใจ รู้สึกอย่างไรไหมคะ : )

กลางคืนจะหลับจะนอน หมาข้างบ้านเห่าหอนไม่หยุด ใจมีอาการอย่างไรหรือเปล่า...

ได้ยินเสียงเพลงแห่งความหลังกับคนรักเก่าแว่วเข้าหู รู้ทันไหมว่าใจเขาเป็นอย่างไรแล้ว

รู้เหมือนความรู้สึกเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถูกดู อยู่ต่างหากอย่างนั้นเท่านั้นเองค่ะ

 

เชื่อไหมคะว่า ถ้าเจริญสติ ระลึกรู้ ตามดูสภาวะที่เกิดขึ้น ๆ ทั้งวันไปเรื่อย ๆ แบบนี้

โดย ไม่ใช่คิด ๆ เอา และ ไม่ใช่บังคับ ให้ใจมันต้องเจี๋ยมเจี้ยมดูเป็นคนดีศรีธรรมะ

แล้วก็ ไม่ใช่จ้องไว้ก่อน ว่าเดี๋ยวมันจะแสดงอาการอะไรให้ดู ฯลฯ

ปล่อยมันกระโดดโลดเต้นไปตามธรรมชาติ แล้วค่อยโป้งแปะเวลามันโผล่ขึ้นมาเอาค่ะ

 

เราจะเห็นความจริงเดียวกันนั้นเองว่า

แม้ความรู้สึกและอารมณ์ทุกอย่างนั้น ก็ไม่คงที่ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา

 

อย่างคำว่า เศร้า คำเดียว ถ้าเราคอยรู้ทันความรู้สึกระหว่างเศร้าได้บ่อย ๆ

เราก็จะเห็นว่า ระดับของความเศร้าเอง ก็ไม่ได้เท่ากันตลอดเวลา

อยู่ ๆ มันก็อ่อนแรงลงไปได้ อยู่ ๆ มันก็ดับลงไปเองได้ อยู่ ๆ มันก็แรงขึ้นมาใหม่ได้

 

และเมื่อเห็นความเป็นอย่างนี้กับอารมณ์อื่น ๆ ได้ ตามจริง บ่อยเข้า ๆ ๆ

สุดท้าย เราก็จะเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า

ทุกข์มันเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยเป็นขณะ ๆ ไปเท่านั้น

และสุดท้าย มันก็มีแต่ความแปรปรวนไป ไม่มีอะไรคงสภาพ บังคับไม่ได้

ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน ไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารให้น่ายึดถือไว้เลยสักอย่างเดียว

 

วันนี้ เพียงแต่นับหนึ่งด้วยการมีสติระลึกรู้กายใจไปเรื่อย ๆ ด้วยความไม่คาดหวังอะไรทั้งนั้น

ถ้าตั้งเข็มทิศไว้ถูกทางและไม่หยุดเดินเสียแล้ว อย่างไรก็ไปถึงปลายทางกันวันหนึ่งทุกคนค่ะ

 

หมายเลขบันทึก: 226643เขียนเมื่อ 1 ธันวาคม 2008 17:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน 2012 15:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

อนุโมทนานะครับ

วันนี้เตรียมกางกลดเต็มสนามใน มรภ.นครปฐม

รอรับผู้มาบวชทุกคนครับ

หรือจะมาใส่บาตรตอนเช้าวันที่ 5 ธ.ค. ก็ได้นะครับ

มากันเยอะๆนะครับ

จารุวรรณ สว่างศรี03 51/25

จริงค่ะ

เราจะสุขก็เพราะเรารู้จักปล่อยวาง

แต่จะทุกข์มากๆๆถ้าไปยึดติด

กับสิ่งเหล่านั้น

ไม่มีอะไรอยู่กับเรา

ตลอดไปดั่งความรู้

สู้ๆๆๆตั้งใจเรียน...ไปค่ะ

ธรรมะมันเป็นเรื่องจริงของมนุษย์

สิ่งใดที่เป็นของเราก็ย่อมเป็นของเราอยู่ดี

แต่บางทีมันก็อาจทำให้เกิดทุกข์ได้

แต่อย่างไร ก็ขอให้ทำทกวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ

^^~ ^^~

น.ส พัทยา กลิ่นน้ำหอม รหัส 514328125 หมู่เรียน 51/25

สวัสดีค่ะ

คนเราเกิดมาย่อมมีทุกข์ และสุขเป็นของคู่กันเสมอ

แต่เราจะยอมรับมันได้มากน้อยแค่ไหน

บางคนทุกข์มากจนไม่ยอมปล่อยวางอะไรเลย จึงได้เกิดการฆ่าตัวตายเกิดขึ้น

แต่บางคนก็มีสุขมากจนไม่รู้ว่าความทุกข์นั้นเป็นอย่างไร

ฉะนั้น เราควรที่จะเรียนรู้ชีวิตของคนเราให้มีทั้งสุขและทุกข์

เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข ดังเช่นพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ว่า

หากเชือกตึงไป นั้นก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ดี ต้องอยู่กลางๆ ถึงจะเหมาะ

นางสาวลัดดาวัลย์ แจ้งเณร 51/11

ค่ะ จะสุขจะทุกข์อยู่ที่เรากำหนด

เราสามารถที่จะไม่เป็นทุกข์ได้

อยู่ที่เราจะมองมัน

การมองโลกในแง่ดี

ทำให้เรามีความสุขได้

ขออนุโมทนาค่ะ

นางสาว วรารัตน์ ป่าทอง51/11 514245130

ในโลกนี้ไม่มีอะไร

ที่เป็นของเราจริงๆ ดังนั้นเราก็ไม่ควร

ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

เพราะมันอาจจะทำให้เราเป็นทุกข์ก็ได้

ก็ขออนุโมทนาด้วยนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท