อะไรทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด...?
พระพุทธศาสนาเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมก็เพื่อที่จะให้มองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และใช้ปัญญาพิจารณาโดยแยบคาย การให้ผลของกรรมย่อมแตกต่างกันไป กรรมบางอย่างให้ผลในชาตินี้ เรียกว่าทิฏฐธรรมเวทนียกรรมกรรม บางอย่างให้ผลในชาติหน้า เรียกว่า อุปปัชชเวทนียกรรม และ กรรมบางอย่างให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป เรียกว่า อปราปรเวทนียกรรม
กรรมเป็นของผู้ใด ผลกรรมก็ย่อมเป็นของผู้นั้น จะยกไปให้ผู้อื่นไม่ได้ นี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นเหตุและเป็นผลของกันและกัน เหตุอย่างใด ผลก็อย่างนั้นเสมอ การให้ผลของกรรมนั้นขึ้นอยู่ที่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น เมื่อมีผู้ทำกรรม ผลแห่งกรรมก็ย่อมตอบสนองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ผู้กระทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ครั้นตายไปเขาก็ต้องไปเกิดในสุคติ ผู้กระทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับผลชั่ว ครั้นตายไปเขาก็ต้องไปเกิดในทุคติ กรรมดีก็ย่อมได้รับผลดี ครั้นตายไปเขาก็ต้องไปเกิดในสุคติ
กรรมดีและกรรมชั่วจึงมีความสัมพันธ์กันกับการเวียนว่ายตายเกิดใหม่อย่างแน่นอน เพราะเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงสอนเรื่องกรรมอันเป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดกรรมเท่านั้นเป็นตัวนำสรรพสัตว์ให้ไปเกิดในที่ดีหรือไม่ดี แต่คำว่า กรรมในที่นี้หมายถึงกรรมที่เกิดจากการกระทำของตนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมในอดีตหรือในปัจจุบันแต่ก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ในอดีตชาติเราทำกรรมชั่ว พอมาในชาตินี้ผลของกรรมชั่วตอบสนอง เราก็ทำกรรมดีเพื่อบรรเทาผลของกรรมชั่วในอดีตให้อ่อนกำลัง แต่กรรมดีในชาตินี้จะเป็นอุปนิสัยปัจจัยในชาตินี้และชาติหน้าต่อไป การเกิดใหม่ด้วยอำนาจผลของกรรมนั้น ไม่ว่าจะเกิดในโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ และโลกนรกถือว่าเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องวนเวียนอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ชาติแล้วชาติเล่า เนื่องมาจากกรรมนั่นเอง ดังพระพุทธพจน์ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็เหตุเกิดแห่งกรรมเป็นไฉน คือผัสสะเป็นเหตุเกิดกรรม ก็ความต่างแห่งกรรมเป็นไฉน คือ กรรมที่ให้วิบากในนรกก็มี ที่ให้วิบากในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มี ที่ให้วิบากในเปรตวิสัยก็มี ที่ให้วิบากในมนุษย์โลกก็มี ที่ให้วิบากในเทวโลกก็มี.....
(องฺ.ฉกฺก. ๒๒/๓๓๔/๔๖๔-๔๖๕. ฉบับ สยามรฏฐสฺส เตปิฎกํ ๒๕๒๕.)
จากพระพุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นว่า ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม ถ้ากล่าวโดยปรมัตถ์แล้วก็คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เพราะว่า ชีวิตสรรพสัตว์หาได้มีเพียงชาตินี้เดียวไม่ ชีวิตภายหลังความตายก็ต้องได้รับผลของกรรมอีกต่อไปวนเวียนไปในวัฏสงสารด้วยอำนาจของกิเลส กรรม และวิบาก จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน คือ ความดับจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสสอนใช้ดับกรรมก็เพื่อให้ดับต้นตอแห่งสังสารวัฏนั่นเอง
-->> จึงสรุปได้ว่า บ่อเกิดแห่งสังสารวัฏหรือการเวียนว่ายตายเกิดได้แก่กรรมดีและกรรมชั่ว เป็นเบื้องต้นนั่นเอง
ไม่มีความเห็น