ท่านหมื่นทิพ(เทพบุตรตบะแตก)รีวิว The Day the Earth Stood Still (2008) กับ "อาวุธกู้โลก" ที่ทรงอานุภาพที่สุด...


The Day the Earth Stood Still (2008)

ท่านหมื่นทิพ(เทพบุตรตบะแตก)รีวิว The Day the Earth Stood Still (2008) กับ "อาวุธกู้โลก" ที่ทรงอานุภาพที่สุด...

แนวหนัง ไซไฟครับ ไม่ใช่แอ็กชันนะครับผม

 

หลังจากผมได้ชม The Day The Earth Stood Still จบ รู้ไหมครับว่าผมนึกถึงอะไร...

ผมนึกถึงแม่ต้อย... คนที่อยู่ในโฆษณาไทยประกันชีวิตที่เรียกน้ำตาคนไปหลายนั่นแหละครับ ผมนึกถึงความเมตตา ความกรุณา ความรักที่เธอมีให้ผู้อื่น และเธอยังทำให้คนมากมายมีรอยยิ้มกับความสุข..

จากนั้นผมก็นึกถึงข่าวเมื่อวันก่อนไม่รู้คุณๆ ได้ดูกันไหมนะครับ ที่มีสุนัขตัวหนึ่งบาดเจ็บนอนพะงาบอยู่กลางถนนในประเทศชิลี มันนอนรอความตายอยู่กลางถนนนั่น ไม่มีใครคิดช่วยเหลือเพราะคิดว่ามันเป็นเพียงหมาน้อยตัวหนึ่ง... จากนั้นก็มีสุนัขอีกตัววิ่งฝ่ารถราที่แล่นกันอยู่เต็มถนน ตรงไปหาเจ้าสุนัขที่บาดเจ็บนั้น... มันตรงไปช่วยลากเพื่อนออกจากถนนนั่น... ตอนได้ยินข่าวเล่นเอาผมจ้องมองทีวีไม่กระพริบ เพราะมันเป็นอะไรมากกว่าความประทับใจ ดูๆ ไปยังแอบสอนคนอีกต่างหากว่า "แล้วมนุษย์เรานั้นเล่า ทำดีได้เท่าหมาน้อยตัวนั้นหรือไม่?".... "เจอเพื่อนมนุษย์ลำบากแล้วเราทำอย่างไร?" น่าคิดอะไรจะปานนั้น

สิ่งเหล่านี้แหละคืออาวุธชั้นยอด เครื่องช่วยชั้นเยี่ยมที่จะช่วยโลกใบนี้ให้อยู่รอดได้ต่อไป...

เหมือนไม่เกี่ยวกับหนัง... แต่เชื่อเถอะครับ มันเกี่ยวแน่นอน  และเป็นอีกครั้งที่ผมเล่ายาวแน่นอน  ใครไม่ปลื้มของยาวๆ จะข้ามไปอ่านดาวตอนท้ายก็ไม่ผิดกติกา หรือจะอ่านย่อหน้าแรกๆ สักหน่อยก็ได้เหมือนกัน แล้วแต่รสนิยมเลยครับ

แต่ถ้าถามผมโดยส่วนตัวแล้ว... หนังบางเรื่องรู้น้อยยิ่งดี แต่หนังบางเรื่องรู้เยอะก่อนดูก็จะช่วยให้ซึมซับหนังได้เต็มเม็ด สังเกตความเด็ดของหนังได้เต็มหน่วยยิ่งขึ้น... ลางเนื้อชอบลางยาครับ แล้วแต่แล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นที่ต้องชี้แจงแถลงไขให้เข้าใจตรงกันคือ นี่ไม่ใช่หนังแอ็กชันครับ ถ้าคุณคิดว่านี่จะเป็นหนังแนวเอเลี่ยนบุกรุก แล้วคนบนโลกก็หาศาสตราวุธไปถล่ม[/b][/i] ล่ะก็ คิดผิดไปหลายวาเลยครับ รีบจูนด่วนครับพี่น้องที่เคารพรัก อย่าให้โฆษณาหลอกท่านได้ เพราะดูในจอทีวีแล้วส่ายห้วเลยครับ เล่นประกาศก้องว่าหนังแอ็กชันไซไฟฟอร์มยักษ์สุดมันส์แห่งปี โธ่ พี่คร้าบ จะหาเรื่องให้หนังโดนด่าว่าไม่มันส์แล้วไหมล่ะนั่น อีกอย่างตอนที่ผมไปดูก็มีคนบ่นเหมือนกันครับว่าไม่เห็นจะมันส์เลย ผมเลยขอประชาสัมพันธ์ไว้ตรงนี้ล่ะนะครับ

แล้วเช่นนั้นหนังเกี่ยวกับอะไรล่ะ?... เรื่องย่อคร่าวๆ คือมีมนุษย์ต่างดาวนามว่า กลาตู (Keanu Reeves) เดินทางมายังโลกเพื่อประกาศกับมนุษย์ทุกคนว่าเขามาเพื่อปกป้องโลกใบนี้... ปกป้องให้รอดพ้นจากเผ่าพันธุ์ที่ชอบทำลายล้างอย่าง มนุษย์... คุณคงเดาออกนะครับว่ากลาตูจะทำอะไรกับมนุษย์บ้าง แล้วมนุษย์จะรอดพ้นจากภัยนี้ไปได้อย่างไรก็ต้องลองลิ้มชิมชมดูนะครับ

ผมบอกว่าหนังไม่ใช่แอ็กชัน... แต่เรื่องก็เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวบุกโลกไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่แอ็กชันแล้วจะสู้รบปราบพวกต่างดาวได้อย่างไร... เป็นคำถามที่ดีมากครับ... ก็จริงน่ะเน้อะ ถ้าไม่สู้รบออกหมัดแล้วจะซัดพวกต่างดาวให้ออกไปจากโลกได้อย่างไร... แต่เมื่อคุณได้ชมหนังเรื่องนี้แล้วจะเข้าใจครับว่า การกู้โลกหรือแก้ปัญหาต่างๆ ใช่ว่าจะต้องใช้ความรุนแรงล้างผลาญเป็นทางออกเพียงอย่างเดียวเสียเมื่อไร!

และที่ออกจะสนุกสนานสำหรับผมคือ หนังแอบวิจารณ์การโต้ตอบหรือการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงไว้อย่างน่าคิดตาม... ถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วย "สาร" ที่น่าขบคิดก็คงไม่ผิดจากความจริงครับ หนังมีเมล็ดพันธุ์ที่น่าเอาไปแตกยอดทางความคิดมากมายหลายอย่าง และก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความหวังดีทั้งนั้น

จึงสรุปได้เบื้องต้นว่าคนที่ชอบหนังสไตล์นิยายวิทยาศาสตร์แบบเน้นค้นหาความหมาย หรือแบบแทรกกำไรคิด แฝงปรัชญาสไตล์ Contact, 2001: A Space Odyssey หรือ he Day the Earth Stood Still เวอร์ชันต้นฉบับเมื่อปี 1951 ก็น่าจะโอเคเบตงกับหนังเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย

แต่ถ้าหวังบู๊กันแบบ ID4 หรือ War of the Worlds ก็คงไม่สมหวังหรอกครับ อยากดูคนถวายหมัดหักงวงไอยรา ล้างแค้นด้วยเลือด ก็แนะนำให้ตีตั๋วชมองค์บาก 2 ทันทีครับ

The Day the Earth Stood Still เรื่องนี้ก็เป็นฉบับรีเมกนะครับ อย่างที่บอกว่าหนังเคยสร้างมาแล้วเมื่อปี 1951 สมัยที่หนังไซไฟ (เป็นคำเรียกหมายถึง หนังแนวนิยายวิทยาศาสตร์) กำลังเริ่มบูม เพราะระยะนั้นอเมริกากับโซเวียตกำลังก่อสงครามเย็นแข่งขันกันเรื่องเทคโนโลยีและการพิชิตอวกาศ ทำให้เรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์อยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วไป อีกทั้งช่วงปี 1949 ยังเกิดเหตุที่ว่ากันว่ามีจานบินจากต่างดาวตกที่เมืองรอสเวลล์ นิวเม็กซิโกด้วย เรื่องเกี่ยวกับต่างดาวเลยเป็นที่นิยมขึ้นมาทันที

แต่ The Day ต้นฉบับนั้นไม่ได้สักแต่ทำมาอิงกระแสเพียงอย่างเดียว หนังก็หยอดสอดแทรกแง่คิดชวนให้ชาวโลกได้ตระหนักว่าการพุ่งรบทำลายกัน (ด้วยอาวุธนิวเคลียร์) นั้นเป็นสิ่งไม่เหมาะควร โครงเรื่องของฉบับนี้กับฉบับนั้นคล้ายกันตรงที่มีมนุษย์ต่างดาวมาเตือนชาวโลกให้หยุดรุกรานโลก แต่ฉบับก่อนจะจับประเด็นระเบิดนิวเคลียร์ ส่วนฉบับใหม่นี้จับประเด็นสิ่งแวดล้อม ความรุนแรง และการทำลายโลกด้วยเทคโนโลยี ซึ่งถ้าว่ากันโดยหัวใจแล้วก็ยังคงเดิมครับ นั่นคือ หนังต่างบอกให้มนุษย์หยุดห้ำหั่น หยุดทำร้ายซึ่งกันและกัน แล้วหันมาทำสิ่งดีๆ เพื่อรักษาโลกใบนี้ให้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ (เวอร์ชั่นเดิมนั้นได้รับการยกย่องว่าคลาสสิกด้วยครับ ผมก็ขอยืนยันอีกหนึ่งเสียงว่ายอดมาก ชนิดที่ต้องดูให้ได้)

การที่หนังมีสาระว่าด้วยการรักษ์โลกแบบนี้ ก็ถือว่าเข้ากระแสอยู่เหมือนกัน แบบที่ An Inconvenient Truth, The Happening แล้วก็แอนิเมชั่นชั้นดีอย่าง Wall-E ก็เพิ่งบอกมนุษย์ไปหยกๆ ว่ารีบรักษาธรรมชาติกันเร็วๆ แล้วก็ผสมกับสาระที่สื่อให้มนุษย์กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกันแบบ The Dark Knight

สำหรับความดีเด่นของหนังนั้น จะว่าไปก็เข้าแถวเรียงไปกับหนังเหล่านั้นได้เหมือนกันครับ แต่จะดีมากดีน้อย อันนี้ต้องมาว่ากันอีกที

ถ้าว่ากันตามจริงผมชอบสาระในหนังมากครับ มันมีทั้งที่สื่อตรงๆ และการสื่อแบบแฝงๆ บอกได้เลยว่าทุกอย่าง ทุกตัวละคร และทุกคำพูดที่มาจากปากกลาตูนั้น เป็นของดีทั้งนั้นเลยครับ แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนชอบดูหนังที่มีการพูดๆๆๆ เยอะๆ ก็คงไม่ถูกปากน่ะครับ เพราะมันเดินเรื่องด้วยการสนทนาจริงๆ

ด้านเทคนิค Effect ก็ยอดเยี่ยมมากครับ โดยเฉพาะไอ้แมงตัวจิ๋วๆ (ตัวอะไรต้องไปดูเอง) นั่น ทำได้อย่างดีมากครับ หรือเจ้าทรงกลมปริศนาก็ดูทรงพลังเข้าท่าดี ดนตรีประกอบของ Tyler Bates ก็เข้ากับอารมณ์หนังครับ เน้นกดดันผสมเร้าใจนิดๆ และที่ขาดไม่ได้คือดาราครับ หนังเรื่องนี้พลังดาราก็แพรวพราวใช้ได้ เริ่มจากนาย Keanu Reeves ที่พี่แกเหมาะกับบทแบบนี้มากครับ บทประเภทมนุษย์ต่างดาวหรือคนที่ไม่ได้ปกติอย่างใครเขา แล้วก็แสดงอารมณ์น้อยๆ นี่เหมาะทีเดียวครับ ดูดี ดูมีพลังในตัว บางคนก็แอบกัดว่าพี่แกเล่นแข็งอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ (ว่าไปนั้น) ส่วน Jennifer Connelly นางเอกก็สวยน่ารักดี แสดงก็ดีไม่มีปัญหาหรอกครับ เข้ากับ Jaden Smith ลูกชายนาย Will Smith ที่มาเล่นเป็นลูกเลี้ยงของเธอ สองคนนี้ก็สื่อแสดงต่อกันได้ดีแต่เหมือนบทจะยังไม่เปิดโอกาสให้แสดงอะไรมากเท่าไหร่ ส่วนอีกสองคนที่ฝีมือเข้ม แต่บทบาทไม่เยอะเท่าไรก็คือ Kathy Bates ในบท เรจิน่า แจ็กสัน รัฐมนตรีหญิงกับ John Cleese ในบท ศาสตราจารย์เบิร์นฮาร์ท จริงๆ ผมว่าสองคนนี้เล่นดีครับและฝีมือเฉียบอยู่แล้ว แต่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์คล้าย Connelly คือเล่นดีมีฝีมือ แต่ไม่ได้โชว์สักเท่าไร

โดยรวมๆ หนังมีองค์ประกอบที่แข็งมากทีเดียว ด้านบทก็น่าสนใจไม่เลวครับ โครงน่ะดี แต่ถ้าถามว่าเดินเรื่องครบเครื่องดีเต็มสูบหรือไม่ก็ต้องบอกแบบไม่อ้อมไม่ค้อมว่าหนังยังไม่ถึงกับลงตัวเต็มที่นัก หนังออกมาค่อนข้างเนิ่บไปนิดน่ะครับ ไม่ได้เร้าใจมากอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ได้ลุ้นเยอะเท่าที่คิด อะไรๆ ในหนังก็เข้าข่ายเดาได้เสียส่วนใหญ่ ซึ่งออกจะผิดฟอร์มผู้กำกับ Scott Derrickson ไปบ้าง เพราะขานี้ปกติแม้บทหนังจะไม่เร่งไม่เร้าแต่เขาก็ทำให้เกิดอารมณ์กดดันหรือตื่นเต้นได้ งานชิ้นก่อนๆ ของเขาอย่าง Hellraiser: Inferno ภาคห้าของหนังชุดกล่องรูบิกปริศนาและพี่พินเฮดจอมโหด ที่แม้จะดัดแปลงเนื้อเรื่องไปจากภาคก่อนๆ แต่ก็ยังทำให้น่าติดตามน่ากลัวได้ หรือ The Exorcism of Emily Rose งานแจ้งเกิดเรื่องดังของพี่ท่านก็ทำได้ตื่นเต้นหวาดผวาน่าพอใจออก ส่วน The Day นี้จริงๆ ก็ดีครับ แต่ยังไม่สุด อาจจะสรุปได้ว่า นี่เป็นผลงานที่ "เปี่ยมคุณค่าที่สุด" ของเขา แต่ยังไม่เชิงว่าสนุกที่สุดเท่านั้นเอง

พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วทำให้ผมนึกไปถึง I Am Legend ครับ จริงๆ ระหว่างสองเรื่องนี้ บทก็ไม่ได้ซับซ้อนพอๆ กันน่ะแหละ แต่เรื่องนั้นจะทำได้น่าติดตามตื่นเต้นกว่ากันอยู่พอตัว (อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าถ้า Francis Lawrence[b] คนกำกับ[b] I Am Legend ให้มาทำ หนังอาจจะออกมาเข้มข้นไปอีกแบบก็ได้)

แต่ผมก็พอเข้าใจเจตนาของ Derrickson และ David Scarpa คนเขียนบทอยู่น่ะครับ ว่าการที่เขาไม่ทำให้อะไรๆ มันเข้มไปกว่านี้หรือกดดันหนักๆ แต่กลับนำเสนอออกมาอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อนให้มากก็อาจจะต้องการให้ผู้ชมใส่ใจกับประเด็นของ "สาร" ในหนังมากกว่าความตื่นเต้นตกใจก็เป็นได้... อันนี้มองในแง่ดีช่วยหนังนะครับ แต่ลึกๆ แล้วก็ยังแอบคิดว่าทำให้ดูสนุกน่าติดตามเร้าอารมณ์กว่านี้น่าจะดีอีกหลายเท่า เพราะยังไงแม้หนังจะทำตัวเป็น "สาร" ที่ดีแค่ไหน แต่ในฐานะหนังก็ควรจะหยอดความบันเทิงลงไปอีกสักนิดหนึ่ง

 

แต่ก็เอาน่ะครับ ถ้าไม่คิดมาก ตัวหนังเองก็ดูได้เรื่อยๆ มีดาราดี มีทีมงานเนรมิตดนตรี Effect ออกมาได้ดี สาระยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เลยพอจะหักกลบลบให้ได้คะแนนบวกขึ้นมาได้

 

หลังจากว่าถึงตัวหนังคร่าวๆ ไปแล้ว ทีนี้ผมก็จะลงมาสู่ "สาร" ที่หนังนำมาบอกชาวโลกล่ะนะครับ เอาล่ะ เตรียมตัวรับการสปอยล์ได้เลยครับ แต่หากไม่อยากทราบ ข้ามไปอ่านดาวได้แล้วนะขอรับกระผ้ม[b]

 

ในช่วงต้นหนังเริ่มจับใจผมตั้งแต่การดำเนินเรื่องที่กระชับใช้ได้ เล่าแบบตรงประเด็น ก่อนจะนำเรามาพบกับกลาตู มนุษย์ต่างดาวที่มีร่างกายภายนอกเป็นมนุษย์ และเมื่อเขาเปิดปากเอ่ยบทสนทนาชุดแรกระหว่างเขากับรัฐมนตรีเรจิน่า ผมก็เจอหมัดเด็ดหมัดแรกที่กระแทกรอยหยักในสมองของเรจิน่าและคนดูแบบผมอย่างจัง

 

เรจิน่าพยายามถามว่า กลาตูมาทำอะไรที่นี่ คุณต้องการอะไรจากโลกของเรา... พอได้ยินดังนั้น กลาตูก็รีบถามกลับทันทีว่า [b]"โลกของคุณงั้นเหรอ?"... คำง่ายๆ แต่ได้ใจความทีเดียว

 

จากนั้นช่วงถัดมาเราก็ได้ทราบถึงเหตุผลว่ากลาตูมายังโลกเพื่ออะไร... เขามาเพื่อช่วยโลก ตอนแรกพอนางเอกได้ยินก็เลยไม่คิดอะไร แต่พอเวลาผ่านไปเธอเริ่มสงสัยว่าอะไรกันแน่คือความหมายของคำว่า "มาช่วยโลก" จนกลาตูเฉลยแบบชัดถ้อยชัดคำว่า ช่วยโลกให้พ้นจากมือมนุษย์ กล่าวออกมาว่าถ้าโลกตายมนุษย์ก็จะตาย... แต่ถ้ามนุษย์ตาย โลกนี้ก็จะพ้นภัย

 

น่าคิดดีไหมครับ "ถ้ามนุษย์ยังอยู่ โลกนี้จะต้องตาย... แต่หากพวกคุณตาย โลกนี้จะรอด"

 

คุณรู้สึกอย่างไรกับคำตอบตรรกะอันนี้บ้างครับ... คิดว่ากลาตูช่างโหดร้าย หรือ ไอ้นี่มันหาเรื่องชัดๆ หรือมองว่ามันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระเสียเหลือเกิน... งั้นเราลองมาคิดตามหน่อยดีไหมครับ

 

กลาตูนั้นคือมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาสำรวจตรวจสอบและได้ข้อมูลว่า โลกนี้กำลังถูกทำลายด้วยมือของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ ... มนุษย์ทำลายธรรมชาติทั้งป่าไม้ ลำน้ำ อากาศ แม้แต่โอโซนหรือชั้นบรรยากาศที่รักษาโลกไว้ อยูห่างไกลจากพวกมนุษย์ตั้งไม่รู้กี่ร้อยกิโลเมตรก็ยังโดนกัดกินจนเกือบพรุนไปหมด...

 

มนุษย์ทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่ว่าจะฆ่าสัตว์เพื่อเอามากิน ฆ่าสัตว์เพื่อการกีฬา ฆ่าสัตว์เพื่อความสนุก ฆ่าเพื่อเอาชิ้นส่วนมาประดับบ้าน ฆ่าสัตว์โดยการทำลายวงจรธรรมชาติ ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า!... ฆ่าจนสิ่งมีชีวิตหลายชนิดสูญพันธุ์ไป หรือที่ไม่ฆ่าก็จับมันมากักขังในสารพัดวิธี

 

และที่ร้ายที่สุด มนุษย์ทำลายกันเอง ฆ่ากันเพื่อผลประโยชน์ พอมีเรื่องขัดแย้งกันนิดหน่อยก็แทบจะควักปืนมายิงกัน ไหนจะการทำสงครามสารพัดรูปแบบทั้งใช้อาวุธรุนแรง หรือการใช้อาวุธรุ่นใหม่ ได้แก่การใช้ระบบเศรษฐกิจเป็นอาวุธทำลายซึ่งกันและกัน

 

สำหรับกลาตูและพรรคพวกแล้ว มนุษย์คือผู้ทำลายที่สมควรถูกกำจัด...

 

หากผมกล่าวเช่นนี้แล้วยังไม่เห็นภาพ ก็คงต้องขอยกตัวอย่างนี้สักหน่อย... สมมติคุณเป็นโรคผิวหนัง มีเชื้อรามาเกาะกินเนื้อของคุณ... มันทำลายคุณ คุณจะทำอย่างไร... แน่นอนคุณต้องจัดการล้างบาง กำจัดเชื้อโรคให้สะอาด เพื่อรักษาร่างกายให้หายสนิท สมดุลย์ในร่างจะได้กลับมาอีกครั้ง...

 

ในที่นี้ ร่างกายคือโลก... เชื้อร้ายคือคน คนที่คอยเกาะกินทำลายโลก ดังนั้นกลาตูก็ทำเหมือนคนเป็นโรคผิวหนัง... เขาต้องฆ่าเชื้อโรคนั่นเพื่อยุติการทำลายทั้งหมด และรักษาให้ผิวหนัง (หรือผิวโลก) กลับมางดงามดังเดิม

 

ถ้าคิดตามตรรกะนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าใจการตัดสินใจของกลาตูและมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ได้มาเพื่อครองโลก แต่มาเพื่อรักษาโลก รักษาเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีกหมื่นแสน

 

แล้วก็มองมาสู่โลกแห่งความจริง... แม้เวลานี้จะยังไม่มีใครมาล้างโลกแบบเป็นตัวตน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลแห่งการกระทำของเรานั้นกำลังย้อนมาเป็นหอกปักอกมนุษย์อย่างเราๆ ไม่ว่าจะภัยธรรมชาติสารพัดที่กลืนชีวิตคน โรคร้ายที่ทวีความร้ายกาจมากขึ้นจนถึงขั้นรักษาไม่ได้ และสุขภาพของมนุษย์ก็เริ่มเจ็บออดแอดไม่แข็งแรงมีกำลังเท่าคนสมัยก่อน เพราะอากาศมันสกปรก อาหารมันมีสิ่งปนเปื้อนเต็มไปหมดแล้ว...

 

ว่ากันโดยอุปมา... กลาตูมาถึงโลกนานแล้วครับ เขากำลังทำหน้าที่ล้างโลกอย่างช้าๆ จนเราอาจไม่สังเกตเห็น...

 

แม้หนังเรื่องนี้จะไม่ได้สร้างจากเรื่องจริง แต่ก็น่าจะใช้คำว่า "ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง" อยู่เหมือนกัน

 

(ยังไม่จบครับ)

แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 20:14:48

 

แก้ไขเมื่อ 11 ธ.ค. 51 13:44:56

 

 

 

  

 

 

 

 

 

 

จากคุณ : หมื่นทิพ (เทพบุตรตบะแตก!!)    - [ 11 ธ.ค. 51 13:44:30 ] 

 

 : ->บังเอิญไหมที่เราได้พบกัน<-, joyka, McMurphy, ห ญ้า ไ ห ว, lufi_luf

  

 

 

 ผมยังนึกถึงนายกลาตู (Keanu Reeves) มนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมายังโลกเพื่อช่วยโลก ให้พ้นจากมือที่ชอบทำลายของมนุษย์... เป้าประสงค์แรกและเป้าประสงค์เดียวคือ มาเพื่อกวาดล้างมนุษย์ออกไปจากโลก เพื่อให้สิ่งมีชีวิตอื่นได้อยู่รอดต่อไป

เขามาพร้อมความคิดและข้อมูลชุดหนึ่งที่มีเหตุผลเพียงพอที่จะล้างมนุษย์... แต่คนที่ดูจนจบแล้วย่อมทราบว่าในที่สุดเขาก็ไม่ได้ล้างโลก ทำเพียงทำลายวิทยาการลงให้มนุษย์สำนึกเท่านั้นเอง

อะไรทำให้กลาตูเปลี่ยนใจ... เขาแอบชอบนางเอกรึเปล่า หลายคนอาจคิดเช่นนั้น แต่ผมมองในแง่ที่ว่า เขาเปลี่ยนเป้าประสงค์ เพราะเขาได้รับข้อมูลชุดใหม่มาชั่งน้ำหนักมากกว่า

เดิมทีเขารู้เพียงว่ามนุษย์ชอบทำลาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรง และชอบแสดงอำนาจครอบครองธรรมชาติ ลักษณะด้านนี้ของมนุษย์ก็แทบไม่ต่างจากเชื้อโรคร้ายที่เกาะกินโลกไปเรื่อยๆ... ไม่น่าแปลกที่มองมุมนี้แล้วกลาตูจะต้องการล้างพันธุ์มนุษย์

แต่ในเวลาต่อมากลาตูก็ได้ตระหนักว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้น... หลังจากเขาได้รู้จักนางเอก รู้จักดร.เบิร์นฮาร์ทและสัมผัสอะไรอีกหลายอย่างทำให้เขาเรียนรู้ข้อมูลใหม่จากมนุษย์มากขึ้น... มนุษย์แม้จะมีด้านเสียที่หนักหนา แต่ก็ยังมีคนดีๆ ที่มาพร้อมด้านดีๆ ไว้เยียวยาโลกเหมือนกัน

ข้อมูลใหม่ที่เขาได้แม้จะโต้แย้งกับข้อมูลเดิมที่มี แต่เขาก็เลือกที่จะประมวลมันและตัดสินใจอย่างเป็นกลาง ว่าเขาควรจะทำอะไรต่อโลก... ไม่ต้องฆ่าแค่กระตุ้นจิตสำนึกก็พอ...

กลาตูจากโลกไปพร้อมให้โอกาสมนุษย์ในการแก้ไข

ในขณะที่หนังจบลงพร้อมอีกเรื่องน่าคิด ฝากไว้ให้คนดู...


ดูกลาตูสิครับ พี่ท่านมาโดยคิดในหัวเลยว่า "มนุษย์คือผู้ทำลาย เราต้องกำจัดมนุษย์เพื่อช่วยโลกๆๆๆๆๆๆ"เขามาพร้อมความคิดหนึ่ง

แต่ในกาลต่อมา มีคนเอาข้อมูลใหม่ที่ค่อนข้างจะแย้งต่อความคิดนั้น... แล้วเขาทำอย่างไรกับมันครับ... เขาเลือกที่จะไม่ฟังหรือเลือกที่จะเอามันมาประกอบการพิจารณาเพื่อให้เกิดความคิดใหม่และทางออกใหม่ที่เหมาะสมกว่านั้น

แล้วก็มองย้อนมาที่มนุษย์เรา (หรือไม่ก็คนในบ้านเรานี่แหละ) ... อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายและความขัดแย้งคือ คนเราแทนที่จะจัดการกับความเห็นคนอื่นที่แตกต่างแบบกลาตูแต่ดันเลือกที่จะโต้แย้ง เอาชนะ ยัดเยียดความคิดตนให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ยัดความคิดบังคับให้เราคิดตาม ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมฟังกัน จนความแตกต่างทางความคิดนำมาสู่ความแตกแยก

... มองแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ้านเราจะร้อนๆ ลุกๆ อยู่ตอนนี้ เพราะคนเราเลือกที่จะ "แตก" แทนที่จะ "ตั้งต้น" เริ่มช่วยกันสร้างสิ่งดีๆ

จริงๆ เป็นเรื่องที่ดีนะครับที่บ้านเรามีนักคิดหลายคน แต่ละคนก็พยายามตื่นตัวโดยการเสนอความเห็นออกมา หาทางออกให้ปัญหาต่างๆ หรืออย่างตอนดูหนังแล้วเอามาเล่ากันในบอร์ด จริงๆ เรามีความคิดดีๆ ที่น่าสนใจทั้งนั้น แต่แทนที่เราจะจับเอาความคิดหลากหลาย (ที่มีความต่าง) นั้นมาผสมผสานให้เกิดอะไรดีๆ เราดันตั้งป้อมปกป้องความคิดตัวเอง จนลืมที่จะใช้ประโยชน์จากมัน... สุดท้ายไม่ได้ความคิดใหม่ๆ ซ้ำยังได้ขั้วตรงข้ามอีกต่างหาก... น่าเสียดายจริงๆ

ผมอยากให้คุณดูแม่สีเป็นตัวอย่าง... แดง เหลือง น้ำเงิน... มันสร้างความงดงามให้โลกนี้ได้เพราะมัน "ยอมผสม" เข้าด้วยกัน...

แดงจับมือกับเหลือง ได้เป็นสีส้ม

สองสีที่ต่างเมื่อยอมผสมกัน จะได้สีใหม่มาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับโลกต่อไปได้... แต่คิดดูครับหากสีเหล่านี้ไม่ยอมผสมกัน ต่างคนต่างอยู่ โลกนี้คงมีแค่แดง เหลือง น้ำเงิน ...แดง เหลือง น้ำเงิน ... แดง (อีกแล้ว) เหลือง (อีกละ) น้ำเงิน (อีกล้า)

มันคือตรรกะแห่งการผสมผสานที่แสนง่าย กลาตูเองก็ไม่ได้ใช้หลักปรัชญาชั้นสูงในการวิเคราะห์และเปลี่ยนการตัดสินใจ เขาเพียงคิดประมวลมันโดยตัดส่วนผสมของอคติส่วนตัวออกไป (จริงๆ เขาแทบไม่มีมัน เพราะเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ละทิ้งอารมณ์ไปนานแล้ว)

ความคิดของกลาตู มาเจอกับความคิดของพวกนางเอก... ผสมกันมุมมองใหม่ที่เขาได้สัมผัส... เลยได้การตัดสินใจใหม่ และการเริ่มต้นใหม่...

ผมว่ามีสื่อความหมายได้เหมาะกับสภาพสังคมไทยและสังคมโลกในตอนนี้เป็นอย่างยิ่งทีเดียว...หรือเพื่อนๆ คิดว่าอย่างไร ลองมาคุยกันได้นะครับ

อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับกลาตู... ใช่ครับ มันยังมีอีก

ผมอยากให้ลองสังเกตการกระทำของกลาตู กับการกระทำของท่านประธานาธิบดีแห่งสหรัฐในหนัง...

กลาตูมีอาวุธมหาประลัยที่ล้างได้ทั้งโลก เขมือบได้ทุกสิ่ง... เขามีอำนาจ...

ประธานาธิบดีก็มีอาวุธหนักเช่นระเบิด นิวเคลียร์ จรวด เครื่องบินรบ... เขาก็มีอำนาจ

คนสองคนที่มีอำนาจ... แต่วิถีการใช้อำนาจช่างต่างกันนัก

กลาตูแม้จะมีอำนาจและสามารถล้างผลาญทุกอย่างในโลกได้ ครอบครองโลกก็ยังได้ แต่เขากลับค่อยๆ เรียนรู้ศึกษาต่อสถานการณ์ต่างๆ ในโลก ค่อยๆ เข้าใจหาข้อมูลความเป็นไปในโลก... เขาต้องมีข้อมูลอันพร้อมก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป เพราะแม้เขาจะไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่เขาก็รู้ว่าการล้างผลาญชีวิตคน มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น...

ส่วนท่านผู้นำประธานาธิบดีในเรื่อง (และในหนังฝรั่งอีกหลายเรื่อง) เอะอะพี่แกยัดระเบิดใส่ปากชาวบ้านเป็นสรณะ ขนาดคนรอบข้าง อย่างในเรื่องก็มีเรจิน่า (Kathy Bates) รัฐมนตรีกลาโหมแนะนำว่า "ท่านคะ ดิฉันว่าเราควรเปิดการเจรจา... " แต่ท่าน ปธน. ก็ยืนกรานใช้ระบบผีจับยัดตามปกติ...

เห็นได้ชัดว่าอำนาจไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวหรอกครับ แต่คนที่มีมันต่างหากที่น่ากลัว หากใช้มันเป็นก็ย่อมดีต่อโลก แต่หากไม่...

ยิ่งไปกว่านั้น คนไม่ดีเหลิงอำนาจว่าน่ากลัวแล้ว แต่คนไม่ดีที่เหลิงอำนาจแล้วยังหวงอำนาจอีก เพราะคิดว่าอำนาจเป็น "ของเรา"... นี่ยิ่งก่อเรื่องสยดสยองได้มากมายหลายเท่านัก...

สิ่งที่คนเราควรทำความเข้าใจได้แล้วคือ "อำนาจ" ไม่ใช่สิ่งที่ใครมีแล้วจะทำตามอำเภอใจได้ แต่ "อำนาจ" คือสิ่งที่ใครก็ตามที่มีมัน ต้องรู้จักควบคุมมัน ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองเหลิงไปกับมัน อีกทั้งต้องตระหนักด้วยว่าอำนาจนั้น ใช้ดีเป็นศรีแก่โลก แต่หากใช้ในทางไม่ดีโลกก็กระจุย

ลองเปลี่ยนคำว่าโลกมาเป็นประเทศดูแล้วกันจะได้ใกล้ตัวเข้ามาหน่อย

อย่างที่ผมบอกไว้ในกระทู้ที่แตกมาครับ มนุษย์มีความสามารถมีพลังสมองและความคิดที่จะทำสิ่งดีๆ ต่อโลก การที่ธรรมชาติมอบสติปัญญามาให้มนุษย์ก็เพื่อรักษาโลก "พลังความคิด" คือ "อำนาจ"  ที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะที่เราควรจะตระหนักว่า ธรรมชาติไว้ใจให้เรามีสิ่งมีค่าชนิดนี้... เราทุกคนจึงมีพันธะหน้าที่ใช้สิ่งที่อยู่ในหัวสร้างสิ่งดีๆ และพิทักษ์โลก... แต่อนิจจา ไหงเวลานี้มันกลายเป็นอีกอย่างไปได้

มนุษย์ทุกคนมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อโลกใบนี้ แต่คนที่มีอำนาจมากกว่าชาวบ้านทั่วไป (หรือ คนที่ชาวบ้านมอบอำนาจให้) ยิ่งมีความรับผิดชอบมากทวีขึ้น เพราะเขามีอำนาจทำสิ่งดี สิ่งถูกต้องและช่วยโลกได้มากกว่าคนธรรมดาอยู่พอสมควร ...

หวังว่าพวกเขาจะตระหนักเรื่องนี้สักวัน... แต่พอเหลือบดูทีวี...คงยังไม่ใช่วันนี้ล่ะกระมัง

... ครับ การมาของกลาตูครั้งนี้ให้อะไรเยอะทีเดียว หากเราลองคิดตามนะ จริงๆ แง่คิดพวกนี้มีอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน... ทุกอย่างรอบตัวสอนเราเสมอ... เพราะโลกคือห้องเรียนที่ใหญ่ที่สุด

ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ขอให้พวกเราทุกคนโชคดีครับ

 

คำสำคัญ (Tags): #the day the earth stood still (2008)
หมายเลขบันทึก: 229749เขียนเมื่อ 15 ธันวาคม 2008 16:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 22:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท