มองย้อนกลับไป…อาจจะหลายปีสำหรับผู้บริหารอาวุโส ไม่กี่ปีสำหรับผู้จัดการคนใหม่ไฟแรง คงยังไม่ลืมว่าก่อนจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นมานั้น ความรู้สึกมันเป็นอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าทุกท่านมีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ จึงยืนอยู่ตรงนั้นได้ และก็อาจจะยืน หรือนั่งอยู่ได้นานเท่านาน แต่นั่นก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เราท่านปรารถนามากไปกว่าการพิชิตใจลูกน้อง ได้ศรัทธาจากผู้คน และโดยเฉพาะการได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย หรือผู้อาวุโสกว่า ซึ่งไม่ว่าจะทำงานด้านไหน ทุกคนต่างก็มีนาย แม้เป็นเจ้าของธุรกิจเองก็มีนายได้เหมือนกัน
ความรู้สึกแรก ๆ ของผู้บริหารชั้นต้นอยู่ตรงกลางระหว่างนายกับลูกน้องหรือผู้อาวุโสน้อยกว่านี้ เป็นความรู้สึกที่อาจจะภูมิใจเพียงเล็กน้อยที่ก้าวพ้นจากระดับผู้ปฏิบัติมาได้หน่อย แต่ก็ยังไม่ใช่ว่าจะโล่งอก สบายใจเสียทีเดียว มันเหมือนยืนอยู่ตรงกลางและบางครั้งอาจจะถูกดึงไปข้างใด ข้างหนึ่ง เอาใจนายมาก ลูกน้องก็ว่าเอาตัวรอด อยากได้ดีคนเดียวหรือเปล่า จนบางครั้งได้ยินลูกน้องเรียกแว่ว ๆ มาว่าเจ้านายฉันมันพวกยีราฟ แต่ถ้าเข้าข้างลูกน้องมากไป นายก็ว่าบริหารงานไม่เป็น กลัวลูกน้องไม่รักก็เลยตามใจซะอย่างงั้น ถ้าจะว่าไปก็โดนทั้งขึ้นทั้งร่อง
แต่เท่าที่ทราบ ผู้บริหารชั้นต้นส่วนใหญ่จะเลือกข้างเจ้านาย สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะปีกยังไม่กล้า ขายังไม่แข็ง หากไม่มีแบ๊คอัพ ก็ไม่พ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ในประเด็นนี้ ขอแทรกความเห็นส่วนตัวว่าถ้าคำนึงถึงเก้าอี้มากไป ลูกน้องก็อาจจะไม่นับถือเอาได้ จริง ๆ แล้ว ความเป็นผู้นำอาจมีมาแต่กำเนิดที่เขาเรียกว่า “born to be boss” สำหรับคนบางประเภท ซึ่งถ้าใครศึกษา Enneagram หรือนพลักษณ์ของท่านอาจารย์สันติกะโร ก็จะเข้าใจทันทีว่าอาจจะหมายถึงลักษณ์ 8 ลักษณ์เจ้านาย (Boss หรือ Challenger) แต่ก็ไม่ใช่ว่าลักษณ์นี้จะเป็นเจ้านายหรือผู้บริหารได้อย่างแท้จริง ความเป็นผู้นำส่วนหนึ่งอาจจะเป็นพรสวรรค์ แต่หากไม่มีพรแสวงและการฝึกฝนบ่มเพาะจิตที่จะเป็นแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นกันได้โดยง่าย ที่แตะเรื่องนพลักษณ์ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้ว่าเรามีบุคลิกภาพภายในแบบใด ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นเช่นนั้นอยู่เอง เรารู้เพื่อที่จะเข้าใจสาเหตุที่ทำให้เราเป็นเช่นนี้ เพื่อปรับ เพื่อแก้ เพื่อพัฒนา ต่อไปเรื่อย ๆ พัฒนาอะไร? ก็พัฒนาทางจิตของเรานี่เอง
เขียนไปไกลนิดหนึ่งเพื่อที่จะโยงมาที่ก้าวแรกของเราและท่าน ควรเต็มไปด้วยความหมาย…ความหมายที่ว่านี้ควรจะเป็นความหมายใหม่ที่แตกต่างจากเดิมเมื่อสมัยที่เราเป็นเพียงผู้ปฏิบัติงานธรรมดา ๆ เป็นลูกน้องที่ฝึกฝีไม้ลายมือ ทำงานงก ๆ พอเริ่มเงยหน้าขึ้นมาได้บ้างก็อย่าถึงขั้นแหงนเลย เคยได้ยินเหมือนกันนะ ที่ลูกน้องบ่นมา ว่าเจ้านายคนใหม่ของเขาชอบทำหน้าแหงน เหมือนไม่อยากเห็นหน้าใคร ก็จะคอยทำท่าเมิน ๆ มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ทำไมความหมายใหม่ที่ผู้บริหารท่านนี้นิยามไว้จึงเป็นเช่นนี้ การทำตัวเหนือกว่าคนอื่น โดยมองขึ้นฟ้า ทำท่ามองไม่เห็นใคร มันเป็นบุคลิกผู้นำตรงไหน การที่เราทำเช่นนี้จะได้ดูผิดแผกแตกต่างจากลูกน้อง ให้คนอื่น ๆ แยกเราออกมาว่าเป็นนายหรือ หรือว่าไม่อยากทำตัวสุงสิง ให้ลูกน้องใกล้ชิดมากเกินไป เกรงว่าจะถูกลามปาม
อะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในใจของเขาหรือเธอผู้นั้น แม้เราไม่ทราบคำตอบ แต่ก็รู้สึกเสียดายแทนที่ก้าวแรก และโอกาสที่ได้รับมีไว้แต่ไม่รักษา มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ศรัทธาจากคนที่อยู่รอบข้าง มันต้องใช้เวลา ใช้ความคุ้นเคย ความสนิทสนม และโดยเฉพาะการเสียสละ คนที่จะเป็นนายไม่ว่าระดับไหน อยากให้รู้สึกสัมผัสความหมายของคำนี้อย่างแท้จริง คำว่าเสียสละเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐานของผู้นำ เมื่อเราต้องยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าเขา เราต้องรู้สึกใจเกินร้อยที่อยากจะปกป้องเขา โดยเราก็จะต้องอาศัยคุณธรรมข้อนี้ในการเข้าหาพวกเขา ความเสียสละที่ว่านี้ ได้แก่ เสียสละเวลาที่จะรับฟังปัญหา ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกน้อง อยากจะบอกว่า แม้เรื่องที่พวกเขามาเล่าให้ฟังอาจจะปนเรื่องส่วนตัวบ้าง ก็ควรจะฟังอย่างตั้งใจ ยิ่งมีตำแหน่งสูงเท่าไร หูก็ยิ่งต้องทำงานหนัก ก็คือต้องใช้มากขึ้น เป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด ซึ่งก็จะส่งผลให้เราเป็นพหูสูตรด้วยเช่นกัน
คำว่าพหูสูตร คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมีลักษณะดังนี้คือ[1]
๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆ อย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำนาญ
๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่นเหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กันเป็นต้น
๔.รู้ไกล คือการศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคตเป็นต้น
ถ้าอยากจะเป็นพหูสูตก็ควรต้องมีคุณสมบัติดังว่านี้คือ
๑.ความตั้งใจฟัง ก็คือชอบฟัง ชอบอ่านหาความรู้ และค้นคว้าเป็นต้น
๒.ความตั้งใจจำ ก็คือรู้จักวิธีจำ โดยตั้งใจอ่านหรือฟังในสิ่งนั้นๆ และจับใจความให้ได้
๓.ความตั้งใจท่อง ก็คือท่องให้รู้โดยอัตโนมัติ ไม่ลืม ในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ
๔.ความตั้งใจพิจารณา ก็คือการรู้จักพิจารณา ตรึกตรองในสิ่งนั้นๆอย่างทะลุปรุโปร่ง
๕.ความเข้าใจในปัญหา ก็คือการรู้อย่างแจ่มแจ้งในปัญหาอย่างถ่องแท้ด้วยปัญญา
จะเห็นว่าแค่เริ่มจากคุณธรรมคำว่าเสียสละไม่เพียงแต่ได้ใจลูกน้อง ยังทำให้เราเพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์จากการรับฟังปัญหาต่าง ๆ ของพวกเขา เราจะได้ทราบในสิ่งที่ในห้องประชุมก็ไม่เคยมีใครกล้าบอกกัน ต้องคนไว้ใจ พูดแล้วรู้สึกสบาย ๆ กันเองเท่านั้นจึงจะเล่าให้ฟัง ลบความคิดไปได้เลยที่ว่าการประชุมในห้องประชุมเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งบทสรุปของปัญหาทั้งปวง หลายคนเมื่ออยู่ในห้องประชุมที่เป็นทางการ อย่าว่าแต่พูดออกมาเลย อาจจะไม่กล้าแม้แต่จะคิด… ถ้าเขาคิดไม่ออก พูดไม่ได้ ก็คงมีแต่นายเท่านั้นที่พูด และสั่งให้ทำ แล้วปัญหาที่แท้จริงจากล่างสู่บนก็ไม่มีวันได้รับการเยียวยาแก้ไข เรา…ท่านผู้เป็นนายไม่รู้ปัญหา แล้วเราจะเป็นผู้บริหารยุคใหม่ที่โลกภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้ได้อย่างไร
เสียสละเวลาสนทนารับฟังปัญหาแล้ว ก็พัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ ในรูปแบบการเสียสละอย่างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ การพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คงอธิบายเป็นรูปธรรมได้ยาก เพราะมันหลั่งออกมาเองเป็นสาย “น้ำใจ” ชื่อก็บอกแล้วว่า น้ำในที่นี้ออกมาจากใจ มันจะสรุปออกมาเป็นคำนี้ได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติออกมาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คนที่อยู่ใกล้เท่านั้นที่จะเห็นเองและบอกได้
เชื่อไหมว่า เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาเรียกว่าน้ำผึ้งหยดเดียวนี้ก็สรุปสิ่งที่คนอื่น ๆ พูดถึงเราได้ดีทีเดียว ถ้าหากเจ้านายทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ดีไว้จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่ได้สะท้อนนิสัยบางอย่างออกมา ลูกน้องก็โพทนากันทั่ว ในทางตรงข้าม ด้านดี ๆ คงเคยได้ยินมาบ้างที่ว่า หากเจ้านายผู้ชายเปิดประตูให้ลูกน้องสุภาพสตรีออกไปก่อน เพียงแค่นี้ ก็ไปบอกกันปากต่อปากแล้วว่าเจ้านายคนนี้ “gentleman จริง ๆ” แต่ความเป็นจริง เจ้านายคนนี้นิสัยใจคอเป็นอย่างไรไม่รู้ และอาจไม่สำคัญ เพราะสิ่งเล็กน้อยที่ปรากฎให้คนทั่วไปเห็นคือความเป็นสุภาพบุรุษ ความไม่ถือตน สูงค่ากว่าการทำตัวเป็นเจ้านาย
เป็นเรื่องยากที่จะให้ลูกน้องรู้สึกว่าเราเป็นเจ้านายที่แท้จริงไม่ใช่เพราะการแต่งตั้งให้เป็น การเป็นเจ้านายที่แท้จริงคือการที่เราได้เข้าไปกุมพื้นที่ในหัวใจลูกน้องว่าเราคือนายผู้ปกป้องเขาได้ และเราเป็นที่พึ่งให้เขาได้ ทำไมเราจึงจะรู้ได้ว่าเราได้เข้าไปอยู่ในหัวใจเขาแล้ว สัญญาณเล็ก ๆ ที่อาจจะบอกได้ ก็จากปฏิกริยาบางอย่างของพวกเขา จะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ดีที่สื่อออกมาว่า อยากเล่าให้ฟัง…ไม่ใช่รายงานให้ทราบ ไม่เหมือนกันนะ เขาอยากเล่าให้เราฟัง อยากปรึกษา อยากบอก เพราะไว้ใจ สบายใจ แต่ถ้าให้รายงานเพราะเป็นหน้าที่ระหว่างกัน ก็คงไม่มีเนื้อหาอะไร มันเป็นเพียงพิธีการมากกว่า
อยากเป็นเจ้านายแบบไหน สร้างได้จากก้าวแรกที่เราจะย่างไป ถึงวันนี้ ผ่านก้าวนั้นมาแล้ว ก็ไม่มีคำว่าสาย ถ้าจะเริ่มต้นใหม่ คนเราฝึกกันได้ ปรับเปลี่ยนกันได้ หาก “รู้ตัว”
ขอบพระคุณค่ะ ได้ไปอ่านงานเขียนของท่าน "ศรีกมล" แล้ว จะตาม
ไปแสดงความเห็นในบล๊อกของท่านค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะครับ
การเป็นเจ้านายที่แท้จริงคือการที่เราได้เข้าไปกุมพื้นที่ในหัวใจลูกน้องว่าเราคือนายผู้ปกป้องเขาได้ และเราเป็นที่พึ่งให้เขาได้ ทำไมเราจึงจะรู้ได้ว่าเราได้เข้าไปอยู่ในหัวใจเขาแล้ว สัญญาณเล็ก ๆ ที่อาจจะบอกได้ ก็จากปฏิกริยาบางอย่างของพวกเขา จะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ดีที่สื่อออกมาว่า อยากเล่าให้ฟัง…ไม่ใช่รายงานให้ทราบ ไม่เหมือนกันนะ เขาอยากเล่าให้เราฟัง อยากปรึกษา อยากบอก เพราะไว้ใจ สบายใจ แต่ถ้าให้รายงานเพราะเป็นหน้าที่ระหว่างกัน ก็คงไม่มีเนื้อหาอะไร มันเป็นเพียงพิธีการมากกว่าค่ะ
ชอบมากค่ะ
ขอบคุณค่ะ
นานแล้วไม่ได้มาดูบันทึกเก่า ๆ ขออนุญาตตอบย้อนหลังคุณทรวงที่มาให้กำลังใจ และคุณครูปูที่แต่ไหนแต่ไรมาก็มาแวะอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่วันเปิดตัวจนถึงวันนี้ค่ะ ขอบพระคุณจริง ๆค่ะ...เชื่อว่าคุณครูปูคงได้รับรายงานแบบไม่เป็นทางการบ่อย ๆ อยู่แล้วค่ะ เรื่องนี้คงไม่ต้องห่วง...