หลังจากได้รับการต้อนรับอาหารมื้อกลางวันอันเป็นมื้อแรกสำหรับข้าพเจ้า ณ โรงพยาบาลระนองแล้วเสร็จนั้น ข้าพเจ้าถูกเชื้อเชิญให้มาที่ห้องประชุมใหม่ ที่มีป้ายโตๆหน้าห้องประชุมติดไว้ว่า “โกมาซุม” อันเป็นชื่อที่สะดุดตาข้าพเจ้ามาก เป็นชื่อที่แปลกฟังแล้วไพเราะในความรู้สึกของข้าพเจ้าและมาทราบภายหลังว่า โกมาซุมนี้เป็นชื่อดอกไม้ประจำจังหวัดระนอง เกิดและออกดอกได้ดีช่วงปลายปี ---> ห้องประชุมโกมาซุมเป็นห้องใหญ่กว่าห้องประชุมเดิมในช่วงเช้าที่ใช้ทำกระบวนการ ได้มีการจัดโต๊ะสำหรับผู้เข้าเรียนรู้ที่ดูแล้ว Relax มากขึ้นกว่าการนั่งเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน ทำให้มีพื้นที่แห่งการเคลื่อนไหวกายและอิริยบทมากขึ้น
“ให้ทุกคนนั่งตามสบาย...จะนอนหลับก็ได้หรือจะเป็นเพียงแค่
ตามลมหายใจเข้าและออก
ละวางการครุ่นคิดลง ทำใจเบาเบา...”
เป็นเพียงคำแนะนำสั้นๆ ที่ข้าพเจ้าบอกกล่าวต่อห้องประชุม เราร่วมกันอยู่ในอิริยบทนี้ประมาณสิบห้านาที พร้อมสภาวะแห่งคลื่นเสียงที่ดังมาจากเพลงบรรเลงที่เปิดประกอบ พลังของคลื่นเสียงสามารถทำให้สภาวะแห่งความวุ่นวายน้อยลง มีจุดศูนย์รวมมากขึ้น เข้าสู่สภาวะการเกิดความต่อเนื่องของความสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดีขึ้น “สมาธิ”.... สิบกว่านาทีที่ผ่านไปการได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และแย้มยิ้มให้กับสรรพสิ่งแรกที่สายตาเราไปกระทบ ทำให้เกิดพลังแห่งการให้และแบ่งปันด้วยใจที่อ่อนโยนมากขึ้น
“รู้สึกดีจัง ได้นอน ทำให้หายง่วง”
แววตาที่สดใสเป็นประกาย ผิวหน้าดูผ่องใสและเบิกบาน บรรยากาศแห่งความง่วงซึมเบาเบาลง ความสดชื่นสดใสมีเข้ามาแทนที่เพิ่มมากขึ้นในผู้เข้าร่วมเรียนรู้ในช่วงบ่ายนี้ มีเสียงแซวกัน หยอกล้อกันด้วยความสนุกสนาน
การเริ่มต้นเข้าไปสู่การเรียนรู้ด้วยใจเบาเบา ไม่ต้องใช้สภาวะการเค้นออกมาทางความคิดมากนัก แต่ให้ค่อยๆ เคลื่อนไปสู่สภาวะการรำลึกถึง (Recall) ประสบการณ์และเรื่องราวเดิมๆ ที่แต่ละบุคคลมีฝังเก็บไว้ในกระบวนการทางปัญญาของตนเอง
ย้อนกลับไปเรื่องราวเดิมผ่านจากการกระตุ้นด้วยคำถาม
นำไปสู่การทบทวนและเรียบเรียง
สะท้อนออกมาผ่านการเล่าเรื่องด้วยใจเบาเบา
ภายใต้บรรยากาศแห่งการน้อมใจลงฟังด้วยใจที่นอบน้อม
ภายใต้บรรยากาศของการฟังกันและกันอย่างลึกซึ้ง ฟังกันด้วยใจเบาเบาแห่งความเป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่ตัดสิน ไม่วิพากษ์ ไม่ตำหนิ แต่แทนที่ด้วยพื้นทีว่างแห่งความเข้าใจและน้อมใจลงฟังกันและกัน การสร้างสภาวะแห่งบรรยากาศการเรียนรู้เช่นนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นการเพิ่มคุณค่าอันเป็นต้นทุนแห่งภายในเข้าไปแทนที่ต้นทุนเดิมที่มีน้อยเหลือเกินในจิตใจของคนหน้างานที่ทำให้เกิดการเกาะกินจากความแห้งผากทางอารมณ์ บรรยากาศหลังๆ ขององค์กรแห่งการทำงานจึงมักเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด กระทบกระทั่งและที่สุดนำไปสู่ความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นในอารมณ์ความรู้สึกของคนหน้างาน
การสร้างสภาวะใหม่ที่นำไปสู่การย้อนกลับมามองตนเอง พิจารณาตนเองด้วยใจที่ใคร่ครวญนี้ทำให้บุคคลเกิดภาวะใจเบาเบา มองสิ่งที่ปรากฏต่อตนเองที่ผ่านมาด้วยใจที่เที่ยงธรรมมากขึ้น มองเห็นตนเองชัดเจนขึ้นว่าปัจจุบันขณะตนเองกำลังทำอะไร งานที่ทำมีอะไรบ้าง และที่ทำอยู่นั้นเราได้ทำอย่างเต็มที่หรือยัง เต็มที่ในที่นี้หมายถึง สภาวะความเต็มที่ที่ทำด้วยใจเบาเบา ใจที่ไม่ขุ่นมัวและใจที่ปราศจากอคติและเปี่ยมไปด้วย “ความตั้งใจ” อย่างเต็มที่
เวลาผ่านไปกว่าเกือบสองชั่วโมง ที่อยู่ภายใต้การน้อมใจลงฟังและแบ่งปันเรื่องราวสู่กันและกัน การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นสำหรับข้าพเจ้าทำให้มองเห็นการเคลื่อนไปและความแตกต่างจากผู้เรียนรู้มากขึ้น แม้ว่าบรรยากาศ/สภาวะภายนอกจะโน้มนำแต่ก็ยังมีผู้คนในส่วนเล็กๆ ที่ยังติดยึดต่อการ adjust/ตัดสิน ตนเองจากสภาวะการย้อนกลับมาพิจารณางานตนเอง เป็นต้นว่า... การมองงานที่ตนเองทำอย่างเป็นทฤษฎีที่ท่องจำได้อย่างขึ้นใจ ... สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อเข้าสลายสภาวะเกือบที่ข้าพเจ้ามักเปรียบเปรยกับตนเองว่าเป็นการมองตนเองอย่างเป็นหุ่นยนต์... คือ การได้มีโอกาสเข้าไปแทรกด้วยคำถามเชิงลึกให้เข้าไปสู่สภาวะการค้นหาและมองตนเองได้อย่างลึกซึ้งเพิ่มมากขึ้น (อาจเป็นความโชคดีที่ได้เคยผ่าน skill training ทาง Psychology of Counseling)
“จากที่พี่เล่าให้ฟังว่าดีใจที่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ช่วยให้น้องมองและเข้าใจการทำงานได้ดีขึ้นนั้น พี่พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่าพี่มีวิธีการช่วยให้น้องเข้าใจในการทำงานได้ดียิ่งขึ้นนั้น พี่ช่วยน้องๆ อย่างไรบ้าง...”
ข้าพเจ้าขออนุญาตแทรกและใช้โอกาส เพราะสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความปิติและความภูมิใจบางอย่างที่เกิดขึ้น ขณะที่พี่ตาหรือคุณแววตา – ผู้รับผิดชอบงาน IC ของโรงพยาบาลระนองกำลังเล่าเรื่องงานของตนเองให้เพื่อนๆ ผู้ร่วมเรียนรู้ในกลุ่มได้รับฟัง และพูดประโยคนี้ซ้ำๆ อยู่สองสามครั้งว่าดีใจที่ได้ช่วยให้น้องๆ ในทีมงานเข้าใจการทำงานได้ดีขึ้น...
การแทรกด้วยคำถามในห้วงจังหวะที่เหมาะสมทางเวลาและอารมณ์ทำให้เรื่องเล่าของพี่ตามีพลังแห่งความเบิกบานมากขึ้น อาจเนื่องด้วยได้รับพลังแห่งการหนุนนำจากกลุ่มด้วยที่อยู่ในสภาวะเปิดใจรับฟัง จดจ่ออยู่ที่เรื่องเล่าของพี่ตา ได้เกิดการทบทวน เรียบเรียง ตีความ และประมวลผลออกมาใหม่เป็นความชัดเจนในการได้มองเห็นวิธีการและกระบวนการทำงานที่ตนเองใช้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อไรก็ตามที่ผู้คนมองเห็นความชัดเจนในตนเองมากขึ้น จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนและต่อยอดภาพที่ตนเองเห็นนั้นเป็นพลังที่เต็มเปี่ยม กระตือรือร้นและไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
“ความชัดเจนในตนเอง ทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองและรู้ว่า...
ตนเองกำลังยืนอยู่ ณ จุดไหนของการทำงาน และจะมีทิศทาง
ขับเคลื่อนการทำงานประจำของตนเองไปอย่างไรบ้าง...”
การเรียนรู้ช่วงหลังของวันแรก จบลงด้วยบรรยากาศที่ไม่บีบคั้นและกระแทกกระทั้นทางอารมณ์ “ไม่ปวดหัวเลย ไม่เครียดด้วย” คือเสียงสะท้อนจากการสุ่มถามก่อนที่เราจะแยกย้ายกัน ข้าพเจ้าได้รับบันทึกที่ได้ร่วมกันบันทึกหลังจากได้เล่าเรื่องสู่กันฟัง ... เป็นเรื่องราวหน้างานของแต่ละบุคคลหอบกลับไปอ่านต่อในช่วงค่ำคืนของวัน... เรื่องเล่าผ่านบันทึกที่แต่ละคนเขียนลงไปนั้นตอบต่อตนเองในประเด็นที่ว่า
การเรียนรู้วันแรกสำหรับข้าพเจ้าเอง คือ การตอกย้ำความคิด ความเชื่อในทัศนะของข้าพเจ้าเองที่ว่า...
“ทำเรื่องยากให้ยากน้อยลง” และ
“ทำเรื่องง่ายให้ง่ายยิ่งขึ้น”
ปรากฏเด่นชัดและเชื่อในกระบวนการภายใต้การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีงามและน้อมนำให้มนุษย์เรานั้นใช้ความซับซ้อนในชีวิตได้น้อยลงไปได้ ชีวิตง่ายขึ้นเกิดสภาวะสุขเบาเบาเพิ่มมากขึ้น...
-------------------------
Note: วรรคเริ่มต้นและวรรคสุดท้ายของความคิด
การที่เราทำงานประจำทุกวันเป็นปกติ ทำให้เรา/คนหน้างานมีความเคยชินจากการปฏิบัติงาน จนบางครั้งลืมไปว่าเรากำลังทำงานด้วยความท้าทายและได้พบสิ่งแปลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาของการทำงาน ความเคยชินทำให้ความมีชีวิตชีวาในการทำงานหายไป ลดทอนพลังแห่งความสดชื่นและตื่นเต้นต่อประสบการณ์ที่แปลกใหม่อันเกิดขึ้นอยู่ในทุกขณะจิต แต่หากว่าเราได้หยุดและสูดลมหายใจอย่างที่เป็นการหายใจอย่างรู้ตัวและอย่างมีสติแล้วจะทำให้เราตื่น และตั้งใจพิจารณางานของตนเองด้วยหัวใจอย่างใคร่ครวญ ด้วยใจเบาเบา ไม่หนักหน่วง ไม่ใช้สมองคิดมากไปหรืออารมณ์ความรู้สึกมากไป หากแต่ใช้สองสภาวะนี้อย่างสมดุลเป็นเหตุเป็นผลคละเคล้าไปด้วยอารมณ์แห่งสุนทรียะ
ชอบตรงนี้ค่ะ ....ทำจริงๆ ก้ไม่ง่ายมากนะคะ ต้องมีสติ และปราศจากอคติด้วยนะคะ อยากเห็นดอกโกมาซุมค่ะ
"ทำเรื่องยากให้ยากน้อยลง" และ
"ทำเรื่องง่ายให้ง่ายยิ่งขึ้น"
ขอบพระคุณสำหรับการ์ดนะคะ...คุณพี่ศศินันท์
เป็นเรื่องจริงที่เราต้องเรียนรู้ และ re-check ภายใต้สภาวะแห่งการมีสติกำกับมากเลยค่ะว่า เรากำลังนำพาชีวิตเราไปสู่ความซับซ้อนหรือเปล่า...เพราะเมื่อไรทีไม่มีสติและขาดปัญญา นั่นน่ะเราอาจกำลังพาตัวเองไปสู่การสร้างสภาวะใหม่ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในการดำรงชีวิตก็อาจเป็นได้นะคะ
(^___^)