เด็กไทย : การอบรมเลี้ยงดู |
พูดถึงการอบรมเลี้ยงดูเด็กไทยแล้ว มีคำถามว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในสังคมไทยมีความเข้าใจตรงกันไหม หรือเข้าใจมากน้อยอย่างไรบ้าง การอบรมเลี้ยงดูเด็กมีความสำคัญยิ่งต่อคุณภาพของคนไทย เพราะการอบรมเลี้ยงดูเด็กนั้นเปรียบเสมือนการวางเสาหลักให้กับประเทศชาติ หากเราไม่สนใจที่จะวางให้มั่นคงหรือวางเสาหลักตามยถากรรมแล้ว ประเทศชาติก็จะมีคุณภาพของคนตามยถากรรมเช่นเดียวกัน เมื่อเป็นดังนี้มีคำถามต่อมาว่าจะสายไปไหมที่เราจะเริ่มให้ความสำคัญกับการอบรมเลี้ยงดูเด็กไทย ถ้าตอบอย่างให้กำลังใจซึ่งกันและกันคงจะตอบได้ว่ายังไม่สายถ้าเราจะเริ่มกันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในความหมายของการอบรมเลี้ยงดู คือ เราจะต้องให้ความรู้แก่เด็กตามศักยภาพ และคอยดูแลเลี้ยงดูให้เด็กได้เจริญเติบโตตามขั้นการพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา จากที่เราเห็นและได้สัมผัส ปรากฏว่าการอบรมเลี้ยงดูเด็กไทยของเราค่อนข้างจะมีปัญหา ผู้เขียนจึงขอนำงานวิจัย ที่เริ่มดำเนินการศึกษาตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 ขณะนี้ทำการวิจัยเก็บข้อมูลมาได้ครึ่งทางแล้ว ซึ่งพอจะนำภาพที่เห็นมาเล่าให้พวกเราได้รู้และเป็นข้อมูลในอันที่จะช่วยกันอบรมเลี้ยงดูเด็กไทย วิจัยที่กล่าวนี้เป็นวิจัยที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันในคอลัมน์พบเด็กไทยพัฒนาการช้าเหตุจากเลี้ยงไม่ถูกวิธี ลงวันที 20 พฤศจิกายน 2549 วิจัยดังกล่าวผู้ดำเนินการ คือ สถาบันวิจัยโภชนาการนานาชาติ โดยดูเม็กซ์ มอบเงินทุน 20 ล้านบาท ให้แก่สมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว เพื่อเป็นทุนสำหรับประเมินผลงานวิจัยในโครงการวิจัยระยะยาวในเด็กไทย นายกสมาคมนักวิจัยไทย เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว คือ พญ.จันทร์เพ็ญ ธูประภาวรรณ กล่าวว่า โครงการวิจัยนี้เริ่มต้นดำเนินการศึกษาตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 โดยวิจัยทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เน้นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นแม่และเด็กจากทุกภาคของประเทศไทย ทั้งหมด 4,331 คน คอยติดตามผลเป็นระยะตั้งแต่เด็กอายุ 3 วัน 1,3,6 เดือน และ 1 ปี หลังจากนั้นติดตามทุก 6 เดือน จนถึงปัจจุบันเด็กอายุครบ 3 ปีเต็ม โดยมีหลักการดำเนินงาน คือ
“เราเชื่อว่าพัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พัฒนาการต่าง ๆ จะถูกกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกตัวเด็ก” ดังนั้นหากต้องการจะศึกษาความเข้าใจธรรมชาติของพัฒนาการมนุษย์จะต้องเฝ้าสังเกตอย่างต่อเนื่องไปยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงอายุที่เป็นพื้นฐานของพัฒนาการสำคัญ เช่น พัฒนาการด้านร่างกายจะอยู่ในช่วงอายุ 0 – 5 ปี พัฒนาการทางภาษาซึ่งเป็นพื้นฐานของสติปัญญา เริ่มตั้งแต่ 2 – 5 ปี พัฒนาการทางสังคมและจริยธรรม ที่ช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี และการก่อรูปบุคลิกภาพและพัฒนาการทางเพศที่มีผลต่อพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของเด็กอยู่ในช่วงอายุอย่างน้อย 18 – 24 ปี”
จากการเก็บข้อมูลนานกว่า 7 ปี พญ.จันทร์เพ็ญ บอกว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในเด็กไทย คือ เด็กไทยยิ่งเติบโต พัฒนาการด้านต่าง ๆ ยิ่งต่ำลง ต้นเหตุเกิดจากการที่พ่อแม่เลี้ยงดูไม่ถูกวิธี เพราะไม่มีความรู้เรื่องด้านการกระตุ้นพัฒนาการของเด็ก
“เด็กไทยมีปัญหาพัฒนาการทางภาษาช้า พูดช้า พูดน้อยกว่าเกณฑ์ โดยวัดจากเด็กพูด คำแรกได้ตอนอายุ 1 ขวบ ถือว่าพัฒนาการช้า ซึ่งเมื่อพัฒนาการทางการพูดช้าจะส่งผลให้พัฒนาการด้านอื่นช้าไปด้วย ก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กมีอัตราการเตี้ยสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าเด็กไทยกำลังอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร เพราะพ่อแม่ชอบให้บริโภค แต่อาหารขยะ ซึ่งจะส่งผลเสียให้สติปัญญาต่ำด้วย ปัญหานี้ส่วนมากพบในเด็กแถบภาคอีสานและภาคเหนือ”
นายกสมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว แนะวิธีแก้ปัญหาว่า พ่อแม่ต้องใส่ใจในพัฒนาการของลูก อาทิ สอนให้พูดตั้งแต่เด็ก อย่าให้ลูกบริโภคอาหารขยะ อย่าเลี้ยงลูกด้วยการให้ดูโทรทัศน์ตั้งแต่เด็ก เพราะโทรทัศน์ไม่ได้ช่วยให้พัฒนาการของเด็กดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับไปทำลายสมองส่วนหน้า ทำให้เด็กเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่ชอบคิด ส่งผลให้พัฒนาการต่ำ
นี่คือส่วนหนึ่งของผลงานวิจัยที่เพิ่งเดินมาได้ครึ่งทาง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของเด็กไทยในหลายด้าน ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรละเลย
ผู้เขียนนำข่าวดังกล่าวซึ่งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนมาให้พวกเราได้อ่าน เพื่อเราจะได้ตระหนักในปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งยืนยันในหลักการ ปรัชญา ทฤษฎีของการศึกษาปฐมวัยที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมให้ได้อย่างจริงจัง ประเด็นในข่าวที่สำคัญขอฝากไว้ 3 เรื่องดังนี้
เรื่องแรก คือ การพัฒนาการทางภาษาช้า ซึ่งส่งให้พัฒนาการด้านอื่น ๆ ช้าด้วย เป็นผลอย่างมากต่อการเรียนภาษาในระดับขั้นพื้นฐาน โดยที่ภาษาคือการพัฒนาทักษะ การฟัง พูด อ่าน และเขียน เมื่อเด็กเริ่มพูดช้าแล้วก็จะส่งผลถึงทักษะอื่น ๆ ตามมา ข้อนี้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องตระหนักและช่วยกันพัฒนาภาษาของเด็กบ้านเราให้ได้ประสิทธิภาพจริง ๆ ตอนนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีเป้าหมายให้เด็กทุกคนอ่านออกเขียนได้ แล้วครูปฐมวัยต้องเตรียมเด็กให้พร้อมเพื่อที่จะมีความสามารถอ่านออกเขียนได้ เมื่อไปเรียนในระดับขั้นพื้นฐาน
ประเด็นสุดท้ายที่ขอฝากคือการดูโทรทัศน์รวมถึง วีซีดี และวิดิโอ ตั้งแต่เล็ก เป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วยให้เด็กพัฒนาเลย กลับมีผลในทางตรงกันข้าม คือ จะทำลายกระบวนการคิด รายการทีวีปัจจุบันเด็กแทบจะไม่ต้องคิดเลย ดูไปเพลิน ๆ วันหนึ่งเสียเวลากับการดูทีวีไม่รู้จักเท่าไร บ้านเราตอนนี้ส่วนหนึ่งจะเลี้ยงลูกด้วยทีวี ส่วนครูปฐมวัยต้องระวังหน่อยในด้านการให้เด็กดูทีวี หรือวิดิโอ การดูแต่ละครั้งไม่ใช่เป็นการเก็บเด็กไม่ให้ซน เพื่อครูจะได้มีเวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้วปล่อยให้เด็กนั่งดูรายการไปเรื่อย ๆ นอกจากส่งผลทำให้เด็กไม่ชอบคิดแล้ว ยังส่งผลต่อการที่ทำให้เด็กไม่ชอบอ่านหนังสือด้วย กว่าเด็กจะชอบอ่านหนังสือ ครูหรือพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องจัดกิจกรรมหลากหลาย เพื่อให้เด็กชอบการอ่านหนังสือ ขณะเดียวกันหากเด็กติดโทรทัศน์แล้ว เด็กก็จะไม่สนใจในกิจกรรมการอ่านหนังสืออีกต่อไป
อยากได้ขัอมูลบทความเรื่องการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยมากกว่านี้ค่ะ
สำหรับการอบรมเลี้ยงดูเด็กไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมากเพราะ วัฒนาธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ความคิดที่ทันสมัยขึ้นรวมทั้งการเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นจึงส่งผลให้เด็กที่ได้รับการเรียนรู้ที่รวดเร็วขึ้นดังนั้น ในเมื่อการเรียนรู้ทีั่่มีความรวดเร็วขึ้นผู้ปกครองสมควรที่จะมีการดุแลอย่างใหล้ชิดและเอาใจใส่เป็นพิเศษเพราะหากปล่อยปะละเลย จะส่งผลต่อการพัฒนาการทางด้านสมองของเด็ก และความคิดของเด็กต่อไปในอนาคตได้ค่ะ
การแพทย์ ยารักษาโรค ในปัจจุบันก็สำคัญมิใช่น้อย