เมื่อสี่ห้าวันก่อนมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งแวะมาหาที่บ้านด้วยแม่ของเขาบอกว่าฉันมีธุระจะคุยด้วย เราได้นั่งคุยกันเรื่องที่ฉันจะไว้วานให้เขาช่วย เขาขอรับเรื่องไปตัดสินใจก่อนแล้วจะบอกกลับมา
ระหว่างคุยกันอยู่ ฉันได้ถามไถ่ความเป็นอยู่ของเขาในเรื่องข่าวที่เขาไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายปกครองหน่วยหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่าเหตุที่ไปเกี่ยวข้องมันเป็นเรื่องบังเอิญ
ในระหว่างที่เล่าเรื่องราวให้ฉันฟัง สีหน้าของเขาเศร้าสร้อย เรื่องราวถูกเล่าออกมาอย่างช้าๆ แต่ละคำพูดมันกลั่นออกมาจากใจ มันบอกให้รู้ว่า เขาใคร่ครวญกับตัวเองอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันนะ เขาจึงได้เจอกับเรื่องราวที่ทำให้เขากลัวอยู่อย่างนี้
การที่ตัวเขาไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายปกครองวันนั้น เขาเจออะไรบ้างนะ มันชวนให้อยากรู้ แต่แล้วเขาก็ไม่ได้เล่ามันออกมา เขาเล่าแต่ว่าใช่มีแต่ตัวเขาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราว หากแต่มีเด็กหนุ่มคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ และเด็กหนุ่มนั้นถูกทำร้ายร่างกายให้เห็นกับตาด้วย
เขาเล่ามาว่า พ่อเขาถูกฝ่ายปกครองตามตัวไปพบซะด้วย แต่ว่าไปถึงพ่อไม่ได้คุยกับเขาสักคำ เดินเข้าห้องไปคุยกับฝ่ายปกครองที่ตามตัว พูดคุยกันแล้วออกมาก็ถามเขาว่า ทำลงไปทำไม เขาบอกฉันว่า พ่อไม่ถามเขาสักคำให้เขามีโอกาสเล่าเรื่องราวให้ฟังก่อนหน้านั้น คำพูดที่พ่อทักถามมันบอกเขาว่าพ่อเชื่อคำที่ฝ่ายปกครองบอกพ่อมา เขารับรู้ว่าพ่อเชื่อว่าเขาผิดจึงถูกนำตัวมาเกี่ยวข้อง
หลังจากกล่าวคำจบลงแล้ว พ่อก็ทิ้งเขาไว้ที่หน่วยราชการแห่งนั้น ไม่ได้รับเขากลับไปด้วย ซึ่งมันทำให้เขาต้องค้างอยู่ที่นั่นตั้งแต่เวลาเช้าตรู่ของวันหนึ่งไปจนถึงเย็นของวันรุ่งขึ้น โดยที่เขาไม่รู้ว่าจะตอบตัวเองยังไงระหว่างพ่อมาช่วยเขาหรือซ้ำเติม
เมื่อได้กลับบ้านมาแล้ว เขาเล่าพ่อแม่ว่าเกิดอะไรกับเขาและเพื่อนอีกบ้างหลังจากพ่อจากมา พ่อได้ฟังแล้วตกใจ แต่มีประโยชน์อะไรในเมื่อเขาผ่านเรื่องราวร้ายๆนั้นมาแล้ว มันช่วยไม่ได้แล้วนะพ่อที่มันเกิดขึ้น นี่คือเรื่องราวที่เขาบอกพ่อไปในวันนั้น
เขาเล่าฉันต่อว่า เมื่อเขาอยู่ที่บ้าน เมื่อเขาพูดอะไรไม่เคยมีใครเชื่อเขา ทั้งๆที่เขาไม่เคยโกหกเลย แม้แต่ครั้งนี้เมื่อเขากลับไปบ้านแล้ว พ่อและแม่เขาแสดงออกมาว่า เชื่อว่าเขาทำความผิด จึงไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายปกครองเข้าได้
ฉันฟังเขาแล้ว สะท้อนใจกับคำเล่าของเด็กหนุ่ม ใจนึกถึงลูกสองคนที่ฉันเลี้ยงดูมา ฉันไม่เคยเลยที่จะไม่เชื่อถือลูก เพียงแต่บางครั้งที่ฉันพูดจาให้ลูกฟังเป็นความตั้งใจสอนเพิ่ม จนเมื่อรู้ว่าลูกนะต้องการความเชื่อใจที่ฉันมีให้ ฉันจึงเปลี่ยนใช้ความไว้ใจเขามาแทนการพูดจาสอนสั่งทั้งหลาย เวลาลูกอยากทำอะไร อยากบอกอะไร เขาจึงไว้ใจตัวเขา แล้วบอกออกมาให้ได้คุยกันจนฉันเข้าใจสิ่งที่เขาคาดหวังกับตัวเองและยอมให้เขาได้ลองทำ
ความเข้าใจที่ได้จากลูกทำให้ฉันตอบเด็กหนุ่มว่า ฉันฟังแล้วฉันเชื่อเขานะว่าที่เขาเล่าฉันนะเป็นเรื่องจริง ตอนบอกออกไปใจรับรู้ว่าใจเขานั้นสะอื้นตอบรับ รับรู้คลื่นในใจเขาแล้วใจฉันอึ้ง ช่างกระไรกันหนอที่พระในบ้านปล่อยให้เด็กน้อยเขามีทุกข์ซะจนขนาดนี้ ก็ที่รับรู้นะเด็กหนุ่มเขาเศร้าจนทำให้ชีวิตของเขาพังลงไปเกือบค่อนชีวิตแล้วนะนี่ พ่อแม่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับความล้มเหลวนี้ของลูกเขา
จะช่วยอย่างไร ฉันนึกไม่ออกเลยหนา โอ้ว่า อนิจจา ใจหนุ่มน้อยเป็นอย่างไร โดดเดี่ยว ไร้ความหวัง หมดพลังชีวิตที่จะสู้ต่อไปหรือไร จะทำอย่างไรดีที่จะทำให้เขาไม่ปล่อยชีวิตไปวันๆ ไม่ทำอะไรทำลายตัวเองด้วยการทำให้สิ่งที่ทำเกิดความไม่ก้าวหน้าในสายตาผู้ใหญ่ แล้วที่ยังมีผู้ใหญ่คอยซ้ำเติมดับไฟพลังด้วยคำพูดที่ตำหนิ ต่อว่า พร้อมวาจาที่เอ่ยปากที่มีกิริยาแสดงออกบ่งให้รู้ว่าไม่เชื่อถือออกมานี่เล่า จะช่วยแก้อย่างไรให้เขาได้บ้างหนอ
หนุ่มน้อยเขาบอกว่า ทุกคืนเขานอนไม่หลับจนค่อนรุ่งเสมอ แล้วก็มาหลับในเวลากลางวัน คืนไหนที่เขาได้หลับสบายๆแต่หัวค่ำ ในค่ำคืนนั้นเขาไม่สบายใจ ฉันถามเขาว่าในเมื่อนอนหลับสบายๆ ทำไมจึงไม่ชอบละ จะได้พักผ่อนเต็มที่ ปรากฎว่าเขาเงียบไปนานทีเดียว แล้วก็ตอบมาว่า "ผมไม่รู้เหมือนกัน"
หรือว่าตอนนี้ ในใจของเขา มีแต่ความกลัวอยู่นะ โกรธจนกลัวนะรู้จักรึไม่ โกรธใครนะรึ โกรธตัวเองนะสิ ที่ทำให้พ่อแม่เชื่อถือไม่ได้
วังวนอย่างนี้ มีใครบ้างสามารถช่วยให้เขารู้จักวิธีเยียวยาตัวเองได้ ด้วยว่ามันเป็นความลับในตัวคน เป็นเรื่องตัวใครตัวมัน มันเป็นเรื่องของครอบครัวที่จะช่วยกัน คนอื่นจะช่วยได้แค่สะท้อนคำถามให้ได้ไตร่ตรองใคร่ครวญเท่านั้น หรือว่าพ่อแม่จะช่วยเขาได้ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา
เออ! ใช่แล้วละ พ่อแม่นะช่วยได้นะ ในเมื่อปัญหาเกิดจากการไม่เชื่อถือลูกตัวเอง แล้วปล่อยให้เขาหมดพลังใจ พ่อแม่สามารถช่วยเพิ่มพลังใจให้ด้วยการทำให้ลูกรู้ว่าเชื่อถือเขาแท้จริง แสดงออกให้เขารู้ว่า การกระทำที่ทำให้นั้นไหนคือเรื่องความห่วงตามประสาพ่อแม่ ไหนคือเรื่องจริงของความไว้ใจที่มีต่อลูก ให้เวลาที่จะได้จับเข่าพูดคุยกับลูกเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันอย่างจริงใจ
ให้โอกาสลูกพูดแล้วพ่อแม่ “ฟัง” จากปากเขาเอง วิเคราะห์เรื่องราวจากเรื่องที่เขาเล่า แลกเปลี่ยนจนเข้าใจแล้วจึงตัดสินเขา มิใช่นำเรื่องที่คนอื่นมาบอกมาแล้วตัดสินเขา นี่กระมังคือทางออกที่ควรเริ่มช่วยเด็กหนุ่มคนนี้
บทเรียนบทนี้ที่เด็กหนุ่มมาสอน จะให้ชื่อได้ไหมว่า “พ่อแม่รังแกฉัน”
18 ม.ค. 2552
สวัสดีค่ะคุณครู
บางทีอาจมีอะไรที่ลึกๆในครอบครัวที่เราเองอาจยังไม่รู้ชัด กับการที่พ่อรีบเร่งเข้าไปคุยกับฝ่ายปกครอง เป็นเกราะป้องกันให้ลูกได้วิธีหนึ่ง (ลองคิดดูดีๆค่ะ)ครูแป๋มเคยเป็นครูที่ปรึกษาห้องที่ทุกคนมองว่าเรียนอ่อน เคยสอนนักเรียนห้องที่ทุกคนมองพฤติกรรมว่าแย่ แต่หากเราได้พูดคุยรับฟังเขา เป็นที่พึ่งให้กับพวกเขา (ยามไม่มีใคร)
คุณอาจประหลาดใจ ที่ได้พบเห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของพวกเขา ที่สังคมรอบข้างไม่เคย "ให้โอกาส" กับเขาเหล่านั้นเลย...ลองแวะไปเยี่ยมครูแป๋ม แล้วลองอ่านเรื่องราวของ "เด็กห้องท้าย" สิคะ อาจมีแรงบันดาลใจบางอย่างสำหรับคุณครูและผู้ปกครอง โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ ที่มีลูกๆวัยรุ่นอยู่ ร่วมให้กำลังใจเด็กเหล่านั้นที่ครูแป๋มคิดว่ายังมีมากมายในประเทศไทยเรา ที่รอผู้ที่จะให้โอกาสเขาบ้าง..ดีไหมคะ
ขอร่วมเป็นกำลังใจด้วยค่ะ
ครูแป๋ม
มาอ่านบทเรียนของคุณหมอคะ
คงจะต้องเชื่อใจลุกเพิ่มขึ้นอีกคะ
สวัสดีครับคุณหมอ เจ๊แซ่เฮคนงาม
เรื่องของเด็กวัยนี้ ต้องมีศาสตร และศิลป์ สำคัญคือ การพูดคุยกับเด็กถ้าพ่อแม่ผลักไส แล้วเด็กจะพึ่งใครได้ อันตรายที่มองเห็นอยู่ มีคำกล่าวว่า"การล่มสลายของสถาบันครอบครัว ที่สถาบันศาสนามิอาจเยียวยา ฤาว่าถึงมาแล้ววันี้
อ่านบันทึกนี้ของพี่หมอเจ๊แล้ว คิดเหมือนที่เคยคิดมาเสมอๆค่ะว่า เราน่าจะมีโรงเรียนพ่อแม่ ชักชวนกันแลกเปลี่ยนเทคนิคที่จะช่วยให้พื้นฐานที่สำคัญของชีวิตคนทุกคนมีความมั่นคงอบอุ่น เพราะเท่าที่เคยฟัง เคยเห็นและจากการที่เราเรียนรู้การเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง พบว่าความเข้าใจ การรับฟังนี่แหละค่ะสำคัญที่สุด และถ้าทำได้แล้ว ไม่ว่าครอบครัวไหนๆก็คงจะได้ประโยชน์กันทั้งพ่อแม่และลูกๆ
สะท้อนใจแทนหนุ่มคนนี้ ดีใจที่เขาได้พูดคุยกับพี่หมอเจ๊ ที่ทำให้เขารับรู้ว่ามีคนเข้าใจ
ดีใจด้วยอีกอย่างตรงที่ได้ทราบว่า มีครูแบบครูแป๋มที่จะช่วยให้เด็กอีกจำนวนหนึ่ง ได้มีที่พึ่ง มีคนเข้าใจ เพื่อที่เขาจะได้เป็นพลังของสังคม แทนที่จะเป็นภาระ เพียงเพราะเราผู้ใหญ่ไม่ได้ให้โอกาสพวกเขา
ขอบคุณค่ะ พี่หมอเจ๊
สวัสดีค่ะ
* เด็กๆ กลัวคำตัดสินจากผู้ใหญ่
* เด็กๆ จึงสร้างเครื่องป้องกัน
* การเป็นเพื่อนกับเด็กๆ อาจช่วยได้ในบางครั้ง
* สุขกายสุขใจนะคะ
ขออนุญาตเข้ามาเรียนรู้อีกเช่นเคยครับอาจารย์หมอ พอมีประสบการณ์บ้าง ผมมีลูก 2 คนตอนนี้อายุก็ 28 และ 27 ปี ในบันทึกเห็นด้วยครับมเองก็เคยเป็นแบบนี้ "พ่อแม่รังแกฉัน"
น่าสงสารหนุ่มน้อยนะคะ
การเปิดใจคุยกันในครอบครัว
ด้วยพ่อแม่ ให้เวลาใกล้ชิด
จะมีส่วนแก้ไขได้ไหมคะพี่หมอ
....
ยังระลึกถึงพี่หมอเจ๊ค่ะ
สวัสดีครับ คุณ หมอเจ็คนสวย ครับ แวะเข้ามาอ่านแล้ว ใจยังสนับสนุนคุณพ่อของเด็กหนุ่ม เหตุนั้นอยากให้เด็กหนุ่มได้ประสบการณ์ชีวิตทั้งแง่ บวก และลบ
สวัสดีค่ะพี่
ชอบมาอ่านเรื่องราวที่พี่เล่าค่ะ...
คนไม่มีรากอยู่ในครอบครัวที่ "ยอมรับ" ลูก ๆ
ตอนเด็ก ๆ คนไม่มีรากเคยเป็นเด็กติดอ่างค่ะ แถมไม่ยอมไปโรงเรียน เพราะไม่เหมือนคนอื่น เขียนหนังสือทั้งสองมือ .... ฯลฯ ล้วนแต่ที่เขาบอกว่า.... "แปลก"
พ่อแม่ซึ่งเป็นคนจีน ทำมาหากิน และไม่มีความรู้แม้ภาษาไทย ... ก็พยายามเข้าใจ หาข้อมูลเพื่อช่วยลูกสาว จนได้รับการดูแล และ ผ่าน ความแปลกนั้นมาค่ะ....
นี่เป็นตัวอย่างเลยว่า...ครอบครัวสำคัญมาก ในการโอบอุ้มให้เด็กผ่านอุปสรรค ในชีวิตมาได้
ขอบคุณพี่ค่ะ
(^__^)
สวัสดีค่ะ
สวัสดีคะพี่หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
สวัสดีค่ะ พี่หมอเจ๊
ใยมดเพิ่งได้เห็นบันทึกใหม่พี่หมอเจ๊วันนี้เองค่ะ
เด็กหนุ่ม คำว่าเด็กหนุ่ม อายุเท่าไหร่แล้วค่ะ
แถวบ้านใยมดก็มีอยู่คนนึง เวลาใยมดเห็นต้อม อายุ 21 ปีแล้ว
ต้อมไม่เรียนหนังสือ ต้อมไม่ทำงาน
ต้อมมีแฟน และต้อมก็ทะเลาะกับแม่ของต้อมอยู่บ่อยๆ
ใยมดได้แต่ดูต้อม แล้วก็ดูตัวเอง ทำไมใยมดทำงานตั้งแต่อายุ 19 และก็ไม่มีใครบังคับ แต่อยากจะทำงาน
ทั้ง ๆที่ใครๆ ก็บอกว่าใยมดไม่ต้องทำงาน ใยมดก็มีเงินกินไปทั้งชาติแล้ว อยู่เฉย ๆ ก็ได้ แต่ใยมดก็ชอบที่จะทำงานค่ะ
ส่วนต้อม ไม่มีงานทำ ขืนอยู่อย่างนี้ต่อไป อนาคตมีแต่จะแย่ เพราะพ่อแม่ก็ไม่มีสมบัติจะให้ แต่ต้อมก็ไม่เคยคิดที่จะทำงานเลย ได้แต่ไปเรื่อย ๆ ตามเพื่อนขอกันไปวัน ๆ ขอแม่บ้าง ขอเพื่อนบ้าง
แม่ของต้อม ได้แต่พูดว่า เมื่อไหร่ต้อมมันจะคิดได้ส่ะที หนักใจจริง ๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม่ก็เลี้ยงต้อมมาได้เท่านี้แหละ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่มีเงินเหมือนคนอื่น แต่พี่ ๆ คนอื่น เค้าก็ขวนขวายหางานทำกัน ก่อสร้าง ค้าขาย แต่ต้อมไม่เอาอะไรเลย
แม่ของต้อมพูดว่า ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะทำยังไงต้อมก็ไม่เชื่อฟังใครเลย
ใยมดอ่านบันทึกนี้แล้วนึกถึงต้อมค่ะ ไม่มีใครที่จะช่วยต้อมได้ นอกจากตัวต้อมเอง ที่จะคิดว่าชีวิตต้อมจะเป็นยังไง
ในเมื่อตอนนี้ ต้อมเค้าอาจจะคิดว่า ชีวิตของเค้าที่เป็นแบบนี้มันดีอยู่แล้ว เค้าไม่ได้ทำอะไรผิด แค่ไม่ทำงาน ในขณะที่คนอื่น ๆ มองว่า มันไม่ถูกน่ะ โตแล้วก็ต้องทำงาน
และเด็กหนุ่มคนนี้ที่พี่หมอเจ๊พูดถึง ใยมดก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่เค้าไม่พูดว่าเค้าได้เจออะไรมา นอกจากสิ่งที่เค้าเป็นอยู่คือ การไม่ได้รับความเชื่อใจจากพ่อแม่ เด็กหนุ่มคนนี้ น่าจะมีความมั่นใจและเชื่อใจตัวเองให้ได้สักครึ่งหนึ่งของต้อมน่ะค่ะ ดูต้อมสิ คนอื่นว่าผิดน่ะ ที่ไม่ยอมทำงาน แต่ต้อมก็ไม่รู้สึกอะไร ไม่คิดว่ามันผิดน่ะ ต้อมยังอยู่กับตัวเองโดยไม่คิดที่จะทำงาน
ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้ ก็น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง มากกว่าการได้รับความไว้ใจจากพ่อแม่ พ่อแม่บางคนไว้ใจลูกเกือบตาย ลูกผิดก็บอกว่าไม่ผิด ทัง ๆ ที่มันผิด หากเป็นใยมด ใยมดไม่ต้องการความไว้ใจจากใครค่ะ แต่อยากได้คำสั่งสอนจากผู้ใหญ่มากกว่า ใครก็ได้ที่ตั้งใจจริง และปรารถนาจะให้เราได้เรียนรู้ว่าอันไหนดีน่ะ อันไหนชั่วน่ะ
ส่วนความไว้ใจที่จะได้รับกลับมา มันจะเกิดขึ้นเองในภายหลัง เพราะเราไม่สามารถไปสร้างความไว้ใจให้ใครมีให้เราได้ ว่ามันจะมากน้อยขนาดไหน มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่รู้ว่าเราทำอะไรน่ะค่ะ
อิอิ คิดถึงพี่หมอเจ๊ค่ะ แต่ช่วงนี้ใยมดไม่ได้เขียนบันทึกเรื่องราวส่วนตัวเลย เอาแต่ FW:Mail มาลงบันทึก เพราะช่วงนี้งานเยอะ และต้องเตรียมตัว อารธนาธรรมแล้วค่ะ ใยมดตื่นเต้นมาก ๆ เลยน่ะค่ะ
ขอให้พี่หมอเจ๊มีความสุขสุขภาพแข็งแรงค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่..คุณหมอ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ้ คนสวย
หมอกับครูพบกันมักจะมีเรื่องดีๆมานำเสนอ