ย้อนรำลึกถึงครู


ไม่ได้แวะเข้ามาพักบ้านหลังน้อยหลังนี้นานเหลือเกิน  ทำให้รำลึกถึง  เพื่อน ๆ  พี่  ๆ  ว่าชีวิตช่วงนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างนี่ก็ผ่านช่วงปีใหม่มาได้เกือบเดือนแล้ววันนี้ได้มีโอกาสได้นำเกร็ดความรู้เล็ก ๆ  น้อย ๆ  มาฝาก  หากท่านใดที่คิดถึงคุณของคุณครูก็แวะเข้ามาอ่านได้อาจจะยาวสักนิดแต่รับรองว่าเนื้อหาสาระทำให้เรารำลึกถึงท่านผู้เป็นครูคนที่สองของเราอย่างแท้จริง

แน่นอนว่า ในชีวิตหนึ่ง ๆ เราทุกคนย่อมเคยมี "ครู" กันมาหลายคนทั้งครูที่อบรมสั่งสอน ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้เราในชั้นเรียนและครูที่อาจผ่านเข้ามาในชีวิตเราอย่างไม่ตั้งใจ แต่ได้ให้บทเรียนและชี้ทางสว่างให้เราในช่วงสั้น ๆ ช่วงหนึ่งของชีวิต

                ครูบางท่านก็ประทับอยู่ในความทรงจำของเราเป็นพิเศษ แต่ใครก็ตามที่ทำให้เราคลายจากความโง่เขลาลงได้ เจริญขึ้นได้ ดีขึ้นได้ท่านเหล่านั้น ก็ควรค่าแก่การจดจำและระลึกถึงในฐานะ "ครู" ของเราเสมอหากมีโอกาสแสดงความกตัญญูต่อท่านได้ ก็เป็นสิ่งอันพึงกระทำอย่างยิ่ง

                แต่ทานผู้อ่านเคยลองคิดไหมละว่า ถ้าหากเรามีญาณวิเศษ ที่สามารถเห็นย้อนไปในอดีตกาลอันไกลแสนไกล สามารถเห็นได้ว่า ในกาลก่อนใครสักคนเคยทำอะไรไว้มากมายแค่ไหน เราอาจจะยิ่งประหลาดใจกว่าอะไรทั้งหมด ถ้าได้เห็นและได้รู้ว่า...

                มีใครคนหนึ่ง เสียสละตัวเองอย่างเหนื่อยยากมหาศาล เป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายภพหลายชาติร่วม ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัปด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่จะฝึกฝน อดทน สั่งสมบารมีให้เต็มพร้อมในทุกด้าน เพื่อที่วันหนึ่งจะได้มาเป็นครูผู้รู้แจ้งของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกและสอนวิชาอันเป็นที่สุดของความรู้ทั้งปวง ให้ผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์ โดยไม่เห็นแก่ความทุกข์ที่ตนต้องเผชิญเพื่อที่ผู้คนเหล่านั้น จะได้ไม่ต้องเวียนวนอยู่กับความไม่รู้ชั่วอนันตกาลอีกต่อไป

                เราคงนึกออกว่าบุคคลผู้นั้นก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็น "บรมครู" ของโลก นั่นเอง

                หันไปมองดูรอบตัว คนเกือบทั้งโลก เกิดมาแล้วก็ใช้ชีวิตตามครรลองไปวัน ๆ เราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองสักอย่าง ไม่รู้เกิดมาทำไม ไม่รู้ทำไมต้องเกิดมาทำไมถึงเกิดมามีหน้าตา การศึกษา ฐานะ ชาติตระกูล ความเป็นอยู่ แบบนี้ทำไมชีวิตที่เคยมีความสุขดี ๆ อยู่ ๆ ก็ต้องมาเจอกับความทุกข์จนใจแทบเจียนสลายทำไมต้องแก่ ทำไมต้องป่วย ทำไมต้องจากพราก ตายแล้วจะไปไหน ฯลฯ

                เมื่อไม่รู้ แต่ละคนก็ใช้ชีวิตไปตามสิ่งเร้าและกิเลสที่ถูกปรุงขึ้นไปวัน ๆโดยที่ไม่เคยรู้ความจริงที่แท้ของธรรมชาติเลยว่า สิ่งใดเป็นบาป สิ่งใดเป็นบุญ สิ่งใดเป็นคุณ สิ่งใดเป็นโทษมีแต่รับผลดีบ้าง ชั่วบ้าง อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แล้วก็สร้างเหตุแบบเดิมซ้ำ ๆ ซาก ๆ ต่างคนต่างก็ดิ้นรนไขว่คว้าหาสิ่งที่คิดว่าเป็นความสุข และอยากให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างใจโดยที่ไม่เคยรู้ความจริงที่แท้ของธรรมชาติเลยว่า ที่สุดแล้ว ทุกสิ่งในโลก แม้แต่กาย แม้แต่ใจของเราเอง ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และบังคับไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเราอย่างแท้จริงเลยสักอย่างเดียวมืดบอด... ราวกับปราศจากดวงตา และถูกปล่อยให้เดินคลำอยู่บนทางอันเวิ้งว้างเบื้องหน้าเพียงลำพัง อย่างไร้ทิศทาง

                การที่วันนี้ เรามีโอกาสได้สดับตรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างในท่ามกลางความมืดมนการอันยากจะหาความอบอุ่นสว่างไสวใด ๆ เสมอเหมือนได้ตลอดงสารวัฏอันยาวนานนี้ เพราะความรู้ที่ได้จากการเผยแผ่สั่งสอนของพระพุทธองค์ไม่เหมือนวิชาความรู้ทางโลกใด ๆ ที่เราเคยเรียนมาตลอดชีวิตที่เรียนรู้กันไม่มีวันจบ และไม่สามารถการันตีความสุขในชีวิตอย่างแท้จริงได้เลย

 แต่วิชาที่สอนให้รู้จักที่สุดของความจริงอันประเสริฐนี้ เรียนรู้แล้วมีวันจบสิ้นเป็นวิชาที่จะทำให้เรารู้จักหลุมพราง ทางลัด จุดหมายปลายทางที่ไม่ได้เพียงดึงเราขึ้นมาจากโคลนตมในชีวิตชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นแต่สามารถตัดวงจรความทุกข์ชนิดข้ามภพข้ามชาติให้ขาดเสียได้โดยสิ้นเชิง

                น่าเสียดาย... ที่วันนี้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงอยู่ปรากฏกายให้เราเข้าเฝ้าเพื่อชี้แนะสั่งสอนวิชาแห่งความจริงนั้นได้ด้วยพระองค์เองอีกแล้วแต่พระธรรมคำสอนของท่านยังคงอยู่ และจะเป็นครูแทนพระองค์ท่านสืบไปและก็ยังนับเป็นโชคดีของคนในยุคเรา ที่แม้กาลเวลาล่วงเลยมาแล้วสองพันกว่าปีแต่ก็ยังมีพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้ดำรงถ่ายทอดคำสอนนั้นและเป็นครูบาอาจารย์ที่พร้อมเมตตาชี้แนะสั่งสอนให้แก่ผู้ตั้งใจศึกษาเสมอ

                ใครโชคดีมีบุญได้เข้าใกล้ ได้ฟังธรรมแท้ ๆ จากครูบาอาจารย์ในยุคนี้คงนึกภาพออกว่าท่านเมตตาและเสียสละความสบายส่วนตัวเพื่อเราขนาดไหนทั้ง ๆ ที่ท่านสามารถเลือกที่จะอยู่เพียงวิเวกของท่านอย่างมีความสุขได้อย่างสบาย ๆแต่ท่านกลับเต็มใจที่สละเวลา แรงกาย และแรงใจของท่านออกกล่าวสอน ชี้แนะธรรมะ ชี้ทางควรดำเนิน และทางไม่ควรดำเนินให้แก่ญาติโยมเกือบทุกวัน ๆ ทั้งที่บางครั้งท่านก็เหนื่อย บางครั้งท่านก็เจ็บคอ ฯลฯหากนับกิจเพื่อโยมของท่านจริง ๆ แล้ว วันหยุดพักผ่อนทั้งปีของท่านบางทีอาจจะเหลือน้อยกว่ามนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ ด้วยซ้ำไป แต่ท่านก็ยอมเหนื่อย...โดยที่ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรตอบแทนส่วนตนเลยแม้แต่น้อย

                แล้วที่ครูบาอาจารย์ท่านทำเช่นนั้น เพื่ออะไรหรือท่านยอมเหน็ดเหนื่อยด้วยปรารถนาสิ่งใดจากลูกศิษย์ของท่านดอกไม้ ธูปแพ เทียนแพ การกราบไหว้บูชา ลาภสักการะ…? เชื่อว่าครูบาอาจารย์ที่แท้ ท่านย่อมมีความรู้สึกหนึ่งที่เหมือนกัน 

การมีลูกศิษย์ที่ขยันปฏิบัติ ดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งเดียวที่นำความปีติมาให้แก่ครูบาอาจารย์และปีติเหล่านี้นั่นเอง ที่ทำให้ท่านทั้งหลาย มีกำลังใจที่จะดำรงธาตุขันธ์ต่อไป

                หากจะมีสิ่งใดที่ศิษย์ผู้ยังโง่เขลาอย่างเรา จะตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ และเมตตาอันไม่มีประมาณของครูบาอาจารย์ได้ ก็ไม่มีอะไรประเสริฐไปกว่า การปฏิบัติบูชา ถวายแด่ครูบาอาจารย์ท่านอีกแล้ว

                "ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อให้ดี ไม่ใช่ปฏิบัติเอาสุข ไม่ใช่ปฏิบัติเอาสงบปฏิบัติเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า

เพื่อบูชาครูบาอาจารย์ ท่านอุตส่าห์สอนเรานะตั้งใจไว้แค่นี้ แล้วทุกวันก็ปฏิบัติบูชาไปเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีความเพียร    เราบูชาท่าน เราก็มีความเพียร  ทำตามที่ท่านสอน เป็นการบูชาคำสอนของท่าน"

                ตลอดการเวียนเกิดเวียนตายอันยาวนานแสนนานอาจมีนาทีทองสักเพียงช่วงเดียวในสังสารวัฏนะคะ ที่เราจะได้เกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และมีโอกาสได้ฟังคำสั่งสอนชี้แนะจากครูผู้ประเสริฐ เช่นที่เราได้พบกันในชาตินี้ เนื่องในโอกาสวันครูในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงอยากขอชักชวนคุณผู้อ่านให้พึงรำลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของโลกพร้อมทั้งพระคุณและความเมตตาอันบริสุทธิ์ของครูบาอาจารย์ หากมีสิ่งใดที่เราจะพึงทำเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของท่านได้ก็อยากเชิญชวนทุกท่าน เริ่มต้นปฏิบัติบูชาในวันนี้ และในทุก ๆ วันเพื่อถวายเป็นอาจาริยบูชา และเพื่อเป็นการทดแทนพระคุณของท่านกัน

                สุดท้ายนี้ อยากขอฝากบทกลอนบทหนึ่ง ที่ดังตฤณได้แต่งไว้ตั้งแต่เมื่อปี ๒๕๔๓

เพื่อส่งท้ายและร่วมรำลึกถึงพระคุณของบรมครูของพวกเราทุกคน

                ถ้าจะเทียบก็เปรียบแสงมาส่องเกล้า              ไสวราวเอาฟ้ามาเปิดเผย

ติดคุกแคบแอบมุ่นด้วยคุ้นเคย                                      ก็สุดเอ่ยเฉลยคำเมื่อธรรมมา

                เหมือนบ้าใบ้ไร้ตามาก่อนเก่า                       วันวันเศร้าเฝ้าออกแรงแสวงหา

กองขยะคุ้ยสิ้นด้วยชินชา                                         ทั้งโรยล้าหน้าหม่นก็ทนไป

                พระเอาตามาประทานแก่คนบอด                 รักษารอดตลอดสายจนหายไข้

พระปรานีที่สุดนี้มีเกินใคร                                         จะจดจำพระองค์ไว้ไม่ลืมเลือน

                พนมปั้นอัญชลีนี้พอหรือ                            สองมือไหว้ช่างง่ายดายอะไรเหมือน

พระคุณใหญ่ต่อให้คืนเป็นดาวเดือน                             เสมอเลื่อนหนี้สินด้วยดินดาน

                ถ้าร้อนใจใคร่บูชาตถาคต                             พระสั่งสอนให้สลดในสังขาร

เข้าจับใจให้รู้ดูนานนาน                                              กระทั่งผลาญอุปาทานจนลาญเรียง

                จึงเอาใจใสแล้วเป็นแก้วเก้า                          มาขานกล่าวบูชาให้เต็มเสียง

พระสอนมาข้านี้มีพอเพียง                                          จะลำเลียงถวายองค์พระทรงธรรม         

 (ประพันธ์โดย: คุณดังตฤณ)

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 236772เขียนเมื่อ 22 มกราคม 2009 20:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 04:41 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท