เวที RW1 ของเขต 2 : การประเมินความก้าวหน้าการนำการจัดการความรู้ไปใช้ในการพัฒนาคน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กร

• KM คล้ายการเข้าถึงธรรมะคือ มีหลายรูปแบบ หลายวิธีการ จะใช้วิธีไหนก็สามารถบรรลุเป้าหมายเหมือนกัน แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องจริงจังและจับแก่นให้ได้ มีความยืดหยุ่น อย่าไปยึดรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตายตัว

เมื่อวันที่ 18 – 20 กุมภาพันธ์ 2552 สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขต ที่ 2 จังหวัดราชบุรี ได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการระดับเขต ครั้งที่ 1/2552 ณ โรงแรมหัวหินแกรนด์ แอนด์ พลาซ่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วัตถุประสงค์เพื่อให้มีการใช้กระบวนการจัดการความรู้ในการพัฒนางานให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ทบทวนผลการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคในปีที่ผ่านมา และร่วมกันกำหนดแนวทางและแผนปฏิบัติงานโครงการ/กิจกรรม ปี 2552 ให้สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้เข้าสัมมนาประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานการจัดการความรู้ (KM) ระบบส่งเสริมการเกษตร วิสาหกิจชุมชน และโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและได้มาตรฐาน จากสำนักงานเกษตรจังหวัด 8 จังหวัด ผู้รับผิดชอบงานการจัดการความรู้ (KM) จากศูนย์ปฏิบัติการในเขตความรับผิดชอบ 6 ศูนย์ และคณะทำงานการจัดการความรู้ และเจ้าหน้าที่จากสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 จังหวัดราชบุรี รวมทั้งสิ้น 47 คน โดยมีนายสุพจน์ แสงประทุม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 2 จังหวัดราชบุรี เป็นประธานเปิดการสัมมนา

ในการแบ่งกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามงานในความรับผิดชอบ ในส่วนของกลุ่มผู้รับผิดชอบการจัดการความรู้ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากสำนักงานเกษตรจังหวัดและ ศูนย์ปฏิบัติการต่างๆ โดยมีป้าตุ้ยพร้อมทั้งคุณณรงค์ศักดิ์ โพธิ์ไพฑูรย์จากเขต 2 และคุณศิริวรรณ หวังดี จากกองวิจัย ร่วมเป็นวิทยากรประจำกลุ่ม

เนื้อหาประกอบด้วย :

ให้ทุกคนเล่าถึงความก้าวหน้าการดำเนินการจัดการความรู้ในองค์กรของตน ใน 7 ประเด็นหลัก ได้แก่

1.การแต่งตั้งทีมงาน KM และหน้าที่และความรับผิดชอบ

2. ขอบเขต KM (KM Focus Area)

3. เป้าหมาย KM (Desired State)

4. การประเมินตนเองเรื่องการจัดการความรู้ และสรุปผลการประเมินตนเอง

5. ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factor)

6. แผนการจัดการความรู้ (KM Action Plan)

7. งบประมาณการดำเนินงานการจัดการความรู้

ในเวที KS : เป็นการ share activity มากกว่า knowledge คือต้อง share เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แล้วก็มีเสียงสะท้อนจากช่วงนี้ พบว่าบางคนในกลุ่มยังไม่เข้าใจในเรื่องการจัดการความรู้เลย โดยเฉพาะศูนย์ปฏิบัติการต่างๆ ดังนั้น จึงได้มีการ share เพื่อทบทวนปรับฐานความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดการความรู้ให้ตรงกัน

ผลสรุป ที่ทุกคนในกลุ่มได้รับ เป็นผลที่เกินความคาดหมาย

· ได้รู้ว่าแท้จริง KM มีอยู่ในตัวเรา

· ได้เห็นช่องทางเอา KM ไปใช้ได้ในหลากหลายรูปแบบ

· เข้าใจแก่นแท้ KM มากขึ้น

· ได้รู้ว่าเรื่องเล่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เร้าพลัง สร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นง่าย ที่เห็นชัดเจนคือเรื่องเล่าประสบการณ์จากผู้ไม่รู้เรื่องการจัดการความรู้เลยไปสู่ผู้รู้ดี

· ได้เทคนิคการตั้ง/ตอบคำถามให้มากขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบหรือสิ่งที่ต้องการรู้ได้รวดเร็วและตรงประเด็น

· ได้รู้ว่า “การรู้แล้วไม่ทำก็ไม่ต่างกับไม่รู้”

· ได้ทบทวนการใช้ KM ได้รู้ความคืบหน้าการใช้ KM ของแต่ละคน

· ได้ share กันและรู้ว่าเราจะช่วยเหลือกันให้ขับเคลื่อนมุ่งสู่เป้าหมายได้อย่างไรบ้าง

· ได้ confirm กับตัวเองว่า KM ที่ทำมาได้ประโยชน์

· ไม่คิดว่าสิ่งที่เราไม่รู้ (การตั้งคำถาม) จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นๆ และทำให้คนอื่นเข้าใจดีมากขึ้น

· ได้รู้จักเพื่อนๆ ในเชิงลึก ทำให้คิดว่ากลุ่มของเราช่างเป็นขุม Knowledge ขุมใหญ่จริงๆ

· ได้เห็นหัวใจที่เปี่ยมด้วยพลังของทุกคนที่ต่างทุ่มเทกัน สิ่งที่เห็นคือไม่ทำเพื่อแข่งขันกัน แต่ช่วยพยุงกันก้าวไปพร้อมๆกัน

· ได้รู้ว่าการประเมินที่ดีต้องทบทวนเป้าหมายก่อน แล้วค่อยดูว่าระหว่างทางทำอะไรบ้าง สิ่งที่ทำสอดรับกับเป้าหมายแค่ไหน ยังขาดอะไรที่เป็นตัวช่วย

· ในทางการจัดการความรู้นั้น การวัดผลและประเมินผล(M&E) จะทำได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องรอให้งานเสร็จสิ้น

· KM คล้ายการเข้าถึงธรรมะคือ มีหลายรูปแบบ หลายวิธีการ จะใช้วิธีไหนก็สามารถบรรลุเป้าหมายเหมือนกัน แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องจริงจังและจับแก่นให้ได้ มีความยืดหยุ่นอย่าไปยึดรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตายตัว

สิ่งที่ทุกคนจะกลับไปทำก่อนพบกันครั้งต่อไปคือ

· กลับไปแต่งตั้งหรือปรับปรุงคณะทำงาน KM ให้หน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจนทุกคน

· กำหนดขอบเขต KM (KM Focus Area) และเป้าหมายของ KM (KM Desired State) ให้ชัดเจนโดยพิจารณาจากประเด็นยุทธศาสตร์ ภารกิจตามงาน/โครงการ/กิจกรรม ที่รับผิดชอบตามที่กรมส่งเสริมการเกษตรกำหนด หรือตามยุทธศาสตร์ของจังหวัด

· จัดทำแผนปฏิบัติงาน (Action Plan) ให้เกิดมีเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อย่างสม่ำเสมอโดยอย่างน้อยเน้นตามระบบส่งเสริมการเกษตร ได้แก่ในเวที DW และ DM กำหนดช่วงการดำเนินการของแผนให้ชัดเจนทั้งแผนรายเดือน รายปี ราย 3 ปี ฯลฯ

· เน้นให้มีการจดบันทึกองค์ความรู้และจัดเก็บอย่างเป็นระบบและ เน้นให้สามารถที่จะนำองค์ความรู้ที่มีไปใช้ในแก้ไขปัญหาให้กับเจ้าหน้าที่ และพัฒนาอาชีพเกษตรกร ได้อย่างแท้จริง

· มีระบบติดตาม วัดผลและประเมินผล การจัดการความรู้ทั้งระหว่างดำเนินการและหลังจากการดำเนินการ เพื่อทราบความก้าวหน้า ผลการดำเนินงาน และปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นและจะได้นำไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับสิ่งที่ขาดหายไปหรือใครที่มีมุมมองอืนๆขอเชิญผู้ที่เข้าร่วมเวทีทุกท่านเข้ามาเติมเต็มด้วยนะคะ