มีบทความหนึ่งน่าสนใจมากค่ะ เกี่ยวกับเรื่องที่ศิลาอยากจะให้ทุกท่านได้มองเห็นอะไรบางอย่างในมิติเดียวกันพอดี บางท่านอาจจะทราบแล้ว ก็ถือว่าเป็นการทบทวนอีกครั้งเพื่อการรู้ลึก รู้รอบ เข้าใจมากกว่าที่รู้ยิ่งขึ้นนะคะ….เรื่อง 3 ภูมิ การปฏิบัติ ตามปริยัติ สู่การปฎิเวธ ค่ะ
จาก Oknation บทความโดยคุณสัจจโชติค่ะ การปฏิบัติ ตามปริยัติ สู่การปฎิเวธ
อาจารย์บรรจง ชูสกุลชาติ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นคนใต้คนหนึ่งที่ขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดของข้าราชการพลเรือน ท่านได้บรรยายและให้ข้อคิดอันเป็นหลักในการนำไปสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน และการรับราชการเสมอว่า ข้าราชการที่ประสบความสำเร็จในชีวิตราชการจะต้องมี ๓ สิ่งคือ หนึ่ง ภูมิรู้ สอง ภูมิธรรม สาม ภูมิฐาน ในเรื่องของ ภูมิรู้ นั้นท่านได้อธิบายไว้ว่าหมายถึง ความรู้ความสามารถด้านเทคนิคหรือความชำนาญเฉพาะอย่าง เช่นครูสอนออกแบบต้องมีความรู้ความสามารถในการออกแบได้จริง รู้แจ้งแทงตลอดในสาขาวิชาที่ตัวเองดำเนินการสอนอยู่ หรือครูสอนวิชาเครื่องถม ก็ต้องมีความชำนาญในวิชาการเครื่องถม ทั้งทฤษฎี ปฏิบัติ และออกแบบคือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการและเทคนิคของงานนั้น ๆ รวมทั้งรู้ว่า ครูที่ถ่ายทอดความรู้ต่อศิษย์ มีวิธีการอย่างไร สอนอย่างไร ให้ผู้รับความรู้ได้รับการถ่ายทอดความรู้นั้นอย่างถูกต้อง เชื่อมั่นและเกิดทักษะอย่างแท้จริง สอง ภูมิธรรม คือ การที่บุคคลนั้น ๆ จะต้องมีความสามารถใน การครองตน ไม่เอนเอียงไปในทางแห่ง ความวิบาก หรือสิ่งที่นำเราให้ต่ำ ไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวคือ รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ อดออม รู้จักเส้นทางแห่งความพอดีหรือมีมัชฌิมวิถี ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้จ่ายเกินตัวรู้จักจังหวะ รู้จักเวลา ที่เรามักพูดเสมอว่ามีกาละเทศะ ครองคน คือรู้วิธีผูกใจคน คือมีพรหมวิหาร ๔ ที่เรียกว่า คุณธรรม ในการครองเรือน หรือสังคหะวัตถุ ๔ คือธรรมะในการยึดเหนี่ยวน้ำใจคน คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนเช่น การปฎิบัติต่อผู้บังคับบัญชา ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อลูกน้องเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่น ครองงาน คือ มีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ รู้จักตนเองว่าตนอยู่ในฐานะ ตำแหน่งอะไร ได้รับมอบหมายอะไร มองเห็นงานที่ได้รับมอบหมาย รู้จักวิธีในการที่จะทำให้งานสำเร็จโดยทางที่ถูกต้อง เป็นธรรมต่อผู้อื่น ต่อเพื่อนร่วมงาน และต่อผู้ที่เรารับผิดชอบนั้น ๆ อย่างสำนึก ตระหนึก และรู้ข้อจำกัดที่มีเกี่ยวกับระเบียบกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ในฐานะแห่งตนนั้น หมายถึงรู้และตื่นอยู่ตลอดเวลาว่า เราเป็นใคร เราทำเพื่ออะไร อย่างไร ที่ไหน เมื่อใด และทำไม สาม ภูมิฐาน คือ เป็นผู้ที่มีพื้น และฐานหรือภูมิหลังแห่งการสะสมในการคิดในการสร้างรู้จักการมองที่กว้าง ลึก มองเห็นเหตุแห่งปัญหาซึ่งจะเกิดขึ้นโดยการสรุปจากประสบการณ์ที่สร้างสมมานั้น เช่นขงเบ้งซึ่งมักได้รับขนานนามว่าเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้านั้น จริง ๆ ก็คือการที่ขงเบ้งได้บันทึก จดจำ ขบคิด สรุป และทดลองจนเกิดความเคยชิน เป็นคนช่างสังเกตและมองผลของการเกิดนั้นจากเหตุ ปัจจุบันเราเรียกว่า มีวิสัยทัศน์ หรือบางท่านเรียกว่า นิมิต ซึ่งหากไม่มีการสร้างสม ฝึกฝน การคิด การมอง จะไม่สามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบด้าน การมองอย่างเป็นระบบ และรู้ว่าแต่ละอย่างในธรรมชาตินั้น มีความสัมพันธ์กันและสัมพันธ์กันอย่างไร ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง จุดใดจุดหนึ่งจะกระทบหรือมีผลต่อสิ่งอื่นๆ อย่างไร เข้าใจถึงสิ่งแวดล้อม เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง ว่ามีบทบาทและสัมพันธ์ต่อองค์กรเช่นใด ซึ่งสิ่งที่สามนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจ ตัดสินปัญหาอย่างถูกต้องเที่ยงธรรมและเป็นจริงและก่อใหห้เกิดการผสมผสานในหน่วยงานอย่างเหมาะสมกลมกลืนและถูกทิศทาง โดยสรุปคือ ภูมิรู้ คือเก่งเทคนิคทำให้งานเป็นผล มี ภูมิธรรม คือเก่งคนทำให้คนร่วมใจ มี ภูมิฐาน คือเก่งในการคิดทำให้เกิดการผสมผสานงานในส่วนต่าง ๆ ให้บรรลุสู่จุดมุ่งหมายร่วมกัน |
โดย สัจจโชติ |
ข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=62853
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านเรื่องที่ควรรู้...
เห็นด้วยเลยค่ะ ภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิฐาน ... และยังเคยได้อ่านมาว่า ...
คนที่จะประสบความสำเร็จในงานนั้นจะต้อง มีนายดึง ลูกน้องดัน นอกเหนือจากการ ... ทำงานอย่างตั้งใจจริงค่ะ
(^___^)
• ขอบพระคุณคุณคนไม่มีราก ที่มาเพิ่มเติมจนอมยิ้มเห็นภาพตามค่ะ
• กรณีนายดึง ลูกน้องดัน เป็นสามัญโลก จนชิน...ความสำเร็จในงานแบบนั้น...คนอื่นไม่ทราบคิดอย่างไร แต่ศิลาไม่ภูมิใจ และไม่อยู่ในความคิดที่จะทำ
• มีคำสอนหนึ่งที่ผู้ใหญ่ท่านสอนศิลาก่อนเกษียณ
- หากเป็นลูกน้อง ให้ทำตัวไม่มีนาย ...หมายความว่า ไม่ประจบ ไม่ต้องให้ใครมาอุปถัมภ์ ไม่อยู่ฝ่ายใด ...ให้ใช้ความสามารถตนเอง
- หากเป็นนาย ให้คุยกับลูกน้องให้รู้เรื่อง อย่าพูดจาภาษานาย จำไว้ว่าพูดกับควายก็ต้องเป็น...แหม...ไม่อยากบอกต่อ...คำสอนท่าน ถ้ารู้สึกกระด้างไปก็ข้าม ๆ ไปนะคะ บางทีท่านพูดสนุก ๆ แล้วแต่คนฟังจะเข้าใจและจะนำไปปฏิบัติค่ะ
• แต่ศิลาเข้าใจดี และนำมาใช้เสมอ
ชอบตรงนี้ค่ะ
สอง ภูมิธรรม คือ การที่บุคคลนั้น ๆ จะต้องมีความสามารถใน การครองตน ไม่เอนเอียงไปในทางแห่ง ความวิบาก หรือสิ่งที่นำเราให้ต่ำ ไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวคือ รู้จักประหยัด มัธยัสถ์ อดออม รู้จักเส้นทางแห่งความพอดีหรือมีมัชฌิมวิถี ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้จ่ายเกินตัวรู้จักจังหวะ รู้จักเวลา ที่เรามักพูดเสมอว่ามีกาละเทศะ ครองคน คือรู้วิธีผูกใจคน คือมีพรหมวิหาร ๔
อ่านแล้วเพลินค่ะ...พยายามหาอะไรที่ทำให้เพลินจะได้ลืมทุกข์ที่มีอยู่..ขอบคุณค่ะ
เจริญพร โยมsila
หลักการปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
ส่วนใหญ่แล้วมักไปกันไม่ถึงหลักปฏิเวธ
เจริญพร
สวัสดีค่ะน้องศิลา
ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ หากคนทำงานทำได้ดังสามอย่าง สวรรค์อยู่ไม่ไกล ปริยัติเรียนรู้ รู้ให้จริงแล้วนำไปทดลองว่าไอ้ที่รู้หนะ รู้ถึงแก่นจริงๆเพียงไร เพิ่มเติมเรียนรู แล้วนำไปปฏฺบัติ เวลาปฏิบัติก็จะมีมารให้เราต่อสูหลากหลาย ผ่านมารได้ด้วยการนำความรู้มาแก้ มาจับมารต้มซะให้เข็ด หากแพ้มารก็ต้องกลับไปปฏิยัติใหม่ เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ปิบัติใหม่ พอสองอย่างหายตึงใจสบายก็ฝึกปฏิเวธ ไม่ฝึกได้ไง เรื่องจิตนี่จะว่ยากก็ยาก จะว่าง่ายก็ยังไม่เคยง่าย อิอิ พยายามอยู๋ค่ะ
งานเกิดจากงาน ได้ทำความดี แม้นายไม่ชอบไม่ว่าขอให้งานเกิดเด็กได้ประโยชน์ ได้สุขนะคะ
ดอ๊ะอยากลบเม้นท์จังเลย พิมพ์ผิดมากเกินกว่าจะเป็นครูให้ได้ ขออภัยค่ะ คราวหลังต้องส่องดีๆ ตาชักมัว
ภูมิรู้ คือเก่งเทคนิคทำให้งานเป็นผล มี ภูมิธรรม คือเก่งคนทำให้คนร่วมใจ มี ภูมิฐาน คือเก่งในการคิดทำให้เกิดการผสมผสานงานในส่วนต่าง ๆ ให้บรรลุสู่จุดมุ่งหมายร่วมกัน
หลักธรรมกับหลักบริหารสอดประสานกันได้อย่างลงตัวครับ
เจ้าของบ้านหายไปไหนเอ่ย ไม่เห็นหลายวันแล้ว
บทความนี้ดีนะคะ ทำยากก็ไม่เป็นไร ขอให้คิดที่จะทำก็ดีแล้วนะคะ
ท่านบรรจง ชูสกุลชาติ เป็นอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ท่านมีบทความเด็ดๆ และ คำคมข้อคิดในการบริหารงานมากครับ ผมยังตัดเก็บทั้งบทความและข้อคิดคำคมของท่านไว้ครับ
ภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิฐาน เป็น หลักสำคัญของผู้ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษาครับ
ผมแปลว่า ภูมิรู้ คือ ความรู้ทางโลก ภูมิธรรม คือ ความรู้ทางธรรม และ ภูมิฐาน คือ มีความรู้ ผสม ภูมิธรรม ครับ
ขอบคุณครับ
ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ หากคนทำงานทำได้ดังสามอย่าง สวรรค์อยู่ไม่ไกล ปริยัติเรียนรู้ รู้ให้จริงแล้วนำไปทดลองว่าไอ้ที่รู้หนะ รู้ถึงแก่นจริงๆเพียงไร เพิ่มเติมเรียนรู แล้วนำไปปฏฺบัติ เวลาปฏิบัติก็จะมีมารให้เราต่อสูหลากหลาย ผ่านมารได้ด้วยการนำความรู้มาแก้ มาจับมารต้มซะให้เข็ด หากแพ้มารก็ต้องกลับไปปฏิยัติใหม่ เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ปิบัติใหม่ พอสองอย่างหายตึงใจสบายก็ฝึกปฏิเวธ ไม่ฝึกได้ไง เรื่องจิตนี่จะว่ยากก็ยาก จะว่าง่ายก็ยังไม่เคยง่าย อิอิ พยายามอยู๋ค่ะ
งานเกิดจากงาน ได้ทำความดี แม้นายไม่ชอบไม่ว่าขอให้งานเกิดเด็กได้ประโยชน์ ได้สุขนะคะ
ชอบค่ะ เพราะอธิบายจากการได้ปฏิบัติมาแล้วและพบอุปสรรคอย่างไรบ้าง ความสัมพันธ์ของสามเรื่องเหมือนพวงมาลัยงามเพราะเป็นวงคล้องคอ ไม่มีอะไรเกิดก่อนกันค่ะ ควรมีพร้อมกันทั้งสามประการ คุณค่าคือการสร้างให้เกิดแก่ตัวเรา
สำหรับคำพิมพ์ผิด ศิลาไม่ได้ใส่ใจ เพราะเข้าใจความหมายมากกว่าตัวอักษรค่ะ เชื่อว่าผู้อ่านท่านอื่นก็คงคิดอย่างเดียวกัน อีกอย่าง ผิดแล้วก็แล้วไป ถ้าคิดถึงสิ่งที่ผิดก็จะผิดไม่รู้จบ เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อปราโมทย์ค่ะ แต่ท่านก็ย้ำนะคะ ไม่ใช่คิดอย่างนี้ แล้วทำผิดซ้ำๆ ไม่คิดแก้ไข คนละเรื่องกัน พี่ครูต้อยเป็นคุณครูที่งามพร้อมภายใน สำคัญตรงนี้มาก ๆ แล้วค่ะ ว่าแล้วอยากเจอตัวจะได้ไหว้พร้อมน้ำชาหนึ่งจอก
ขอบพระคุณสำหรับข้อคิดที่มีคุณค่าจะระลึกไว้ค่ะ
แวะมาเยี่ยมครับ...และยังได้เกร็ดความรู้เรื่องงานและชีวิตตามไปด้วย
ขอบคุณครับ
สวัสดี ครับ คุณ sila
อ่านบันทึกฉบับนี้ แล้ว ได้ความรู้เพิ่ม
แต่ในความรู้...ที่มีอยู่เดิม ก็ยังคงใช้ได้อยู่
เพียงแต่ว่า....เมื่อเวลาเปลื่ยนไป
บางครั้งก็มิอาจเปลี่ยน ธรรมชาติของคนได้
ใครเป็น อย่างไร....ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
แต่ ภูมิธรรม...ซิครับ....
อาจจะเปลี่ยน ใจคนได้..แม้อาจจะไม่เปลี่ยนธรรมชาติของคน
ผมเอง....ยังคงธรรมชาติ ของตัวเอง อยู่
แต่การได้รับ รับธรรม เพิ่ม....ธรรมช่วยกล่อมเกลาจิตใจคนเราได้เยอะ
ครับ....ผมมองโลกด้วยธรรมมาขึ้น คิดหาเหตุผล บทสรุปก็มาลงที่ธรรมนี่แหละครับ
ผมมองโลกด้วยธรรมมากขึ้น คิดหาเหตุผล บทสรุปก็มาลงที่ธรรมนี่แหละครับ
สวัสดีครับ
ธรรมะ 3 ข้อนี้ ผมได้เรียนรู้ตอนบวช เมื่อมาพบอีกครั้ง ได้มาอ่าน พบว่า เป็นสิ่งที่เราได้ยึดมั่นปฏิบัติอยู่ในชีวิต และจะนำไปใช้ในการเรียน การสอนต่อไป ขอบคุณสำหรับข้อคิดครับ
ไม่รู้เลยนะว่าท่านจากไปนานแล้ว เราเคยเป็น ... ของคุณหมอจักรกฤษณ์ ลูกชายคนที่ 2 ของท่าน แต่หลังจากเลิกกันก็ไม่เคยรับรู้เรืองราวอะไรอีกเลย ตอนนั้นหมอโอมยังเรียน 'dent ที่พระมงกุฏฯ อยู่เลย