เมื่อเร็ว ๆ นี้ รับโทรศัพท์แบบจู่โจม หลังจากที่อยู่ท่ามกลางความเงียบมานาน
เพื่อนรักโทร มาค่ะ …เธอโกรธใครมาไม่ทราบ ศิลาตั้งใจฟังตั้งนาน จึงค่อยรู้เรื่อง
สรุปสั้น ๆ ว่าโครงการวิจัยนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรแห่งใหญ่ของเธอได้รับอนุมัติงบประมาณตั้งแต่ปีที่แล้ว ในวงเงิน 1.8 ล้านบาท และวันนี้ เธอเพิ่งเสนอรายการที่จะต้องขออนุมัติใช้จ่ายตามความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่เธอโดนตัดค่าใช้จ่ายไปหลายรายการ และที่สำคัญ ยังได้ยินผู้บริหารที่เป็นผู้กลั่นกรองงบประมาณค่าใช้จ่ายจริงพูดเปรย ๆ ว่าไม่น่าจะมีค่าจ้างผู้ช่วยนักวิจัยภายในองค์กร ทั้งที่งบประมาณรวมทั้งหมดก็ได้รับอนุมัติโดยผู้มีอำนาจไว้แล้ว และได้ระบุค่าใช้จ่ายนี้ไว้ด้วย
เธอบอกศิลาว่างานวิจัยนี้ไม่ใช่งานในหน้าที่ตามปกติขององค์กร เป็นงานพิเศษที่ร่วมกันคิดค้นกับทีมงานในบริษัท ดังนั้น งบค่าใช้จ่ายจึงต้องคงมีไว้มิใช่หรือ และเธอก็เล่าถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับผู้บริหารคนนี้ เนื่องจากเธอเคยทำงานด้วย และเธอก็รู้สึกว่าเจ้านายคนนี้มีอคติอะไรบางอย่างกับเธอ เธอจึงขอย้ายไปอยู่หน่วยงานภายในด้านอื่นที่ไม่ต้องพบกันอีก
แต่ตราบใดที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน สักวันก็โคจรมาพบกัน
ศิลาฟังเธอ… น้ำเสียงเธอมีแต่ความโกรธ โมโห และอยากโต้ตอบแรง ๆ เธอบอกว่าเธอจะเลื่อนโครงการใช้จ่ายตามงบประมาณออกไปบ้างล่ะ
เธอบอกว่าจะทำหนังสือขอให้ชี้แจงว่าตกลงจะให้มีงบค่าใช้จ่ายผู้ช่วยวิจัยภายในไหม ในเมื่อผู้มีอำนาจก็ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดแล้ว
และหากว่าเธอได้เงินค่าช่วยวิจัยมา ก็จะนำไปทำบุญทั้งหมด…เธอประชด…
ศิลาได้ยินประโยคนี้ก็ได้ช่อง…ถามเธอว่าไม่อยากได้เงินค่าตัวใช่ไหม
เธอบอกว่าใช่… แต่แค้นมากกว่า
ศิลาก็เลยแนะนำว่า อย่างนั้นขอให้ทำอีกแบบหนึ่งจะดีกว่าไหม … ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดีมาก ๆ เลย ช่วยบริษัทประหยัดงบประมาณ จะได้ดูดีหน่อย… ให้ทำหนังสือถึงผู้บริหารทุกท่านตามสายงานขึ้นไปถึงผู้บริหารระดับสูง บอกว่าขอให้ตัดค่าใช้จ่ายของผู้ช่วยวิจัยออก (เราไม่รับ) เพื่อจะได้นำไปใช้ในเรื่องอื่นของโครงการวิจัยที่มีความสำคัญกว่า
ในเมื่อมันไม่ชัดเจนว่าเราจะได้หรือไม่ เราก็ขอไม่รับเลย…ทำได้ไหมเพื่อน?
ศิลาย้ำ…วิธีนี้ เธอทำได้หรือเปล่า…อาศัยความกล้าหาญมากเลยนะที่จะเสียสละเพื่อองค์กรเนี่ย…
เธอตอบรวดเร็วว่าทำได้…นั่นแสดงว่าเธอโกรธ และแค้นมากกว่า เพราะรู้สึกถูกกลั่นแกล้ง …ไม่ได้โกรธที่ไม่ได้เงินจากการทำโครงการพิเศษให้กับบริษัท …เธอมีคุณธรรมที่เป็นผู้เสียสละ หากว่าความโกรธทำให้เกือบพลาดไป...ดูแล้วทำอะไรไปนอกจากที่ศิลาแนะนำ ไม่น่าจะคุ้มค่ะ
อีกอย่างเราไม่รู้หรอกว่าผู้บริหารคนนั้นมีอคติจริงหรือไม่ สิ่งที่เรารู้ได้คือภายในตัวเราเอง
จึงควรแปลงความโกรธเป็นความเสียสละ ให้ “การปฏิบัติงานเป็นการปฎิบัติธรรมได้เหมือนกัน”
------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มาภาพhttp://www.pantown.com/data/3247/board1/72-20060704155531.jpg
เจริญพร โยมsila
"ยามบุญมาวาสนาช่วย ที่ป่วยก็หายที่หน่ายก็รัก
บุญไม่มาวาสนาไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนักที่รักก็หน่าย"
เจริญพร
ดีครับ
แต่...ผู้บริหาร คิดแบบนี้เป็นบ้างหรือเปล่าหนอ?
ได้ผลงาน ได้ใจผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหาร โปรดช่วยพิจารณาด้วยครับ
ชื่นชมนะคะ แต่เมื่อนึกถึงตัวเอง ไม่รู้ว่าจะกล้าเสียสละแบบนี้หรือเปล่า
ยากนะ มันเหมือนไม่ยุติธรรมยังไงไม่รู้ (ไม่ใช่งกนะ)
พี่ชาย ชยพร แอคะรัจน์
อาศัยความกล้าหาญมากเลยนะที่จะเสียสละเพื่อองค์กรเนี่ย
ฟังเพื่อน เตือนเพื่อสร้างสรรค์ ครับ
สวัสดีค่ะ
พี่ศิลา
ชอบเผยแพร่ศาสนาเหรอค่ะ
ดีจังเลยค่ะ
ขอบคุณน่ะค่ะ
ความโกรธ..ทำร้ายตัวเอง..รู้สึกแล้วต้องผลักให้ออกไปค่ะ..
แวะมาทักทายค่ะ..^^
คิดไม่ออกเหมือนกันค่ะ ถ้าเป็นเราบ้าง รู้แต่ว่าตัดสินใจอะไร จะพยายามหาเหตุหาผลมาชั่งน้ำหนักหลายๆ ข้อ จนเหมือนคนชอบลังเล อยากคิดแทนว่าเราคือผู้เสียสละที่รู้ตัวเราองดี แต่ถ้าหากไม่ใช่เราเป็นผู้สานต่อไป แล้วใครที่มาทำหน้าที่สวมรอยเรา จะเดือดร้อนไหม กรณีค่าตอบแทนเช่นนี้ ถ้าทิ้งเอาไว้แล้วคนข้างหลังเกิดเขาต้องการ เพราะคิดไม่เหมือนกัน เราจะเพิ่มคนมองเราในเชิงลบหนักขึ้นอีกไหมนะคะ
ไม่อยากคิดแล้วค่ะ ปวดหัว คิดแล้ววิตกเรื่องสดร้อนของตัวเองมาทั้งคืน ยังไม่เลิกคิดเลยค่ะ แต่มาขอบคุณคุณศิลาที่ให้กำลังใจด้วยนะคะ
ใจเย็นๆ ค่อยๆคิดนะจ๊ะ
เราจะพูดอะไรได้บ้างเนี้ย.........ดีนะไม่เต็มใจทำบุญแต่ก็ทำบุญได้...มันก็ยังได้บ้างนะ...
คุณ Sila Phu-Chaya มีกุศโลบายให้เพื่อนทำบุญโดยเขารู้ตัวหรือเปล่าครับนี่
ถึงอย่างไรก็ ชื่นชมการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ลดความโลภออกจากใจไปได้ และยังได้ทำทานอีกด้วย
ขอบคุณครับ
จะแปลงความโกรธให้ได้..
สติ..สงบ..ปัญญา..อดทน..นะคะ
สวัสดีครับอาจารย์ ยังติดตามเรื่องราวในบันทึกอยู่เสมอ ชอบมุมมองธรรมะที่นำมาถ่ายทอดให้เหมาะกับยุคสมัยปัจจุบัน..ขอบพระคุณที่กรุณาแวะไปทักทายกันเสมอ ๆ ครับ
สวัสดีค่ะคุณศิลา
คิดไม่ออกเหมือนกันค่ะ ถ้าเป็นเราบ้าง รู้แต่ว่าตัดสินใจอะไร จะพยายามหาเหตุหาผลมาชั่งน้ำหนักหลายๆ ข้อ จนเหมือนคนชอบลังเล อยากคิดแทนว่าเราคือผู้เสียสละที่รู้ตัวเราองดี แต่ถ้าหากไม่ใช่เราเป็นผู้สานต่อไป แล้วใครที่มาทำหน้าที่สวมรอยเรา จะเดือดร้อนไหม กรณีค่าตอบแทนเช่นนี้ ถ้าทิ้งเอาไว้แล้วคนข้างหลังเกิดเขาต้องการ เพราะคิดไม่เหมือนกัน เราจะเพิ่มคนมองเราในเชิงลบหนักขึ้นอีกไหมนะคะ
มาชม
มองภาพท่านเจ้าคุณอาจารย์พุทธทาสภิกขุ อยู่นานชื่นชมนะ
เคยมาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ ไชยา เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่
ในราวปี พ.ศ. 2529
พี่ครูต้อยเคยพบท่านพระอาจารย์ จากหนังสือ 10 กว่าเล่มค่ะ แรกๆก็อ่านไม่เข้าใจ ย้อนไปอ่านย้อนไปๆ และวันหนึ่งจึงเข้าใจ อันที่จริงชีวิตคือแบบฝึกหัด ยังไม่ได้จบบทเรียนเลย บทที่1 คือความจากไปจากโลกนี้ ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณศิลา บางครั้งพอความโกรธเข้ามา มันหน้ามืดตามัวหาทางออกไม่เจอจริงๆ
ยินดีกับเพื่อนของคุณค่ะที่ได้โทร. หากัลยาณมิตรที่ดี ก่อนที่จะติดกับดักของความโกรธ (สงสารความโกรธจังไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว)
สวัสดีค่ะคุณศิลา
บางครั้งเผลอโกรธ...อย่างหน้ามืดตามัว
รู้ว่าโกรธไม่ดี...ก็จะค่อยๆพิจารณาตัวเอง
จะมาอ่านธรรมะของคุณศิลาบ่อยๆ
เมื่อวานได้กล้วยไม้ป่าเป็นของฝาก...
หวังว่าจะได้ไปฝากต่อกับคนที่รักกล้วยไม้นะคะ...
สองสามวันนี้ พี่อาการสับสนปนเประหว่าง โกรธ งุนงง ช็อค เสียใจ..ที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราด้วย ???
ต้องตั้งสติ รวบรวมใจให้อยู่ นิ่ง กับ จิตของเรา
มันเป็นเช่นนี้เอง
ยิ่งมาเห็นรูปภาพท่านพุทธทาส
"โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า"
จริง ๆ
สวัสดีค่ะ
ชื่นชมค่ะที่คุณศิลาสามารถเป็นกัลยาณมิตรให้คำชี้แนะที่ดีแก้เพื่อนได้แม้ในยามที่เขากำลังอยู่ในเพลิงโทสะ
ความโกรธเป็นสิ่งที่ตัดยากที่สุด ยิ่งหากเป็นผู้ไม่ได้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม ก็จะเห็นแต่ตนเอง หรือ อัตตา ยิ่งอัตตาใหญ่มาก ยิ่งโกรธมาก
ตัวเองเมื่อก่อนก็เป็นคนโกรธง่ายมากๆๆๆ เรียกได้ว่าเจ้าอารมณ์ค่ะ แต่การศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ด้วยธรรมะ ด้วยการมองเข้าไปทำความเข้าใจตนเอง ทำให้มีสติ ไม่หลงโกรธเป็นวรรคเป็นเวรให้เผาตัวเองอยู่นานๆอย่างแต่ก่อน เมื่อก่อนโกรธแล้วมีคิดเอาคืนเสียด้วย แบบฝากไว้ก่อน ^__^ เดี๋ยวนี้รู้ตัวปุ๊ปว่ากำลังโกรธจะรีบเข้าไประลึกรู้อารมณ์โกรธนั้นของตนเองโดยไม่ไปดูเหตุผล หรือดูการกระทำของคนอื่นว่าสมควรโกรธหรือเปล่า กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ฝึกตนอยู่หลายปีค่ะ