โน้มนำกุศลจิต พิชิตงานใหม่

การอ่อนน้อมถ่อมตนที่จะเข้ามาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในที่ทำงานใหม่ และอ่อนน้อมถ่อมตนต่อที่ทำงานเดิมที่เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตเรามา ให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ รุ่นน้องของศิลาเขาติดต่อมาและแสดงความขอบคุณสำหรับคำปรึกษาที่ศิลามอบให้แก่เขา

ศิลาช่วยอะไรเขาได้อย่างนั้นหรือ…ช่วยให้เขาผ่านการสัมภาษณ์เข้าที่ทำงานใหม่ค่ะ… รับรองไม่มีเส้นสายอะไรค่ะ เป็นเรื่องของเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ศิลาเป็นกระจกส่องให้น้องเขาค่ะ

รุ่นน้องของศิลาอายุน้อยกว่าศิลาเป็นรอบ…เขาเป็นนักกฎหมายไฟแรง เป็นทนายความในบริษัทมีชื่อแห่งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่พอใจที่ทำงานเดิม และบ่นบ่อย ๆ ว่าถูกเอาเปรียบ เดินทางไปทำงานต่างจังหวัดบ่อย ๆ ค่าตอบแทนไม่คุ้มเท่าไหร่ อื่น ๆ อีกมากมาย รายละเอียดศิลาก็จำไม่ได้แล้วค่ะ รู้แต่ว่าเขามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงาน ซึ่งก็คงเป็นความจริงในบางส่วน

เขาบอกว่าเขาไปสมัครงานใหม่หลายแห่งแล้ว และสอบสัมภาษณ์ทีไรก็ไม่ผ่านสักที

ศิลาพอจะเดาได้แหละค่ะว่าเป็นเพราะอะไรแต่ก็ถามไปเป็นพิธีว่าส่วนใหญ่ เขาถามน้องว่าอย่างไร

น้องบอกว่า คำถามคือ ทำไมจึงอยากลาออกจากที่ทำงานเดิม รุ่นน้องตอบว่าเพราะที่ทำงานเดิมมีปัญหาเรื่องนู้นเรื่องนี้ และตนก็ไม่ชอบเลย

ศิลาใจเย็น ฟังจนจบก่อนจะบอกว่าเรื่องความรู้ความสามารถ พี่เชื่อว่าพงศ์เก่งมากเลยนะ และที่ไม่ผ่านสัมภาษณ์ ก็เพราะเขาวัดทัศนคติในการมองโลกของเรา ถ้าเรามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่ทำงาน ย่อมหมายความว่าเราจะนำความคิดเชิงลบมามีผลต่อที่ทำงานใหม่ด้วย

เขาก็โต้แย้งว่าเขาพูดเรื่องจริงทั้งนั้น

ศิลาบอกว่าก็ไม่ได้ให้โกหก แต่เราไม่ได้อยู่ในบริบทของการเปิดโปงความจริงอะไรกัน เรากำลังอยู่ในระหว่างการนำเสนอทัศนคติและวิสัยทัศน์ในการทำงาน

จากนั้นก็ให้เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้น้องพงศ์เขาไปหาข้อมูลเกี่ยวกับที่ทำงานใหม่ทุกครั้งที่จะไปสัมภาษณ์งาน และเปลี่ยนจากคำตอบต่อคำถามที่ว่าทำไมจึงอยากลาออกจากที่ทำงาน จากเดิมที่ไปวิจารณ์ที่ทำงานปัจจุบันเปลี่ยนเป็นว่า ที่ทำงานใหม่จะให้สิ่งดี ๆ อะไรแก่เราบ้าง อย่างไร และความรู้บวกประสบการณ์จากที่เดิมจะมาช่วยส่งเสริมสนับสนุนการทำงานใหม่ของเขาอย่างไร

และหากที่ทำงานใหม่เขาอยากรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับที่ทำงานปัจจุบันก็ให้ตอบกลาง ๆ ว่าเราทำงานตรงนี้มากี่ปีก็ว่าไป และได้ประสบการณ์ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ในระดับหนึ่งและมองเห็นว่าหากนำไปขยายผลต่อยอดประสบการณ์ในเรื่องใหม่ที่ท้าทายขึ้น ก็น่าจะเป็นประโยชน์เพิ่มพูนประสบการณ์ที่หลากหลายขึ้น

เชื่อไหมว่า สำหรับคนที่มีทัศนคติบวกในหลายเรื่องแล้วไม่มีปัญหาในเรื่องการพูดอะไรที่ออกมาเป็นบวกเลย ในขณะที่กับบางคน จะประสบปัญหามาก เพราะอยากจะพูด ความจริง

ความจริงที่ว่านี้.. อย่าลืมว่าแต่ละคนต่างก็กำหนดรู้ หรือนิยามไม่เหมือนกัน มันเป็น subjective….อัตวิสัย ไม่เป็นกลาง จริงไหมคะ และบ่อยครั้งที่กลายเป็นว่าความจริงมักเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์ใจ หรือคนฟังไม่อยากฟังเท่าไรนัก

อาจจะเป็นเรื่องของกาละเทศะว่าสมควรในการนำเสนอความจริงหรือไม่

ในบางกรณีเรื่องจริงไม่ว่าจะด้านลบหรือด้านบวก ก็จำเป็นต้องเปิดโปง เพื่อการแสวงหาข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐาน หรือเพื่อให้ประชาชนหูตาสว่าง เป็นต้น….เชื่อหรือไม่ เป็นเรื่องของดุลพินิจ จะมีอคติมากหรือน้อยอย่างไรก็ว่ากันไป

แต่สำหรับกรณีการแสดงทัศนคติต่อที่ทำงานเชิงบวก เป็นการอ่อนน้อมถ่อมตนที่จะเข้ามาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ในที่ทำงานใหม่ และอ่อนน้อมถ่อมตนต่อที่ทำงานเดิมที่เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตเรามา ให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

บันทึกนี้ ศิลาเขียนขึ้นเพื่อทำความเข้าใจในตัวคนที่มีความแตกต่างจากเราอย่างน้องพงศ์ และเพื่อน ๆ น้อง ๆ คนอื่น ๆที่เพิ่งทำงานใหม่จะได้มีข้อคิดไว้เตือนใจเล็ก ๆ น้อย ๆ

ตอนที่ศิลาทำความเข้าใจและแนะนำน้องเขา ศิลาก็ได้อธิบายความเป็นเขาตามการมองเห็นของเรา จนเขายอมรับโดยดุษฎี….ไม่ได้ต่อว่า วิจารณ์อะไร แต่เป็นกระจกสะท้อนให้เข้าถึงตัวเขาเอง

เขาเป็นคนชอบพูดตรงไปตรงมา ปากตรงกับใจเป๊ะ…ขวานผ่าซาก คำพูดกระชากหัวใจคนฟัง ชอบวิจารณ์คน วิจารณ์สังคม… ศิลาเตือนเขาว่าบทบาทเขาไม่ใช่สรยุทธ์ที่จะจับเข่าคุยหรือผ่าตัดวินิจฉัยข่าวสารอะไร สิ่งที่เราเชื่อบางเรื่องอยู่ในใจก็ได้ค่ะ เพราะบางเรื่องที่ว่านั้นพูดไปก็ไม่จบเพราะเป็นเรื่องที่อาจมีอคติแทรกซ้อนและนำข้อเท็จจริงบางส่วน บิดเบือนบางส่วน มาโน้มน้าวกันไปมา ไม่มีข้อสรุปแน่นอน…คนเราบางคนมัก "ติดกับ" กับการหลงอยู่ในเหตุผลหรืออารมณ์ของตนเอง อีกทั้งอคติบังตา

สรุปว่าเขาไม่โกรธแฮะ และยังชมศิลาเลยว่าดูหมอแม่น…ทำไมรู้จักเขาดีจัง เขายังไม่ได้สังเกตตัวเองเลย …(จะสังเกตได้ไงก็มัวแต่วิจารณ์ภายนอกก็จะมองไม่เห็นตัวเองหรอก… แถมให้ในใจศิลาเอง) …ศิลาดีใจจริง ๆ นะที่ช่วยให้น้องได้งานใหม่ เงินเดือนเยอะกว่าเดิมด้วย….ตอบสัมภาษณ์ในด้านบวก ๆๆๆ ได้ผลดีอย่างนี้เอง…อ้อ…แต่ "เป็นวิสัยทัศน์ด้านบวกที่เป็นไปได้" ด้วยนะคะ

ศิลาตบท้ายว่า รู้ตัวว่าจะคิดเชิงลบเมื่อไหร่ให้มีสติดึงใจออกมาเพื่อพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้าม…

การคิดบวก อยู่บนหลักความเป็นเรื่องจริงได้เหมือนกัน จริงไหมคะ มิใช่คิดบวกแบบเพ้อฝันจนไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงเสียเมื่อไหร่… ซึ่งกรณีหลังนี้ สัมผัสกันได้อยู่แล้วระหว่างฝันดีกับเรื่องจริงดี ๆ

ดังนั้น หากเราโน้มนำจิตไปยังฝ่ายกุศลแล้ว เขาก็จะคุ้นเคยกับสภาวะธรรมที่เป็นกุศลจิต ….ซึ่งเป็นสภาวะที่ปรากฎตามความเป็นจริงเช่นกัน และจริงแท้ด้วยค่ะ

--------------------------------------------------

เขียนใน GotoKnow โดย Sila Phu-Chaya
ใน คน - ธรรม - งาน

คำสำคัญ (Tags): #หากเราโน้มนำจิตไปยังฝ่ายกุศลแล้ว#เขาก็จะคุ้นเคยกับสภาวะธรรมที่เป็นกุศลจิต

หมายเลขบันทึก: 253844เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2009 16:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่าน

ความเห็น (50)

berger0123

เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2009 16:48 น. ()

การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเรื่องดีค่ะ แบบว่าเก่งอย่ข้างในค่ะ แล้วก้ค่อยเรียนรู้เพิ่มเติมต่อยอดการเรียนรู้ต่ะ

ขจิต ฝอยทอง

เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2009 16:49 น. ()

ตามมาปรึกษาคุณศิลาด้วยคนได้ไหม อิอิๆๆ สบายดีไหมครับ จะได้พบกันไหมเนี่ย

Sila Phu-Chaya