วันนี้หนูมานีจะพาไปทัศนศึกษาและสำรวจลุ่มน้ำแถวจังหวัดเชียงใหม่กันนะคะ พื้นที่แรกที่หนูมานีจะพาไปสำรวจกันคือ ลุ่มน้ำแม่สอย
ลุ่มน้ำแม่สอยนี้อยู่ในเขตตำบลแม่สอย อำเภอจอมทอง เชียงใหม่เจ๊า ซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้ของเทือกเขาอินทนนท์อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง ลุ่มน้ำแม่สอยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดแม่น้ำเจ้าพระยา
ถ้าเราทำความเข้าใจย้อนหลังคือ แม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำสายหลักของประเทศ มีแม่น้ำปิงเป็นส่วนประกอบ และแม่น้ำปิง มีลุ่มน้ำแม่สอยเป็นส่วนประกอบ และลุ่มน้ำแม่สอยก็ยังมีลำห้วย แม่สอย, แม่ทิม, แม่ป๊อก เป็นส่วนประกอบ และลำห้วยแม่สอย,แม่ทิมและแม่ป๊อก เกิดจากป่าต้นน้ำตอนบน ซึ่งเป็นป่าดิบเขา ป่าเต็งรัง ป่าที่เป็นต้นกำเนิดต้นน้ำนี้ จะมีตัวกะท่าง หรือตัวซาลาแมนเดอร์ เป็นตัวบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่า ซึ่งตัวกะท่างนี้จะมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่เป็นภูเขาสูงเท่านั้น
ในอดีตเมื่อปี 2493 ป่าลุ่มน้ำแม่สอยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มีสัตว์ป่า และความหลากหลายทางชีวภาพ มีน้ำอุดมสมบูรณ์ทั้งปริมาณ คุณภาพและระยะเวลาการไหลของน้ำ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในตำบลแม่สอยเล่าว่า แม้ในฤดูร้อนน้ำแม่สอยใสสะอาดและมีระดับความสูงเท่าท้องช้าง
ปัญหาเริ่มต้นของลุ่มน้ำแม่สอย
คือทางรัฐบาลเริ่มให้สัมปทานป่าแม่สอยกับบริษัททำไม้ ซึ่งจะเลือกตัดเฉพาะไม้ขนาดใหญ่และขนาดกลางเท่านั้น เหลือแต่ไม้ขนาดเล็ก แล้วที่น่าอดสูคือไม่มีการปลูกทดแทนมาเป็นระยะเวลา 20 ปี คุณๆ ลองคิดดูนะคะ พอปี 2516 รัฐบาลให้สัมปทานกับโรงบ่มใบยาสูบเพื่อตัดไม้ขนาดเล็กมาทำฟืนเพื่อบ่มใบยาสูบ และชาวบ้านบางส่วนเริ่มบุกรุกเข้าไปตัดไม้มาเผาถ่าน ทำให้ในปี 2521 ป่าแม่สอยพื้นราบหมดไปโดยสิ้นเชิง นั่นหมายถึง ป่าที่อุดมสมบูรณ์นั่นเริ่มกลายเป็นทะเลทรายภายในเวลาไม่ถึง 30 ปี ด้วยฝีมือมนุษย์
เมื่อป่าพื้นราบหมดลงไปแล้ว คราวนี้ก็มาถึงป่าบนพื้นที่สูง ชาวบ้านบางคนอาจจะคิดว่า ต้นไม้และป่าที่มีอยู่เป็นของทุกคน เป็นของสาธารณะที่ใครใคร่ตัดก็ตัด ใครใคร่ค้าก็ค้า จนลืมคิดไปว่าต้นไม้กว่าจะใหญ่และโตมาจนสามารถตัดแล้วนำไปใช้ปลูกบ้านได้นั้นมันต้องใช้เวลานานนับเกือบสิบปี ไม่ได้เหมือนถั่วงอกที่ปลูกแล้วขึ้นกันแค่ข้ามคืนเท่านั้น
ปี 2518 มีชาวไทยภูเขาเผ่าม้งประมาณ 5 ครัวเรือน เข้าไปตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยบริเวณป่าต้นน้ำแม่ทิม โดยมีอาชีพเพาะปลูกแบบโค่นและเผาป่า ทำไร่เลื่อนลอย เพียงเพื่อปลูกฝิ่นและข้าวไร่ ต่อมาเปลี่ยนมาปลูกกะหล่ำปลีและมีการใช้สารเคมีอย่างหนัก แ้ม้ว่ากำนันตำบลแม่สอยจะทำเรื่องแจ้งและท้วงเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า และการปลูกฝิ่นของชาวเขาไปที่อำเภอหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด
จนถึงปี 2526 คือ ปีหายนะของชาวบ้านพื้นราบ ป่าต้นน้ำแม่สอยส่วนบนถูกทำลายอย่างหนัก ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ตกอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมอย่างยิ่ง ชาวบ้านพื้นราบและชาวเขาพื้นที่สูงทำงานร่วมมือและประสานงานกันอย่างขยันขันแข็ง พื้นราบตัดไม้ขนาดเล็กที่เหลืออยู่แข่งกับสัมปทานของโรงบ่มเพื่อไปเผาถ่าน ส่วนพื้นที่สูงก็เผาป่า บุกรุกป่าต้นน้ำ ทำไร่เลื่อนลอยไปเรื่อยๆ เร่งขยายพื้นที่เพราะประชากรของตนเพิ่มขึ้น
ผลเสียที่ตามมา เหมือนเงาตามตัว เหมือนกรรมตามทัน เกิดภัยแล้งติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2526-2528 ได้เกิดวิกฤตการณ์ขาดน้ำอย่างรุนแรง และในปี 2528 นี่เอง เกิดไฟไหม้ป่าต้นน้ำแม่ทิม แม่ป๊อกและแม่สอยเป็นเวลานานถึง 7 วัน ทำให้น้ำในห้วยทั้งสามแห้งสนิท (น่ากลัวมาก)
ชาวบ้านพื้นราบไม่มีน้ำเพียงพอเพื่อใช้ทำการเกษตร แม้แต่จะกินหรือเพื่อใช้ในครัวเรือนก็ไม่พอ ทำให้ทำการเกษตรได้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ข้าวที่ปลูกได้กินไม่ตลอดปี สัตว์เลี้ยงล้มตายเนื่องจากขาดอาหารและน้ำ เริ่มมีหนี้สินรุงรัง เกิดการลักขโมยชุกชุมในหมู่บ้านและพบกับชีวิตที่ไม่เ้คยพบเจอมาก่อน และจุดไคลแม็กซ์ที่ขาดไม่ได้คือ โทษฟ้าดิน โทษเทวดาที่ไม่ให้ฝน ไม่ให้น้ำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ไม่เคยย้อนคิดว่า ที่เป็นเช่นนี้เกิดจากฝีมือของตนเองทั้งสิ้น.
นี่ไม่ใช่จุดจบของชาวบ้านป่าลุ่มน้ำแม่สอย แต่เป็นจุดเริ่มต้นต่างหาก ในเมื่อตอนนี้พวกเขาได้สำนึกถึงบุญคุณของป่าที่มีมาแต่เก่าก่อน จะต้องทำอย่างไร? จะต้องฟื้นฟูอย่างไร? ให้ป่าลุ่มน้ำแม่สอยกลับมาเหมือนเดิม กลับมาหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้านได้เหมือนเดิม ติดตามตอนต่อไป.
ไม่มีความเห็น