รู้ไหม...ว่าทำไมเก้าอี้แถวหน้าจึงว่าง
ครูกานท์
.
.
...
เคยเห็นบ่อยใช่ไหมครับว่าเก้าอี้แถวหน้าในห้องประชุมมักจะว่าง ไม่ค่อยจะมีคนนั่ง พิธีกรหลายต่อหลายคนต้องพยายามขอร้องท่านั้นท่านี้ เพื่อจะให้เก้าอี้แถวหน้ามีคนนั่งเต็ม ให้ภาพพจน์ดูดี เมื่อถ่ายภาพออกมาจะได้สวย ซึ่งวิธีการร้องขอเช่นนั้นก็หาใช่ความสำคัญแท้จริงของการนั่งแถวหน้าไม่ พิธีการบางคนที่พอมีอำนาจแฝง หรือมีบารมีเป็นที่เกรงอกเกรงใจกันอยู่บ้างก็อาจใช้วิธีร้องขอแกมบังคับ ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ตามแต่บรรยากาศและสถานการณ์
.
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นหรือ?
อ่านบทกวีต่อไปนี้ก่อนสิครับ อ่านจบแล้วค่อยคุยกันต่อ...
.
รากเหง้า
.
● คล้ายเป็นเรื่องเล็กเล็กธรรมดา
ที่เก้าอี้แถวหน้าเธอว่างเปล่า
ชะรอยฤๅสื่อเร้นเห็นรูปเงา
แฝงฝากรากเหง้ามายาวไกล
● เคยถามเหตุและผลคนแถวหลัง
เธอละล้าละลังตอบไม่ได้
บางอ้ำอึ้งอึกอั่งลังเลใจ
ว่าทำไมไม่นั่ง…ต่างยิ้มยิ้ม
● บางเธอบางใครบอกไม่กล้า
กลัวสะดุดปุจฉาน้ำตาปริ่ม
เก็บความกลวงเปล่าในเพราพริ้ม
แอบหลังนั่งตีขิมอยู่หงิมลึก
● บ้างเว้นเหลือเพื่อผู้หลักผู้ใหญ่
หาเหตุให้ดูชอบปลอบรู้สึก
เธอผู้น้อยพึงเจียมเหนียมคิดนึก
รู้ฝึกกิริยามิกล้าแซม
● โอ้กำแพงมหึมาเกินฝ่าข้าม
แท้คือ “ความไม่กล้า” กลัวห้าแต้ม
เมื่อภายในไร้ดำริจะผลิแย้ม
ภายนอกแหลมเกินท่านจะอันตราย
● เธอจึง “กลัวความจริง” สิ่งมีค่า
แล้ว “ค้าความลวง” กันเหลือหลาย
มิรู้สิ่งใด...ไยต้องอาย
มาสายไยต้องมีเก้าอี้งาม
● เธอสืบญาติขลาดกลัวกันทั่วแล้ว
กลัวออกแถวหน้ารุดสะดุดหนาม
แสนสงสารบ้านเมืองรุดเรืองราม
คนแถวหลังล้นหลามเสียเหลือเกิน
...[ศิวกานท์ ปทุมสูติ,๒๕๕๑]...
.
แม้จะมีเหตุผลอื่นใดอีกหลายประการของการไม่นั่งแถวหน้าก็ตาม แต่ “ความไม่กล้า” เพราะ “กลัวต่อความจริงที่เป็นจุดอ่อนด้อยของตน” (ทั้งกลัวจะตกเป็นเป้าสายตา เป้าคำถาม หรือกลัวจะถูกเปิดเผยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ และแม้เพื่อจะแวบหลบจากห้องประชุมนั้น ก็ล้วนเป็นประเด็นของความไม่กล้าเผชิญกับความจริงที่มีในตนเองด้วยกันทั้งนั้น) เรื่องนี้ถือว่าเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งทีเดียว ที่ผู้คนในสังคมของเรา “มิกล้าออกหน้า” แม้ว่าการออกหน้าเป็นการกระทำความดีก็ตาม ก็กลัวว่าจะทนแรงเสียดทานไม่ได้ กลัวว่าถ้าทำได้ไม่ดีแล้วจะเสียหน้า เสียราคา ดังนั้นก็จึงขอหลบๆ ซ่อนๆ รักษาท่าทีเอาไว้ก่อนจะดีกว่า ลึกๆ ลงไปในจิตประหวั่นเช่นที่ว่านี้ก็คือการแอบซ่อน “ความเห็นแก่ตัว” ที่เจ้าตัวก็อาจไม่รู้ตัวนั่นเอง
.
เรื่องของเก้าอี้แถวหน้าว่าง จึงเป็นเพียงหนึ่งในปรากฏการณ์ของสังคมที่ขาดแคลน “คนออกหน้า” หรือนำหน้าในทางสร้างสรรค์ เป็น “รากเหง้า” ที่สั่งสมมานานไกล... ทางเดียวที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมของเราได้ก็คือ เราจะต้องช่วยกันเติมเต็มความรู้จริง ความเข้าใจในการเรียนรู้เชิงกว้างลึก ความรักการอ่าน ความใฝ่รู้ ความมีจิตสาธารณะ และความกล้าหาญทาง “จริยปัญญา” แก่ประชากรของเราให้มากยิ่งๆ ขึ้น ทั้งในวิถีการศึกษา วัฒนาธรรม และวิถีสังคม
.
ความปรารถนานี้จะมีโอกาสเป็นไปได้จริงหรือเปล่าหนอ?
...
สวัสดี ครับ ครูกานท์
วันนี้ ผมมานั่งแถวหน้าครับ
มาตอบรับ....คำกู่ร้อง....
เพื่อให้ สังคม..รู้ว่า แถวหน้ามีเสน่ห์...แค่ไหน
มิใช่เป็นคนใหญ่....คนโต..
มิเคยโอ้อวด......ว่ารู้
แต่รู้เพียงว่า...หัวใจเรียกร้องให้นั่ง
เพราะการนั่งอยู่แถวหน้านี้....ผมได้มองความรู้สึก มองอารมณ์ ของตัวเองได้ชัด....
เมื่อไม่รู้ก็จะตอบ ตรงๆ ว่าไม่รุ้...เรื่องที่รู้เมื่อมีโอกาส ก็อยากถ่ายทอด
การพูดไม่เคยคิดว่า...ตัวเองผิด.....เพราะคิดเพียงว่า...เราเกิดมาไม่มีความรู้ติดตัวมา ต้องไขว่คว้า....ต้องค้นหา.....
บางครั้งก็รู้สึก...ประหม่า เคอะเขิน....แต่ครูรู้มั้ยครับว่า....ให้เวลาสักพักเราก็จะเคยชิน....กับการนั่ง อยู่แถวหน้า ๆ
แต่การนั่งอยู่แถวหลัง ก็เคย อยู่บ่อย ๆ การเข้าห้องประชุมสาย ความไม่สุภาพของกายแต่งกาย....และความไม่พร้อมของจิตใจ
เป็นความแอบซ่อนที่ครูบอก จริง ๆ ครับ
อ่านบันทึกนี้แล้ว อยากอยู่กับครูใกล้ ๆ จัง ครับ
ระลึกถึงครูกานท์ เสมอ
มันเป็นธรรมเนียมค่ะ
ทุกครั้งที่มีการประชุม เรียน หรือทำอะไรก็แล้วแต่ มักไม่มีคนชอบนั่งหน้า
ขอบคุณครับ...เก้าอี้แถวหน้า
ขอบคุณที่นำความรู้มาให้...
จะมาติดตามอ่านอีกครับ
ขอให้นักเดินทางทุกท่าน
เดินผ่านขวากหนามงามสง่า
ด้วยมโนคติผลิจริยปัญญา
พานพบบุปผาทุกรอยทาง
...
อายุบวร