หลายวันก่อนไปได้ยินได้ยลรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เขาพาไปเยี่ยมบ้านพิพิธภัณฑ์จ่าทวี
หลายวันก่อนไปได้ยินได้ยลรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง เขาพาไปเยี่ยม
บ้านพิพิธภัณฑ์จ่าทวี มีไกด์สาว (น่าจะเป็นลูกสาวของจ่าทวี) เป็นคนนำชมพิพิธภัณฑ์ เวลาไม่นานได้อะไรต่ออะไรกลับมาชื่นชมอีกเยอะแยะ ขอบคุณรายการดีๆ และขอให้มีเพิ่มมากขึ้น...
สำหรับสิ่งที่ได้รับจากการชมรายการ นั้น มาจากพิธีกรในรายการได้เดินชมไปในส่วนต่างๆ ของพิิพิธภัณฑ์ แล้วก็มาหยุดอยู่ที่กระท่อมน้อยที่จำลองวิถีชีวิตของคนสมัยก่อน ผู้นำชมเลยชี้โน้นชี้นั่นให้ดูพร้อมกับเล่าถึงที่มา แล้วก็มาสะดุดตาที่ ร้องเท้าคู่หนึ่ง พินิจดูก็ไม่ได้สวยอะไร ทำมาจากไม้ (ฟังไม่ทันครับว่าไม้อะไร) พิธิกรสงสัยก็เลยซักถาม ได้ความว่า เจ้ารองเท้าที่เห็นนั้น เป็นรองเท้าสำหรับใช้ใส่เข้าไปตัดไม้ไผ่ ซึ่งมีหนาม มีหน่อ ที่คมมาก หากไปด้วยรองเท้าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็คงถูกบาดถูกแทงกลับมาจนยืนไม่ได้ไป หลายวัน ดังนั้นชาวบ้านเลยประดิษฐ์รองเท้าไม้นี้ขึ้น โดยกิริยาการสวมเท้าเข้าไปในรองเท้านี้ ใช้คำว่า "เสือก-เท้า" เมือก่อนผมก็คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินคำนี้มาแล้วน่ะครับ
แล้วผู้นำชมก็เล่าต่อว่า คำว่า "เสือก" เลยมีคนนำมาใช้กันในความหมายปัจจุบัน ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า "ก. ไสไป, ผลักไป; สาระแน, (เป็นคำไม่สุภาพ)" ซึ่งคนเราเดี๋ยวนี้ได้เอาไปใช้ในความหมายว่า "สาระแน" เป็นหลักกระมัง
ไม่เท่านั้นผู้นำชมยังได้เล่าต่อไปว่า การเสือกเท้าเข้าไปในรองเท้าไม้ ถึงจะทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บจากตอไม้ไผ่ หรือส่วนใดๆ ของไผ่เลย แต่ใช่ว่าจะใส่สบายเหมือนรองเท้าฟองน้ำ คนใส่ต้องทนเจ็บเช่นกันแต่ก็คงอยู่ในระดับที่ทนได้ ซึ่งถ้าไ่ม่จำเป็นขอไม่ใส่ซ่ะเลยดีกว่า ...
กลับมาย้อนนึกถึงคำว่า "เสือก" ที่ำนำมาใช้กันในทุกวันนี้ในความหมาย "เข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นโดยไม่ได้รับเชิญ" คนที่มีอากัปกิริยาเช่นนี้ ก็ไม่ต่างกับความหมายที่แท้จริง เพราะการเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นไม่มีดีอะไร มีแต่เสีย หรือไม่ก็เสมอตัว
จากที่เล่ามาทำให้เห็นที่มาของคำว่า "เสือก" ในอีกมุมหนึ่ง
สำหรับพิพิธภัณฑ์บ้านจ่าทวี นี่กระมังที่เค้าเรียกว่า "พิพิธภัณฑ์มีชีวิต" ที่สิ่งของ ที่ผู้เป็นเจ้าของ สามารถนำมาเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจได้อย่างไม่รู้จบ ขอเพียงมีคนสานต่อเรื่อยไป ก็คงดี...