เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมสีขาวหม่น มีร่องรอยการหลุดลอกของสีเป็นจุดๆทั่วห้อง ปลุกให้ผู้ที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มสีฟ้าลายกุหลาบสีชมพูตัดกันอย่างลงตัว ให้งัวเงียลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ พลางบ่นกับตัวเองอย่างหัวเสีย
“เช้าแล้วหรือเนี่ย ไม่อยากขึ้นเวรเลย เบื่อชะมัด”
บ่นพลางก็ลุกจากเตียงบิดตัวเล็กน้อยพอสลัดความง่วงงุนให้หมดไป พร้อมกับหันหน้าเดินตรงไปยังตู้ทึบสีน้ำตาลเข้มกลางเก่ากลางใหม่ที่ตั้งทะมึนอยู่มุมหนึ่งในห้องแคบๆ เปิดประตูตู้ทึบนั่นอย่างเกียจคร้าน ในตู้มีเสื้อผ้าแขวนอยู่อย่างไม่มีระเบียบมากนักอัดกันแน่นจนดูเหมือนตู้นั้นเล็กไปถนัดตา ดูช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน ไม้แขวนเสื้อบางอันถูกดันจนโด่งออกมาระเกะระกะจนแทบปิดประตูตู้แทบไม่ได้ เมื่อเธอได้ชุดพยาบาลสีขาวที่เริ่มออกสีเหลืองนวลไปบ้างจากการใช้งานบ่อยครั้ง เธอคิดอยู่ว่าคงต้องตัดชุดใหม่บ้างแล้ว ก่อนจะดันประตูตู้นั้นอย่างเร็ว แต่เธอกับได้ยินเสียงดัง “กึก” พร้อมกับประตูที่เด้งกลับมาเหมือนมีมือใครผลักกลับมาอย่างแรง เมื่อเธอพยายามดันเข้าไปอีกครั้งประตูก็ยังคงดื้อดึงที่จะเด้งกลับมาทุกครั้ง
“เสียเวลาจริงๆ เป็นอะไรของมันเนี่ย ”
เธอบ่นกับตัวเองอย่างหงุดหงิด พลางเปิดประตูให้กว้างขึ้น เพื่อดูว่า อะไรกันที่มาดันประตูให้ปิดไม่ได้ พร้อมกับรื้อค้นเสื้อผ้าที่แน่นขนัดอยู่ในตู้ออกมาเพื่อจะดูว่า ด้านในมีอะไรขัดอยู่
“นั่นไง เจอแล้ว”
เธอเห็น เจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้ประตูต้องเด้งกลับทุกครั้ง เมื่อปิดลง มันคือไม้แขวนเสื้อที่แขวนเสื้อตัวโคร่ง มันโด่งมาขัดกับซอกประตูด้านในนั่นเอง เมื่อเธอดันไม้แขวนเสื้อตัวนั้นเข้าที่ แต่สิ่งที่อยู่ด้านสุดของตู้กับทำให้เธอชะงักมือนิ่งอยู่นาน
มันเป็นเสื้อสีแดงตัวเล็กกระจิ๋วหลิว ลายแมวฝรั่งสีเหลือง มีฝุ่นจับบ้างเล็กน้อย เธอหยิบมาปัดฝุ่นออกเบาๆ มันทำให้เธอนิ่งอยู่ในภวังค์ ในใจนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อ 1 ปีก่อนที่เธอได้เสื้อสีแดงตัวนี้มา
...................................................................
1 ปีก่อน ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บกว่าทุกปี บรรยากาศรอบข้างเริ่มสลัวขมุกขมัวรุกคืบเข้ามาพร้อมกับลมเย็นเฉียบที่เริ่มพัดแรงขึ้นทุกที ความมืดของด้านนอกต่างจากห้องทำงานของพยาบาลซึ่งเปิดไฟสว่างจ้า กลางห้องนั้นเธอผู้นี้กำลังสาระวนอยู่กับการเตรียมเขียนอาการคนไข้ในชาร์ทเหล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ ขณะที่เธอเตรียมจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่นั้นเธอก็เหลือบตามองนอกกระจกเห็นคุณป้าร่างท้วม ตัดผมสั้น ดัดเป็นลอนเล็ก ตามสมัยนิยมของคุณแม่ มองมายังเธออย่างใจจดใจจ่อ ดังรอว่าเมื่อไหร่เธอจะสบตาสักที เธอมองก่อนจะยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยให้เข้ามาในห้อง ดูเหมือนว่าป้าจะรีบเปิดประตูเข้ามาอย่างกลัวว่าเวลาจะหายไปเสีย 1 วินาที พลางเดินเข้ามาหาเธออย่างรีบเร่งด้วยใบหน้าที่วิตกกังวล ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างเบาๆ
“เอ่อ คุณพยาบาลคะป้าอยากจะรบกวนสักเรื่องจะได้มั้ยคะ”
เธอมองมาอย่างต้องการความหวัง
“ได้สิคะป้า มีอะไรให้ช่วยคะ”
“ป้าต้องการย้ายพี่สาวไปรักษาที่กรุงเทพฯ”
“เกิดอะไรขึ้นคะป้าถึงอยากย้ายไปกรุงเทพฯหมอที่นี่ก็ดูแลอยู่นะคะ”
“ป้าอยากให้พี่สาวป้าไปรักษากับหมอที่เขาเคยรักษาอยู่ประจำ เป็นอะไรไปจะได้รักษาได้ทัน ป้าไม่อยากให้แกเป็นอะไรไป ป้ากลัว มีกันอยู่แค่ 2 คนพี่น้อง” แววตาเธอระริกสั่นไหว น้ำใสๆคลอเบ้าตา ก่อนจะสะบัดมือมาเช็ดอย่างรวดเร็ว เธอมองป้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอกได้ ดูเหมือนว่าเธอจะรับรู้ถึงความรักของพี่น้องคู่หนึ่ง ผ่านหยดน้ำตาของป้าได้เป็นอย่างดี ก่อนจะส่งเสียงรอดริมฝีปากนั้นออกมา
“ได้สิคะป้า”
ก่อนจะลงมือกดหมายเลขโทรศัพท์ของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯจากป้าที่เขียนมาในกระดาษยับย่นแผ่นเล็กนั้น แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะหลายครั้งที่โทรศัพท์ไป กับไม่มีใครรับสายเลย
“คงต้องติดต่อพรุ่งนี้แล้วหละค่ะป้าวันนี้คงไม่มีใครรับสายเราแน่ ป้ารอก่อนนะ”
ป้าพยักหน้าน้อยๆอย่างรับรู้ ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเธอก้าวเข้ามาในตึก ที่ริมระเบียง เธอเห็นป้าคนเดิมผลุดลุกขึ้นอย่างเร็วพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้กับเธอทันที หลังจากนั้นเธอก็ต้องสาระวนอยู่กับการโทรศัพท์ติดต่อโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ สลับกับการทำงานประจำวัน จนหน้ามันแผล็บไปหมด
จนกระทั่งเย็นของวันนั้นจึงได้รับการยืนยันว่าโรงพยาบาลในกรุงเทพฯมีเตียงรองรับคนไข้แล้ว และจะมีรถพยาบาลไปส่งภายในคืนนั้น และเย็นวันนั้นก็มีรถพยาบาลสีขาวมารับคนไข้และป้าเข้ากรุงเทพฯ แต่ก่อนที่แสงไฟกระพริบสีฟ้าจะลับตาไป เธอได้มองเห็นสายตาของป้านั้นมองมายังเธออย่างไม่วางตา เธอไม่รู้หรอกว่าทั้งคู่จะมองมาด้วยเหตุผลใด เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงแม้แต่คำว่าขอบคุณ
..............................................................................
เช้าวันหนึ่งของเดือนอะไรเธอก็จำไม่ได้แต่เป็นเช้าที่เธอต้องถูกปลุกมาด้วยเสียงประทัดที่ดังอยู่รอบรั้วโรงพยาบาล เมื่อเดินเข้ามาในตึกก็จะมีแต่เจ้าหน้าที่ พยาบาล หิ้วถุงใส่ห่อขนมเทียน ไก่นึ่งที่ถูกสับออกเป็นชิ้นๆเรียบร้อยแล้ว รวมถึงผลไม้ต่างๆ มากันเป็นแถวๆบ้างก็เอามาฝากเพื่อน บ้างก็เอามากินเอง
แต่เธอผู้นี้กับเดินขึ้นมามือเปล่า ด้วยที่ว่าเธอไม่ใช่คนจีนนี่นา จึงต้องไหว้เจ้าเหมือนคนอื่น เธอได้ยินเสียงคนอื่นๆคุยกัน บ้างก็ว่าได้อั่งเปาเท่าไหร่ ถ้าเป็นรุ่นป้าๆอย่างพี่หัวหน้าตึกก็จะบ่นว่า ปีนี้ต้องแจกอั่งเปาลูกๆหลานๆเยอะเหลือเกิน ในใจเธอแอบอิจฉาเล็กๆว่าทำไมเธอไม่ได้อั่งเปาบ้างนะ อิจฉาจัง ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะหลังจากที่เอาของไปเก็บในล็อคเกอร์เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เธอเห็นกับเป็นเสื้อสีแดง มองดูแล้วขนาดไซด์ S หรือ M คงจะได้ จึงหันไปถามเพื่อนๆว่า เป็นเสื้อของใคร มีเสียงตอบของพี่ผู้ช่วยเหลือคนไข้ชุดเหลืองร่างป้อม ค่อนไปทางเตี้ยไปด้วยซ้ำ
“ของคุณเจี๊ยบนั่นแหละค่ะ จำป้าที่คุณส่งไปกรุงเทพฯได้มั้ย ตอนนี้แกกลับมาบ้านแล้ว เลยฝากเสื้อมาให้เป็นอั่งเปา เห็นว่าซื้อมาจากกรุงเทพฯ ตอนแกไปเฝ้าพี่สาวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แกตั้งใจเอามาให้เลยนะ”
เธอยืนอึ้งไปนานก่อนจะหยิบเสื้อมาคลี่ดู โดยไม่นึกว่าจะได้อั่งเปาเป็นเสื้อสีแดงตัวนี้ มาจากคนไข้ที่เธอแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะว่ามีคนไข้ผ่านเข้ามาแล้วก็ออกไปมากจนจำไม่หวาดไม่ไหว
.......................................................................
เช้าวันนี้เธอได้เจอกับเสื้อสีแดงใหม่เอี่ยมตัวนี้ เสื้อที่ไม่เคยได้ใส่เลยสักครั้ง มันทำให้เธอยิ้มกับตัวเองอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาทันที ความเกียจคร้านเมื่อครู่ ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง ความกระชุ่มกระชวย เข้ามาแทนที่ เธอรู้สึกถึงพลังใจ ความอยากที่จะไปเจอคนไข้ที่นอนรอคอยอย่างมีความหวังว่าจะหายกลับบ้านได้ รอเธออยู่บนตึกแล้ว
เธออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก่อนจะหันไปยิ้มกับกระจกเงาบานใหญ่ข้างห้อง แต่ความใหญ่ของกระจกกับดูเล็กไปถนัดตา เมื่อเทียบกับเงาของสาวร่างใหญ่ ผิวคล้ำ ใบหน้าอวบอูม ที่ยืนอยู่หน้ากระจกเงา ผู้เป็นเจ้าของเสื้อสีแดงแปร๋น ตัวเล็กกระจิ๋วหลิว ตัวนี้
.........................................................
แม่ต้อยขอนำเรื่องเขียนของน้องพยาบาลคนหนึ่งที่เกิดมาไม่เคยคิดที่จะเขียนเรื่องราวการทำงานออกมาเป็นเรื่องราวได้ นี่เป็นการเขียนครั้งแรกในชีวิตของเธอคะ และเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง มอบให้กับผู้อ่านทุกๆท่าน และขอกำลังใจจากทุกท่านนะคะ
ขอบคุณและสวัสดีคะ
.....................................................
เกี่ยวกับผู้เขียน: น.ส.อุทัยวรรณ เพ็ชรกำจัด (เจี๊ยบ) อายุการทำงานเป็นพยาบาล 8 ปี
ปัจจุบันประจำอยู่ที่ โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี และเรื่อง “เสื้อตัวใหม่ หัวใจดวงเดิม” เป็นเรื่องแรกในชีวิตที่เขียนขึ้นมา เมื่อครั้งที่อบรม Narrative Medicine ณ สวนสามพราน จ.นครปฐม ขอบคุณ แม่ต้อย และ อ.โกมาตร ที่หยิบยื่นสิ่งดีๆผ่านการอบรมครั้งนี้.......
สวัสดีค่ะ น้องพยาบาลค่ะ กับเสื้อตัวใหม่หัวใจดวงเดิมจ๊ะ
สวัสดีค่ะแม่ต้อย ขอบคุณมากค่ะกับเรื่องราวที่น่าประทับใจ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับคุณแม่ต้อย
สวัสดีค่ะแม่ต้อย
นี่ขนาดเป็นเรื่องเล่าครั้งแรกก็เขียนได้ดี
ขอชื่นชมทีมงานนะคะที่ทำให้คนทำงานได้เห็นคุณค่าของตัวเอง
ผ่านเรื่องเล่านะคะ...
เชื่อว่าน้องจะต้องชอบการเขียน...และหาวัตถุดิบดีๆจากงานที่ทำมาเขียน...
ดอกไม้สวยคู่กับคนสวยๆอย่างแม่ต้อยค่ะ
สวัสดีครับแม่ต้อย ตามมาดื่มชา แต่มาได้อังเปาเสื้อตัวใหม่ หัวใจดวงเดิมเป็นเรื่องเล่าที่ทำให้นึกถึงพยาบาลหลายคนที่เล่าเรื่องเป็นเรื่องแรกครับ
แม่ต้อยคิดว่าน้องแดงเป้นเทพธิดาของเด้กๆที่ป่วยจริงๆ
กำลังคิดที่จะขอให้น้องแดงรวบรวมสาระเพื่อมาแลกเปลี่ยนกันคะ
ขอเป้นกำลังใจนะคะ
น้องแดงมีเนื้อเรื่องที่จะเอามาเขียนได้มากมาย
น่าจะมีมากกว่ใครๆคะ
ชอบไหมคะ
น้องใหม่คนนี้
แม่ต้อยต้องขอชิดซ้ายคะ
ขอบคุณมากคะที่มาดื่มชาทุกๆวันเลยคะ
เกี่ยวกับผู้เขียน: น.ส.อุทัยวรรณ เพ็ชรกำจัด (เจี๊ยบ) อายุการทำงานเป็นพยาบาล 8 ปี
ปัจจุบันประจำอยู่ที่ โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
สาวน้อยไนติงเกล รู้นะว่าเธอเหนื่อยในบางครั้ง บางคราวคำว่าขอบคุณซักคำก็ไม่มี ไปแล้วไปเลย เธอก็ไม่ว่า
ก็ด้วยที่ในแต่ละวัน คนไข้เข้าออกมากมายจนเธอจำไม่ได้ ถึงไม่มีขอบคุณในบางครั้ง เธอก็ทำใจ วันแล้ววันเล่า ในที่สุดเธอก็ชินไปเอง
เข้าใจชีวิตนางพยาบาลด้วยคะ อาชีพนี้ก็ทนมากๆ เพราะในแต่ละวัน คนเข้ามาหาก็มีแต่คนป่วยๆ น่าเห็นใจเธอที่สุด จากการอ่านบทความของเธอ เห็นใจอาชีพนางพยาบาลด้วย
17. สุ-มหาวิทยาลัยชีวิต ราชภัฏพระนคร อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
อาจารย์คะ
ขอบคุณแทน พยาบาล สาวสวยคนนี้นะคะ
เจี้ยบเป็นคนน่ารัก รื่นเริงและมองโลก สวยงามเสมอคะ
ขอบคุรคะ
ยินดีที่เห็นงานเขียนมีคุณภาพจากน้องเจี๊ยบ สบายดีหรือเปล่า
ขอบคุณพี่เอี๊ยบที่เข้ามาอ่านงานเขียน เรื่องเดียวในชีวิตของเจี๊ยบ
ติดต่อกลับ เจี๊ยบได้ที่อีเมล์ [email protected]
อาภรณ์ที่แท้ของพวกเรา คืออาภรณ์ที่ห่มใจ จะสวมอะไรอยู่ภายนอกก็ตาม ใจของเรายังประภัสสรอยู่เสมอ
เป็นกำลังใจให้ครับ
นานมากแล้วที่ไม่ได้เข้ามาอ่านเรื่องของตัวเอง หลังจากที่ชีวิตต้องผ่าน มรสุมมากมาย จนขณะนี้ ฟ้าเริ่มสดใสแล้ว จึงได้มีโอกาสเข้ามาอ่านอีกครั้ง ดีใจค่ะที่มีกำลังใจมากมาย อ่านแล้วก็ทำให้ มีเรี่ยวแรง พลังกาย พลังใจ ที่จะเขียนผลงานอีกสักครั้ง
ไม่ทราบว่าผู้เขียน คุณเจี๊ยบ ยังใช้เมลล์อาไรอยู่ครับ