ใครว่า..หมอไม่ต้องซ่อม..ภาคอวสาน


“เป็นหน้าที่ของหมอทุกคนอยู่แล้ว และหมอก็ทำด้วยความเต็มใจด้วยค่ะ โชคดีนะคะ มีอะไรก็มาคุยกับหมอได้ค่ะ” ฉันยิ้มกว้างจนตาเล็กหยี ก่อนจะลาพี่พยาบาลเพื่อเดินกลับไปที่พัก กลิ่นดอกลำดวนหอมกำจาย ราวกับจะร่วมแซ่ซ้องกับความงดงามแห่งจิตใจของฉันได้เติบโตตามกาลเวลา

ฉันเดินลัดเลาะไปตามความคดเคี้ยวของริมแม่น้ำท่าจีนในรีสอร์ทแห่งหนึ่งโดยไม่อนาทรต่อแสงแดดที่ค่อยๆแผดกล้าขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ไทยโชยมากระทบจมูก สายลมเย็นๆของช่วงต้นฤดูฝนพัดมาปะทะใบหน้าเบาๆ ฉันแย้มริมฝีปากออกเล็กน้อยอย่างพึงใจ

เดินเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงลานที่ปูด้วยอิฐสีขาวหม่นปนสีเขียวของตะไคร่น้ำ ฉันหยุดยืนมองสายน้ำที่ไหลเอื่อยช้าๆ ใบไม้สีน้ำตาลแก่ค่อยๆปลิวร่อนลงสู่พื้นน้ำ ปลาเสือลายเหลืองดำกระโดดฮุบอากาศเป็นระยะๆ ฉันนิ่งอยู่นานเหมือนถูกสะกดด้วยมนตราของธรรมชาติตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงผ้าใบสีเขียวซึ่งถูกวางอยู่ใต้ร่มไม้รกครึ้ม มองเห็นแสงแดดลอดส่องลงมารำไร

ฉันหลับตาลงช้าๆราวกับกลัวว่าภาพตรงหน้าจะเลือนหายไปแล้วค่อยๆซึมซับบรรยากาศรอบข้างผ่านโสตประสาทที่รับรู้เพียงเสียง ปล่อยลมหายใจออกเพื่อระบายความอึดอัด แล้วปล่อยให้ประสาทสัมผัสกระทบกับการเคลื่อนไหวของสรรพชีวิตช้าลง ช้าลง

 

คุณหมอคะมีคนไข้หมดสติ อยู่ที่ห้องฉุกเฉินค่ะ ญาตินำส่ง ขณะนี้กำลังให้น้ำเกลือและบีบ Ambu-bag ช่วยชีวิตอยู่ค่ะเสียงพี่พยาบาลที่คุ้นเคยตะโกนมาจากหน้าห้องรอคลอด

  แม้อากาศในห้องคลอดค่อนข้างเย็น แต่ฉันต้องยกแขนขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากอย่างอ่อนล้า สองชั่วโมงแล้วที่นั่งหลังขดหลังแข็งเพื่อล้วงมดลูกเนื่องจากรกติด และต้องเย็บซ่อมฝีเย็บที่มีเลือดซึมออกมาจากแผลฉีกขาดกะรุ่งกะริ่ง ยาวลึกเกือบถึงลำไส้ตรงของแม่ลูกสอง

ตอนเช้ากว่าจะเคลียร์คนไข้เบาหวานหมด ก็แทบแย่ ตอนบ่ายยังต้องเจออย่างนี้อีกเหรอ

ฉันบ่นเสียงดังกลับมาโดยไม่ได้มองหน้าคนมารายงาน มโนภาพฉันแว๊บไปถึงภาพคนไข้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่นั่งรอหน้าห้องตรวจยาวเหยียดเลยไปถึงห้องจ่ายยาในตอนสายๆ พร้อมกับกระแทกเครื่องมือลงบนถาดอลูมิเนียมเสียงดังโครม  พลางบีบนวดมือขวาให้หายเมื่อยขบจากการกำปากกามาทั้งวันและต้องเกร็งเพื่อเย็บแผล    

นี่แม่ เสร็จแล้วนะแต่คราวหลังอย่ารีบเบ่งมากนัก หมอต้องเสียเวลามาเย็บแผลนี่ เลยไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น

 ไม่วายที่จะกระแทกเสียงกับคนไข้ที่ขายังคาอยู่บนขาหยั่ง หญิงวัยยี่สิบต้น ๆ หน้าซีดเผือด ท่าทางอิดโรย ลืมตามองหน้าฉันก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างคนง่วงนอนจัด

หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจและให้ยา adrenaline เพื่อกระตุ้นหัวใจหลอดแล้วหลอดเล่า พร้อมทั้งทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตผ่านไป 30 นาที ความดันคนไข้ก็ยังวัดไม่ได้ คลื่นไฟฟ้าหัวใจบ่งบอกว่ามันหยุดทำงานแล้ว ฉันหยุดมองไปที่ร่างของชายวัยหกสิบ ผมสีขาวแซมที่เหนือใบหูสองข้าง รูปร่างอ้วนลงพุง ใบหน้าเขียวคล้ำต่างจากเรียวปากที่ซีดขาว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงดันของลมจาก Ambu-bag

ฉันใช้ปลายนิ้วแตะลงบนฝ่ามือคนไข้สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ รู้สึกถึงหัวใจตัวเองที่กระตุกวาบ ก่อนจะค่อยๆเลื่อนนิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวามาคลำชีพจรที่หน้าขาของเขาเพื่อตรวจดูสัญญาณชีพอีกครั้ง ฉันถอนหายใจยาว พยักหน้าเป็นสัญญาณให้พี่พยาบาลที่กำลังออกแรงกดหน้าอกคนไข้ว่าอีกห้านาทีจะหยุดทำการกู้ชีพ ฉันถอดถุงมือทิ้งก่อนจะเดินอาดๆ ออกมาบอกญาติผู้ป่วยที่ยืนกระสับกระส่าย สายตาจ้องเขม็งมาที่ผ้าม่านสีฟ้าที่ฉันและทีมพยาบาลรูดมาบังขณะทำการช่วยเหลือคนไข้

 หมอเสียใจด้วยนะ คนไข้เสียชีวิตแล้วเพราะสมองขาดออกซิเจนนานเกือบสิบนาที ก่อนจะมาถึงโรงพยาบาล

สิ้นเสียงของฉัน เสียงร้องไห้โฮก็ดังขึ้น ร่างของหญิงท้วมวัยกลางคนทรุดฮวบลงกองบนพื้น พร้อมกับเสียงละล่ำละลักว่า ไม่น่าเลย ทำไมแกต้องมาจากฉันไปตอนนี้ด้วย เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ที่ดังเสียดแทงเข้าโสตประสาทนั้น เสียงโทรศัพท์ในห้องฉุกเฉินก็ดังขึ้น กริ๊ง กริ๊ง

 ว่าไง

"คุณหมอคะ รายงานจากตึกชายค่ะ พ่อของเด็กผู้ชายที่ admit เมื่อตอนบ่ายโทรมาโวยวายว่าคุณหมอทำไมยังไม่เข้าไปดูลูกเขาซะที อาของเด็กที่เฝ้าอยู่ข้างในบอกว่า ตั้งแต่เข้ามา หมอใหญ่ยังไม่โผล่มาดูเลย

อ้าว ก็หมอไม่ได้มีคนไข้ที่ต้องดูแลคนเดียวนะ วันนี้หมอยุ่งทั้งวันยังไม่ได้พักเลยเนี่ย

ฉันเริ่มรู้สึกร้อนที่ใบหน้า หัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้น เสียงจากปลายสายยังดังต่อว่า พ่อเขาว่า หากไม่เข้ามาดูคนไข้ตอนนี้ เขาจะทำเรื่องร้องเรียนไปยังสำนักตรวจการแผ่นดินรัฐสภาค่ะ

วิเศษมาจากไหน ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เคยมาเห็นมั๊ยว่า เรายุ่งแค่ไหนฉันกระแทกโทรศัพท์ดังโครมอีกครั้ง รู้สึกถึงหูที่อื้อ ปากสั่น หน้าตาบึ้งตึง ก่อนจะก้าวฉับๆตรงไปยังตึกผู้ป่วยในที่ใช้เวลาเดินไม่ถึงห้านาที

อยู่ไหนหล่ะ เด็กอาการแย่มากหรือไง อยากนอนโรงบาลก็ให้นอนแล้ว ญาติจะเอายังไงอีกฉันตะโกนมาตั้งแต่ทางเข้าตึกที่มีคนไข้นอนเรียงรายบนเตียงแทรกเป็นแถวยาวมาถึงริมระเบียง

ฉันไม่ได้ว่าอะไรนะหมอ ฉันเป็นแค่อาก็จริง แต่ฉันเป็นคนเลี้ยงเด็กนะ พ่อเด็กน่ะไม่เคยมาดูเด็กหรอก พอรู้ก็โทรมาโวยวาย ไม่มีอะไรหรอกหมอ พี่ชายชั้นน่ะก็เป็นอย่างนี้แหละ ขอโทษนะหญิงวัยสามสิบต้น ๆ ที่กะเตงหลานชายตัวผอม หัวโต ตะโกนตอบกลับมาจากสุดมุมห้อง

เออไม่มีอะไรก็ดีแล้ว แต่คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะ ไม่งั้นหมอฟ้องคืนแน่ฉันคาดโทษญาติผู้ป่วยก่อนจะเอื้อมไปหยิบ chart เด็กคนนั้นพร้อมทั้งตวัดสายหูฟังขึ้นพาดบ่าแล้วเดินตรงไปที่เตียงเด็กด้วยใบหน้าที่ไม่เจือรอยยิ้มเลย

 

แสงจันทร์สีเหลืองนวลตาอยู่ไม่นาน ก็ถูกบดบังด้วยเมฆก้อนใหญ่สีดำทะมึนที่เคลื่อนตัวมาช้าๆ ภาพของใครบางคนผู้เคยเป็นคู่คิดเสมอยามทุกข์ใจค่อยๆเลือนหายไปในกลีบเมฆ ดึกแล้ว ฉันควรเข้านอนได้ซะที แต่ดูเหมือนคืนนี้หนังตาฉันยังค้างแข็ง ฉันนั่งทบทวนเหตุการณ์ในวันนี้ ราวกับเป็นฉากหนังที่ฉายซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แปดปีแล้วสินะ เดาว่าพรุ่งนี้เหตุการณ์ก็คงไม่แตกต่างกัน ฉันต้องการคำอธิบาย มันเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องหาคำตอบ เครื่องจักรที่มีชีวิตเครื่องนี้คงถึงเวลาต้องพักซ่อมแซมแล้วกระมังฉันรำพึงก่อนจะกดปากกาลงอย่างมั่นคงบนใบสมัครเข้าศึกษาต่อ

 

 แม้อากาศจะหนาวเหน็บ แต่ฉันก็ไม่ยอมเปิดเครื่องทำความร้อน เพียงกระชับเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลหนาอุ่นให้แน่นขึ้น แล้วค่อยๆก้าวเดินไปรอบๆห้องสี่เหลียม ช้าๆ  ทุกๆก้าวฉันรู้สึกเสมือนแค่หุ่นยนต์ตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนไหว เพียงแว้บเดียวใจก็อดกระเพื่อมไม่ได้

พรุ่งนี้แล้วสินะที่จะได้กลับเมืองไทยสู่อ้อมกอดของครอบครัวและอกอุ่นของแม่ สองปีแล้วที่ฉันจากบ้านมาไกลแสนไกล ทุกวันหลังจากคร่ำเคร่งอ่านตำราที่ไม่ใช่ภาษาของบรรพบุรุษในห้องสมุดขนาดใหญ่ หรือหลังจากจบการเฝ้าดูอาจารย์ที่ปรึกษาผู้ตั้งใจฟังคนไข้เล่าถึงความทุกข์ระทมของตัวเองเนื่องจากการเจ็บป่วย ฉันก็ใช้เวลาที่เหลือเพื่อเดินเล่นไปตามสวนสาธารณะ ได้เจอรอยยิ้มทักทายของเพื่อนต่างชาติพร้อมคำกล่าวสวัสดี อันเป็นมิตรภาพที่ฉันไม่อาจลืม

หลายครั้งที่ฉันหลงทาง จำถนนหรือหมายเลขรถไฟสายที่ต้องนั่งกลับบ้าน ผู้คนที่ฉันเรียกว่าชาวต่างแดนกลับยอมเสียเวลาชี้บอกเส้นทางเพื่อให้ฉันอย่างเต็มใจ ตลอดทางเดินระหว่างบ้านพักถึงมหาวิทยาลัย ฉันมักจะใช้เวลาอ้อยอิ่งกับต้นไม้รูปร่างแปลกตา ดอกหญ้าข้างทางสีสันสดใส กระทั่งต้นเมเปิลสีเทาเขียวหน้าบ้านที่ปราศจากใบแต่ก็ให้ความรู้สึกสงบมั่นคง ผู้ซึ่งไม่เคยบ่นท้อกับแรงลมที่มาปะทะ หรือถากถางวาจาต่อเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะพราวตามกิ่งก้านน้อยใหญ่

ฉันมักพบเห็นเสมอว่าผู้คนที่นี่ไม่ได้เร่งรีบเพื่อเดินทาง  มักเดินทอดน่องตามถนนหนทาง หรือกระทั่งนอนกลางสนามเพื่อให้แดดลามเลียตามผิวหนัง สิ่งงดงามเหล่านี้ ทำให้ฉันได้ย้อนนึกถึงชีวิตการทำงานในเวชปฏิบัติที่ผ่านมา ทำไมฉันถึงได้เร่งรีบทำงานเพื่อให้ตรวจคนไข้ให้หมดไปวันๆเท่านั้น ทำไมถึงไม่ใช้เวลาทำงานที่ผ่านไปทุกนาทีไปอย่างไม่ต้องแบกหามสิ่งใด ชื่นชมกับผลงานการรักษาผู้ป่วยที่หายขาดจากโรค หรือทบทวนการดูแลรักษาที่ผิดพลาด ยิ้มทักทายผู้ป่วยอย่างมีไมตรีจิต หรือเพราะที่ผ่านมาฉันล้าเกินไปจนไม่มีเวลาได้ดูแลตัวเอง

การใช้ชีวิตต่างแดนอย่างโดดเดี่ยว แม้ฉันได้สัมผัสความพลัดพรากจากอ้อมกอดของครอบครัวอันเป็นที่รัก ทุกหนแห่งมีแต่ความหนาวเหน็บ อาหารรสชาติที่ไม่คุ้นลิ้น เพื่อนฝูงต่างภาษา

และตระหนักว่าสิ่งเดียวที่เป็นที่พึ่งได้ดีที่สุดคือกายใจนี้เอง วิถีชีวิตที่ฉันได้สัมผัส ทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า การได้พัก ไม่รีบร้อนในกิจกรรมใดๆ สัมผัสกับธรรมชาติรอบข้างที่งดงาม พักชมดอกไม้ริมทางที่เดินผ่าน กระทั่งยืนนิ่งๆ สูดลมหายใจเข้าปอดยาวๆ การได้เฝ้าดูชีวิตผู้คนที่ไหลไปอย่างช้าๆ จะเป็นพลังให้เราได้ก้าวเดินไปบนถนนแห่งชีวิตที่ดำเนินไปอย่างไม่มีวันหยุดโดยไม่ท้อแท้ ค่อนรุ่งฉันจึงได้ซุกตัวนอนอุ่นในผ้าห่มหนานุ่มแล้วหลับไปอย่างมีความสุข

เกือบสองทุ่มแล้วที่ฉันนั่งให้คำปรึกษาและตรวจคนไข้ที่ห้องผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศูนย์แห่งหนึ่งอันเป็นที่ทำงานปัจจุบันอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

ถ้าหมอที่บ้านเราอารมณ์ดี และไม่ดุคนไข้อย่างหมอทุกคนก็คงจะดีนะ แม่ขอบคุณหมอมากที่อดทนฟังเรื่องของแม่ ถ้าแม่มีอาการนอนไม่หลับอีกจะกลับมาหาหมออีกนะ ขอบคุณจริงๆหญิงร่างผอมเกร็ง ผมสีขาวโพลนยกมือท่วมหัวต่อหน้าฉัน

ไม่เป็นไรค่ะคุณยายฉันตอบยิ้มๆพลางยกมือไหว้

เป็นหน้าที่ของหมอทุกคนอยู่แล้ว และหมอก็ทำด้วยความเต็มใจด้วยค่ะ โชคดีนะคะ มีอะไรก็มาคุยกับหมอได้ค่ะฉันยิ้มกว้างจนตาเล็กหยี ก่อนจะลาพี่พยาบาลเพื่อเดินกลับไปที่พัก กลิ่นดอกลำดวนหอมกำจาย ราวกับจะร่วมแซ่ซ้องกับความงดงามแห่งจิตใจของฉันได้เติบโตตามกาลเวลา

.................................................................................................................

 

เรื่องสั้นของ  แพทย์หญิง จิรฐา บุตรแก้ว แพทย์ประจำโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ผุ้เข้ารับการอบรมหลักสูตร Narrative medicine ระหว่างวันที่ ๒๗ -๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เป็นผลงานเขียนชิ้นแรกของคุณหมอท่านนี้คะ

สวัสดีคะ

แม่ต้อย

 

 

 

 

 

 

คำสำคัญ (Tags): #sha
หมายเลขบันทึก: 265432เขียนเมื่อ 3 มิถุนายน 2009 14:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

สวัสดีค่ะ ติดตามตอนอวสาน ด้วยสำนวนที่มีคุณค่ามากค่ะ ประทับใจคนไข้

สวัสดีค่ะ

  • อ่านเรื่องสั้นของคุณหมอ..มีความสุขค่ะ
  • และอยากให้คนในวงการหมออ่านด้วยค่ะ
  • รักและคิดถึงแม่ต้อยค่ะ

 

เข้ามาอ่านเรื่อสั้นของแพทย์หญิงจิรฐา บุตรแก้ว  โดยแม่ต้อย จากแม่ต้อย

มีความคิดเห็นว่า  เห็นใจคุณหมอทุกท่านจริงๆ รับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่น ด้วยความสามารถ แต่คนเราบางคน เมื่อถึงเวลาที่จะต้องตายๆ ทำอย่างไรก็ไม่ฟื้น หมอช่วยเต็มที่แล้ว แต่มีญาติคนไข้ หรือประชาชนไม่เข้าใจเลยว่า รู้ไหม ว่าหมอเหนื่อยแค่ไหน  แม้จะไม่เหนื่อยกาย ไม่ได้แบกหาม  แต่เหนื่อยใจ มันเหนื่อยมากกว่า บางครั้งอาจท้อแท้ก็มี  ต้องซ่อมจิตใจเช่นกัน

ะนั้น เราจึงควรเห็นใจคุณหมอ และให้โอกาสคุณหมอบ้าง  อย่าคิดเอาเอง หรือคิดเอาแต่ใจ  คุณหมอไม่ใช่เครื่องจักร  เครื่องมือที่วิเศษไปกว่าคนอื่น เพียงแต่มีความรู้ความสามรถ ที่ลำเรียนมาและจากประสบการณ์เดิมๆ วันแล้ววันเล่า  ที่ได้พบเจอ

คุณหมอจะได้ยินญาติคนป่วยที่ไม่เข้าใจ  กระแทกแดกดันทุกวัน มันหนักนะ  ขอให้เข้าใจ อาชีพหมอบ้าง  คุณหมอไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะยั้งให้ใครอยู่ได้ ยื้อที่สุด ยื้อทุกๆวันด้วย เห็นใจกันบ้าง

คุณหมอคะ  หนูนอนไม่ค่อยจะหลับ  (เพลงคุณหมอคะ) กระส่ายกระสับนอนไม่หลับมาหลายคืน(และมีเนื้อร้องอะไรต่ออีก ) คุณหมอคะหนูมาให้หมอช่วยตรวจ  จะบีบจะนวดเชิญหมอตรวจให้ถึงใจ(  ถ้าเป็นหมอผู้ชายก็น่าหนักใจนะ ถ้าเจอคนไข้ประเภทนี้)

KRUPOM
สวัสดีคะ

ครูป้อมคะ

ชีวิตการทำงานของหมอทุกๆคน เหนื่อยมาก มีความกดดันสูง ต้องมีความอดทนจริงๆคะ

 

 ครูคิม
ครูคิมคะ

แม่ต้อยก็คิดเหมือนครูคิมคะ

สุ-มหาวิทยาลัยชีวิต ราชภัฏพระนคร อ.กระนวน จ.ขอนแก่น
 สวัสดีคะ

คุณหมอทุกท่านได้อ่านข้อความนี้

คงมีกำลังใจอีกมากมายคะ

ขอบคุณมากคะ

สวัสดีค่ะแม่ต้อย

  • อ่านแล้วมีความสุขค่ะ
  • ถ้าทุกคนมีจิตใจที่งดงาม  โลกนี้คงน่าอยู่อีกมาก
  • รักและคิดถึงแม่ต้อยคะ

 ครูนิน
ขอบคุณน้องครูนินมากนะคะ

คิดถึงเช่นกันคะ

 

KRUPOM
สวัสดีคะ

เห็นครูป้อมแล้ว

มีความสุขไปทั้งวันคะ

7. ครูนิน
สวัสดีคะ

ครูนิน สบายดีนะคะ

แม่ต้อยเห้นกิจกรรมที่โรงเรียนแล้วมากมายจริงๆคะ

รักษาสุขภาพนะคะ

ถ้าเราได้ลองเรียนรู้ผู้ป่วยอย่างลึกซึ่งด้วยใจ แค่หนึ่งราย ต่อวัน ในจำนวนผู้ป่วยมากมายที่มาขอรับความช่วยเหลือ ด้วยความคาดหวัง จะพบอะไรดีดี อีกมากมาย เพราะเขาไม่ใช่เข้ามาเพื่อผ่านไป เขาและเรายังต้องพบกันได้อีกเสมอ สัมพันธภาพย่อมจะยั่งยืน บางครั้งเขาอาจกลายเป็นผู้ช่วยเหลือเราก็ได้ (ระวัง สำหรับท่านที่อยู่ตาม โรงพยาบาลชุมชนนะครับ) เพราะผมลองทำและพบเจอมาแล้วกับตัวเอง จึงขอเล่าสู่กันฟังครับ สวัสดีครับ

  • สวัสดีค่ะแม่ต้อย
  • หลังจากลับจากอบรมวันนั้น...ที่นครปฐม  รุ่นเดียวกับคุณหมอแอนนี  ยังคิดว่าจะหาเรื่องราว เรื่องเล่า  จากชีวิตจริงของคุณหมอได้ที่ไหนนะ  วันนั้นจำเรื่องของคุณหมอได้แม่น  ภาษาสวย  ฟังแล้วน่าติดตามทุกตอน  พอดีแม่ต้อยนำมาลงให้อ่าน  ดีใจจังเลยค่ะ  เพราะว่าจะนำไปเป็นตัวอย่างให้  พี่น้องและผองเพื่อนใน รพ.ได้อ่านกัน
  • เมื่อกลับมา รพ.หลังถ่ายทอด Narrative Medicine ให้องค์ทราบแล้ว  ทำให้นึกว่าเขียนแบบ Narrative นี่ยากเหมือนกัน
  • แต่พอได้ไปอบรม SHA แม่ต้อยบอกว่าเขียนมาเถอะ  เรื่องราวดีๆ  ที่วัดไม่ได้ด้วยตัวเลข  ไม่ต้องแบบ Narrative ก็ได้  ทำให้ใจชื้นขึ้น  และเริ่มทยอย เรื่องราว  ผ่านการเล่า แบบ นักเขียนฝึกหัด  โล่งใจเลยค่ะ
  • คิดถึงแม่ต้อย
  • 22 กย 52  รอรับแต่ต้อยและคณะ  ที่ รพ.นะคะ 

ดีใจกับพี่แอนด้วยนะครับ มีคนเข้ามาชื่นชมเยอะแยะเลย

เมื่อไหร่จะมีเรื่องต่อไปน้า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท